“ไปสืบเรื่องเจ้าสัวลีมา ช่วงนี้ธุรกิจเงินกู้ที่กูให้ดูแลมันแปลกๆ สืบเรื่องลุงวินัยที่ส่งลูกสาวเข้าประมูลด้วย”
“ครับนาย”
ธาวินตอบรับก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อทำตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย แฟรงค์ยังคงนั่งคิดเรื่องของวินัยพักหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอย่างวินัยที่รักลูกสาวยิ่งกว่าอะไรดีจะยอมขายลูกสาวใช้หนี้ มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ๆ
ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะพาน้ำหวานมาทำมิดีมิร้ายอยู่แล้ว เพราะเขาก็ตกใจนิดหน่อยที่เด็กสาวในวันนั้นจะโตมาสวยสดงดงามขนาดนี้ทั้งที่ตอนเด็กเธอออกจะน่ารักสดใสแถมยังเรียกเขาว่าคุณอาอยู่เลย แต่กลับมาเจอในตลาดมืด ความสดใสในตอนนั้นมันหายไปหมดเสียแล้ว เหลือเพียงความก้าวร้าวดื้อด้าน...ไหนจะแววตาไม่ยอมใครตอนอยู่ในกรงทองนั้นอีก คุณอาที่เธอเรียกในตอนนั้น ปัจจุบันกลับโดนเธอเรียกคนสารเลวไปซะอย่างนั้น แน่นอนว่าเธออาจจะจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แฟรงค์คิดอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานตรงไปยังห้องนอนของตน เพราะเขาสั่งให้ลูกน้องพาเธอไปรอที่ห้องของเขา และเธอคงคิดว่าเขาพาเธอมาเพื่อสนองตัณหา แต่เขาตั้งใจจะถามไถ่เธอเพียงเท่านั้นแล้วปล่อยกลับห้อง เขาเตรียมห้องแยกไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว หวังจะเลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดีจนกว่าจะหาลุงวินัยเจอ
ครั้งนี้ที่เขาช่วยเธอก็ถือว่าได้ทดแทนบุญคุณที่เธอและพ่อที่เคยช่วยชีวิตไว้ โดยไม่มีอะไรติดค้างกัน แฟรงด์เปิดประตูเข้าห้องของตัวเองก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ บนเตียงอย่างเหม่อลอย
“คิดจะหนีอยู่หรือไง?”
เสียงพูดของเขาเรียกสติ เธอกหันไปมองทางต้นเสียงด้วยแววตาว่างเปล่าดังเดิม แฟรงค์เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำหวานลุกขึ้นยืนจ้องมองเขา ก่อนที่แฟรงค์จะขมวดคิ้วแน่นกับการกระทำของเธอและไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนั้น น้ำหวานถอดชุดเดรสสีขาวของตนออกต่อหน้าต่อหน้าเขา เหลือเพียงชุดชั้นในลายลูกไม้สีขาว
“เธอคิดจะทำอะไร?”
“ทำหน้าที่ที่นายอยากให้ทำไง จะได้จบๆ ไม่ค้างคาใจแล้วปล่อยฉันไปสักที”
แววตาจากดวงตาสวยจ้องมองเขาอย่างแข็งกร้าวและเครียดแค้นแต่สีหน้ายังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ เธอคิดว่าเขาซื้อเธอมาเพื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แม้จะเป็นครั้งแรกแต่เธอก็จะถือว่าให้ทานหมามันไป
มือเล็กเริ่มเอื้อมไขว่หลังเพื่อปลดตะขอเสื้อชั้นใน แฟรงค์จ้องมองเธอนิ่งก่อนจะก้าวเข้าไปหาเธอโดยที่เธอเองก็ไม่ได้หลบหรือถอยออกห่างจนตัวแทบจะติดกัน....ห่างกันแค่ครึ่งก้าว เขาโน้มตัวก้มมองหน้าเธอโดยที่เธอเองก็เงยหน้ามองเขาอย่างไม่มีหลบ
“เกลียดฉันมากขนาดนั้นเลย?”
“เข้ากระดูกดำเลยล่ะ...ไม่ว่าคนซื้อหรือคนขายก็สารเลวทั้งนั้น”
“แล้วเธอจะยอมให้คนสารเลวนี้แตะต้องตัวเอเธองั้นเหรอ?”
“ทำบุญสัตว์...ไม่จำเป็นต้องถือสาอะไรให้มากนักหรอก”
“อย่าปากดีให้มันมากนัก!”
แฟรงค์เผลอตะคอกใส่น้ำหวานหญิงสาวที่เคยช่วยชีวิตเขา เพราะคำพูดที่หยาบคายของเธอมันรุนแรงไปเสียหน่อย น้ำหวานคนนี้ต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนโดยสิ้นเชิง
น้ำหวานยังคงไม่สะทกสะท้านกับน้ำเสียงที่ดูโมโหนั้น เธอปลดเสื้อชั้นในของตัวเองออกเผยให้เห็นเต้าสวยใหญ่เต่งตึงปลายยอดชมพูอ่อนต่อสายตาคมนั้น
แฟรงค์เบือนหน้าหนีหันมองไปทางอื่น เธอเองก็ไม่ได้สนใจก้มลงถอดกางเกงในลายลูกไม้ออก ถึงเธอจะกล้าหาญแต่ร่างกายของเธอกลับตรงกันข้าม ร่างบางของเธอกลับสั่นเทาไม่น้อยและพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่นแต่ก็ห้ามไม่อยู่ ถึสมองจะสั่งจิตใจให้กล้าแข็งแค่ไหนก็ตาม แต่ใจกลับไม่ฟังเลย ใจยังคงสั่นไหววูบตามไปร่างกายไม่เป็นไปตามที่สมองคิด
น้ำหวานแค่ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ถูกขายไป เธอต้องการแสดงจุดยืนของตัวเองว่าไม่เกรงกลัวต่อเขา แค่ต้องทำให้มันจบ ถ้ายอมแต่โดยดีก็จะไม่ต้องเจ็บตัวแล้วค่อยคิดหาทางหนีทีหลัง
“หันหน้าหนีทำไม...นายต้องการแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?”
น้ำหวานพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปแนบชิดตัวเขาจนทุกส่วนชิดติดกัน อุณหภูมิอุ่นของร่างกายเปลือยเปล่าจนรู้สึกถึงได้แม้จะมีเสื้อผ้าของเขาขวางกั้น แฟรงค์ขบกรามแน่นพร้อมกับหลับตาลงอย่างข่มใจ แต่ความสั่นเทาของร่างกายเธอมันกลับมีมากขึ้นเมื่อแนบชิดติดตัวเขา
“ถอยออกไป...ฉันไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น”
แฟรงค์พยายามพูดเตือน แต่คราวนี้เธอกลับกอดรั้งคอของเขาไว้แล้วทิ้งตัวดึงเขาล้มลงบนเตียงพร้อมกับเธอ ทำให้แฟรงค์หันกลับไปมองเธอเพราะความตกใจปนอึ้ง นี่เธอเป็นคนใจกล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอไม่นึกกลัวเขาเลยสินะ
สายตาคมไล้เลื่อนมองร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องนั้นอย่างนึกหลงใหลเผลอลืมตัว มือหนาที่ค้ำยันเตียงไว้ก็เลื่อนไปเชิดปลายคางสวยขึ้นพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะยกยิ้ม
“ใจกล้าไม่เบาเลยนี่...อยาก...มากหรอ?”
ใบหน้าของน้ำหวานแดงเรื่อขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดขึ้น ก่อนเบือนสายตาไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกแบบนั้น แต่เธอแค่รู้สึกเขินเมื่อเห็นใบหน้าของเขาใกล้ๆ
แฟรงค์แข็งใจลุกออกจากตัวเธอก่อนจะดึงผ้าห่มมาปิดคลุมร่างของเธอเอาไว้ เขายืนหันหลังให้เธอส่วนน้ำหวานยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว นี่เขา...ซื้อเธอมาทำไมกันแน่
“ตอนแรกว่าจะเข้ามาคุย...แต่ดูเหมือนเธอจะไร้สติกว่าที่คิด”
“คุยอะไร? ฉันไม่ได้อยากคุยกับคนอย่างนาย”
“หึ...ไม่อยากคุยแต่อยากทำอย่างนั้นเหรอ?”
“มันจะได้จบๆ ไปเสียที...ฉันจะได้...”
“เธอคิดว่าฉันจะทำครั้งเดียว...คืนเดียวแล้วจบงั้นสิ? คิดน้อยไปมั้ง”
แฟรงค์พูดสวนขึ้นพร้อมหันมายกยิ้มร้าย สายตาคมเหลียวไปหลุบมองเธอที่นอนอยู่บนเตียง ความคิดเด็กๆ นั้นของเธอได้มาจากไหนกันนะ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะเธอยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้และยังไม่เคยต้องมือชายใด วัยนี้อย่างมากก็แค่เคยดูในหนังเท่านั้น
พอมาคิดๆ ดูแล้วเธอก็ดูไร้เดียงสาไม่เบาถึงแม้ว่าจะทำตัวกล้าหาญหยิ่งในศักดิ์ศรีก็เถอะ เขาล่ะอยากจะทำลายความเชื่อมั่นในทางที่ผิดเรื่องศักดิ์ศรีนั้นของเธอเสียจริงๆ สงสัยเขาคงต้องสอนว่าโลกนี้โหดร้ายแค่ไหนให้เธอได้เรียนรู้บ้าง ไม่งั้นถ้าปล่อยเธอไปเธอจะเอาตัวไม่รอดเสียเปล่าๆ แค่ไถ่เธอมาจากการประมูลก็ถือว่าได้ทดแทนบุญคุณคืนให้เธอมากพอแล้ว
“ไว้ค่อยคุยวันหลัง...คืนนี้เธอนอนที่นี่ไปแล้วกัน”
“......”
“อ้อ...แล้วก็...เลิกเรียกฉันว่านายได้แล้ว ฉันอายุมากพอที่จะเป็นอาของเธอเสียอีก”
แฟรงค์พูดน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะหันตัวเดินออกจากห้องไป เมื่อแฟรงค์เดินออกไปจนลับสายตาแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพรากออกมาหลังจากที่รู้สึกอึดอัดอยู่นาน ในใจรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอ แต่ก็ใช่ว่าจะรอดไปได้ทุกวัน เธอคงต้องอยู่อย่างหวาดระแวงไปอย่างนี้ ไม่รู้เลยว่าเขาจะเข้าหาเธอตอนไหน ทุกๆ ความรู้สึกปะเดปะดังเข้ามาจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ฮึกๆ ...พ่อ...ฮือ..พ่ออยู่ไหน...”
น้ำหวานทั้งร้องไห้ทั้งคิดถึงผู้เป็นพ่อ ที่เธอยังหลงเหลือความบริสุทธิ์อยู่จนถึงอายุยี่สิบนั้นเพราะผู้เป็นพ่อคอยปกป้องดูแล และเธอก็ไม่เคยดื้อด้านกับพ่อเลยสักครั้งแล้วทำไมถึงต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิด พระเจ้าถึงได้ลงโทษให้เธอมาเจอเรื่องแบบนี้
แฟรงค์ที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นของหญิงสาวที่ตอนอยู่กับเขากลับก้าวร้าวและเหมือนไร้อารมณ์ความรู้สึก ใบหน้าเรียบนิ่งของเขายกยิ้มขึ้นพร้อมคิดว่าเธอกล้าที่จะดื้อด้านกับเขางั้นหรือถึงได้แสดงท่าทีออกมาแบบนั้น
แฟรงค์จะก้มลงมองตัวตนของตัวเองที่ตื่นขึ้นหลังจากเห็นเรือนร่างสวยเปลือยเปล่าของเธอ ไม่มีผู้ชายคนไหนเห็นแล้วยังนิ่งได้หรอก เกือบไปแล้ว...เขาเกือบจะทำร้ายเธอไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยอมกลับเข้าห้องทำงานของตัวเองไป อย่างแรกที่เขาต้องจัดการคือจัดการตัวเองก่อน เพราะเธอแท้ๆ ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ นี่เขาพยายามที่จะไม่ทำอะไรเธอไปมากกว่านั้น เพราะยังนึกถึงความดีที่พ่อของเธอและเธอช่วยชีวิตของเขาไว้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงมากนักหรอก...ถ้าเธอทำแบบนี้อีกครั้งเขาคงได้...
.
เช้าวันใหม่ผ่านไปหลายวันไม่มีวันไหนสดใสเลยสักนิด น้ำหวานตื่นขึ้นมาบนเตียงใหญ่กว้างสีทึบพร้อมดวงตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่ใช่ห้องที่บ้านของเธอเหมือนเดิม มันยิ่งตอกย้ำความเป็นจริงว่าเธอถูกขายมาให้กับชายแปลกหน้ารุ่นคุณอา
เมื่อคิดถึงความจริงดังกล่าวเธอก็ยิ่งไม่อยากที่จะลุกออกจากเตียง น้ำหวานนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่งเช่นทุกวัน แม้ว่าจะมีเสียงเคาะประตูจากสาวใช้เรียกให้เธอลงไปทานข้าว เธอก็ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม
“นายคะ...คือ....”
“กี่วันแล้ว?”
“วันนี้เข้าวันที่ห้าแล้วค่ะที่ผู้หญิงคนนั้นไม่กินข้าวกินน้ำเลย”
สาวใช้ตอบพร้อมก้มหน้าลอบมองผู้เป็นเจ้านายอย่างหวาดหวั่น กลัวว่าเขาจะทำโทษที่เธอไม่ทำตามคำสั่งที่ว่าให้ลากหญิงสาวคนนั้นลงมาทานข้าว
แฟรงค์หันมองหน้าสาวใช้อย่างนิ่งๆ นั่นยิ่งทำให้สาวใช้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ความโหดเหี้ยมไร้ความปราณีของเขาพวกเธอก็เคยเจอมาแล้ว
“ต้องให้ถึงมือฉันใช่ไหม?”
“ขะ...ขอโทษค่ะนาย...”
สาวใช้พูดเสียงสั่นพร้อมกับยกมือพนมไหว้ผู้เป็นเจ้านาย แฟรงค์ไม่ได้พูดอะไรแต่กลับวางช้อนลงแล้วลุกพรวดขึ้น ทำเอาสาวใช้ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างรู้สึกกลัวจับใจ ชายหนุ่มปรายตามองสาวใช้คนนั้นก่อนจะก้าวเท้าเดินผ่านเธอไปอย่างเงียบๆ ธาวินเหลือบมองสาวใช้คนนั้นก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายไป
แกร๊ก! ประตูห้องนอนที่ถูกล็อคอย่างแน่นหนาก็ถูกปลดล็อคโดนผู้เป็นเจ้าของห้อง น้ำหวานได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาก็รีบมุดตัวลงไปใต้ผ้าห่มอย่างหวั่นใจ แฟรงค์หันไปพยักหน้าให้ธาวินออกไปรอข้างนอก ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากระชากผ้าห่มของเธอออกจนเธอถึงกับสะดุ้งโหยง
“ประท้วงฉันหรือไง?”
“......”
“ลงไปกินข้าว”
“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งนาย”
“อยากตายมากเหรอ?”
“ตายไปเลยก็ยิ่งดีสิ ชีวิตมันไม่มีอะไรดีอยู่แล้ว...นายจะสนใจทำไมนัก?”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาตายที่บ้านฉัน”
“งั้นก็ปล่อยฉันไปสิ ฉันจะได้ไปตายที่อื่น!”
น้ำหวานพร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าแฟรงค์ เขาหรี่ตามองความดื้อด้านเพื่อประท้วงให้เขาปล่อยตัวเธอไป ก่อนที่เขาจะพูดเสียงดังขึ้นเพื่อบอกธาวินที่ยืนอยู่หน้าห้องให้ได้ยิน
“ไปเอาข้าวต้มขึ้นมาให้กู!”
“ครับนาย”
ธาวินตอบรับก่อนจะเดินลงไปเอาข้าวต้มตามที่แฟรงค์สั่ง เขาส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเจ้านายไม่ได้ต้องการจะประเคนข้าวต้มให้ถึงห้องแค่อย่างเดียว แต่เขาต้องการประเคนให้ถึงท้องเลยทีเดียว น้ำหวานคือคนเดียวที่ยังไม่รับรู้ว่าแฟรงค์จะเป็นยังไงกับคนที่ไม่เชื่อฟังเขา
ธาวินหยิบถ้วยข้าวต้มพร้อมช้อนเดินขึ้นไปท่ามกลางสายตาที่งุนงงของบรรดาคนรับใช้ บ้างก็ซุบซิบว่าเป็นเมียของนายถึงได้เอาอกเอาใจขนาดนี้ ธาวินเองก็ไม่ได้แก้ต่างอะไรให้ผู้เป็นเจ้านาย เพราะถึงเขาจะพูดไปแต่บรรดาคนใช้ก็ไม่เชื่ออยู่ดี
ธาวินเดินถือถ้วยข้าวต้มมายืนข้างๆ แฟรงค์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง น้ำหวานหันไปมองธาวินด้วยสายตาว่างเปล่าและคิดว่าถึงประเคนมาให้เธอก็ไม่คิดจะกินมันอยู่ดี
“ไม่กิน”
“..อืม...ได้สิ..”
แฟรงค์พูดแค่นั้นก็เดินเข้าไปคว้ารวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอด้วยมือหนาข้างเดียวพร้อมกับกระชากมาใกล้เขา เธอตกใจจนเก็บสีหน้าที่ตื่นตระหนกเอาไว้ไม่อยู่ พร้อมกับมองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้วแน่น
“นี่นายคิดจะทำอะไร!”
“ในเมื่อเธอไม่กินเอง ฉันก็จะป้อนให้” พูดจบมือหนาอีกข้างที่ว่างก็บีบปลายคางเธอไว้ น้ำหวานดิ้นพล่านทั้งเตะทั้งถีบคนตรงหน้าแต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเธอเลยแม้แต่น้อย
“วิน มึงเอากรอกปากเธอซะ”
“ครับ...นาย”
“กรี๊ดดดดดด!! ไม่นะ!! อย่าเข้ามานะ!! ฉันยอมแล้ว! ฉันจะกินแล้ว!”
น้ำหวานรีบกรีดร้องออกก่อนเมื่อเห็นธาวินตักข้าวต้มเดินเข้าเตรียมจะเอามากรอกปากเธอตามที่แฟรงค์สั่งทั้งที่มันยังร้อนๆ อยู่เลย
“หึ...คิดว่าจะรอดงั้นสิ? บอกว่าอย่าเรียกนาย เพราะฉันแก่กว่าเธอตั้งเยอะ”
“แล้วจะให้เรียกว่าอะไร? จะให้ฉันเรียกตามใจเลยไหมล่ะ? ว่าไอ....”
“ลองพูดดูสิ รอบนี้ไม่ใช่แค่ช้อนเดียวแน่...แต่เป็นทั้งถ้วย!”
“คนอย่างนายนี่มัน...”
น้ำหวานชะงักฝีปากไว้เท่านั้น เมื่อเห็นว่าเขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งจ้องมองหน้าเธอเป็นเชิงท้าทายว่าลองพูดดูสิได้เจอดีแน่ เธอจึงเลือกปิดปากตัวเองเสียสนิทแทนก่อนจะปรายตามองธาวินที่ดูเตรียมพร้อมทำตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายเต็มที่
“เลิกทำตัวซังกะตายได้แล้วสินะ...”
แฟรงค์ยกยิ้มที่เธอเริ่มแสดงสีหน้าท่าทีตอบรับเขาบ้างแล้วถึงเธอจะไม่ตอบอะไรเขาต่อ แล้วหันไปคว้าข้าวต้มมากินเองด้วยความที่กลัวจะโดนเทกรอกปาก เพราะท่าทางของแฟรงค์ดูไม่ได้แค่พูดขู่เล่นๆ แน่
สำหรับแฟรงค์แค่มารยาดื้อด้านทำตัวประท้วงนิดหน่อยทำไมคนอย่างแฟรงค์จะดูไม่ออก ถึงเธอจะเสียใจที่โดนซื้อมาแต่เธอก็แอบโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่รอดพ้นหลายคืนมาได้โดยที่เธอไม่ได้โดนทำอะไรต่อมิอะไรอย่างที่คิด
ธาวินมองเจ้านายของตนที่ดูดีใจกับเธอไม่น้อย อย่างน้อยก็ใจดีกว่าทุกคนรอบๆ ตัวเขา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนเคยช่วยเหลือเขาไว้ก็ได้...
“ทีหลังเรียกอาสิ...คุณอา...”
“ทำไมต้องเรียก…นายไม่ใช่ญาติพ่อฉันสักหน่อย”
น้ำหวานตอบอย่างไม่นึกเกรงกลัวและไม่คิดจะเรียกเขา แต่ถึงเธอจะตอบอย่างนั้นแฟรงค์ก็ยังคงมีสีหน้านิ่งขรึมแถมยังจ้องมองเธอไม่วางตา
“ถ้าไม่เรียกอา ต่อไปได้เรียกผัวแทนแน่”
“นายมันตาแก่ตัณหากลับ!!”
“เรียก!”
“คุณอา!! พอใจรึยัง?!”
“อาแฟรงค์ จำไว้!”
“ชิ! ขัดใจชะมัด ต้องมานับญาติกับตาแก่ที่ซื้อตัวเองมาเนี่ย!”
.
.
น้ำหวานยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเขารับปากว่าจะไม่พรากชีวิตคนอื่นอีก แฟรงค์เองก็ยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับไปเท่านั้น ทั้งที่ภายในหัวของเขากำลังคิดวุ่นวายกับเรื่องพ่อของเธออยู่“งั้น...ฉันขอไปเข้าห้องน้ำสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนนะคะ”แฟรงค์พยักหน้ารับ น้ำหวานก็รีบลุกแล้วออกจากห้องไปสวนกับธาวินที่เดินเข้ามาพอดี“จัดการเรียบร้อยแล้วครับนาย”“อืม...มีอีกเรื่อง...”“เรื่องอะไรครับนาย”“เรื่องลุงวินัย”“อ๋อ...ครับ อีกไม่กี่วันก็จะครบร้อยวันแล้วนะครับนาย”“น้ำหวานเริ่มถามแล้ว...กูจะบอกเธอยังไงดีว่าพ่อของเธอโดนไอ้เจ้าสัวลีฆ่าตายแล้ว”“บอกไปตรงๆ สิครับ”“มึงคิดว่าเธอจะ....น้ำหวาน!!”น้ำหวานเดินเข้าห้องมาพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตามองเขาและธาวิน นั่นเดาไม่ยากเลยว่าเธอได้ยินที่เขากับธาวินพูดแล้ว น้ำหวานเดินโซซัดโซเซเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแฟรงค์อย่างหมดแรง...
แฟรงค์ไปรับไปส่งน้ำหวานทุกวันไม่เคยขาด ไม่มีวันไหนสักวันที่จะไม่ไปรับ แต่ถึงเขาจะไปรับไปส่งเองเขาก็ยังสั่งให้ลูกน้องของตนไปเฝ้าจนไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้หรือแม้แต่เข้าไปจีบ ชุดนักศึกษาที่เธอเลือกซื้อมาเขาก็เอาไปเผาทิ้งหมด เพราะเขาซื้อชุดใหม่ไว้เผื่อแล้วในทุกๆ วันที่มหาวิทยาลัยก็เหมือนเช่นเคยในทุกๆ วันมาเป็นเดือนๆ แฟรงค์คอยดูแลทุกอย่างและเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี และที่สำคัญ...เขา...ไม่พลาดเลยทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้าเป็นอาหารคงบอกว่าเขากินดุมาก แถมกินจุอีกต่างหาก...แต่เพราะมันเป็นเธอเนี่ยสิ กินเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอิ่มเสียที จนล้าร่างหมดแล้ว ยิ่งตอนนี้...ช่วงปิดเทอมของมหาลัยเสียด้วย...“วันศุกร์นี้เตรียมตัวให้ดีล่ะ”“เตรียมตัว? ไปไหนคะ?”“ฉันจะจัดงานหมั้น”“งานหมั้น? คุณอาจะหมั้นเหรอ? กับใคร?”แฟรงค์ที่กำลังขับรถพาเธอมายังบริษัทหลังจากพาเธอออกไปทานอาหารกลางวันที่ห้างทิ้งธาวินให้ทำงานที่บริษัท แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ซื้อข้าวและขนมไปฝากลูกน้องคนสนิทด้วยอยู่ดี วันนี้เขามาเธอมาที่บริษ
“อื้อ!! อ๊า อ๊า....”เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อท่อนยักษ์แทรกเข้าไปจนสุด ความเสียวซ่านแล่นเข้าร่างผ่านช่องท้องจนร่างบางสั่นสะท้าน หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงครางทุ้มต่ำร้องแผ่วข้างหู“ฮืมมมม....”ก่อนที่แฟรงค์จะหยัดตัวขึ้นจับไหล่เพรียวกดลงแล้วดึงรั้งเข้าหาตัว เป็นเหตุให้ร่างบางแอ่นบั้นท้ายงอนรับองศาแรงกระแทกได้พอดิบพอดี มือเล็กเกาะยึดกำแพงไว้เพื่อพยุงตัวรับแรงกระแทกกระทั้นของเขา“อ๊า อ๊ะ อ๊า!”“ครางอีกสิคะ...ครางดังๆ ให้สมใจเธอที่ต้องการมัน”“อ๊า อ๊า..อื้อ!”“ดี! เด็กดี...อืมมมม...ต้องอย่างนั้น”“อาคะ! อ๊ะ!! ลึก! อ๊า!!”“ลึกไปเหรอคะ...อา...ก็หนูตอดอาแน่นเลย”ยิ่งคำพูดหวานเข้าหูยิ่งทำให้น้ำหวานตื่นตัว...เขารู้ดีว่าเธอชอบให้เขาพูดแบบนี้ ภายในตอบรับรัดตัวตนใหญ่ยักษ์ของเขาแน่นกว่าเดิม สะโพกสวนตอบรับแรงตอดรัดนั้นอย่างหนักหน่วง ความเสียวซ่านแล
“ฮะ? จะลองทำไม?”“ถ้าใส่ไม่ได้จะได้ซื้อใหม่”“ทำไมจะใส่ไม่ได้ ฉันใส่ไซด์นี้ประจำอยู่แล้ว”“แน่ใจ?”น้ำหวานชะงักไป เพราะความจริงเธอใส่แต่เสื้อหลวมๆ กระโปรงพรีทเท่านั้น พึ่งจะมาซื้อเสื้อรัดรูปกระโปรงทรงเอใส่ก็ตอนตั้งใจจะกวนประสาทคุณอาหนุ่มเท่านั้น น้ำหวานหลบสายตาเล็กน้อย แฟรงค์เห็นอย่างนั้นก็ยกยิ้มขึ้น“เกิดเธอใส่ไม่ได้ ก็ไม่มีชุดใส่ไปเรียนวันจันทร์”“รู้แล้ว จะไปลองเดียวนี้แหละ!”พูดจบน้ำหวานก็หยิบชุดนักศึกษาเดินเข้าห้องน้ำไป เพื่อลองชุดที่เธอซื้อมา แฟรงค์หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟารอหญิงสาวอย่างเงียบๆ นึกจะขัดใจเขาต้องเตรียมรับมือให้ดี ไม่นานนักน้ำหวานก็ตะโกนออกมาจากห้องน้ำโดยที่ตัวเองไม่ยอมเดินออกมา“ใส่ได้ พอดีด้วย”น้ำหวานพูดพร้อมกับมองตัวเองในกระจก แต่มันจะขัดใจเธอไปเสียหน่อยเพระเสื้อมันรัดรูปพอดีตัวแต่หน้าอกหน้าใจแน่นจนกระดุมเกือบปริออกมา ส่วนกระโปรงแค่นั่งลงก็คงจะเลิกขึ้
น้ำหวานชะงักกับคำพูดของแฟรงค์ที่ถามเธอกลับ น้ำหวานดึงสติของตัวเองก่อนจะหลบสายตาของเขาก่อน พร้อมกับคิดว่า...นั่นสิ...เธอต้องการคำตอบอะไรเหรอ ในเมื่อเธอเป็นแค่คนที่เขาซื้อมาเป็นนางบำเรอ นั่นก็มีเหตุผลมากพอที่เขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดี เหมือนกับเด็กเสี่ยที่ใครๆ เขาพูดกันนั่นแหละ แล้วเธอกำลังหวังอะไร“ไม่ต้องตอบแล้ว”“หือ? ทำไม....”“ฉันหิวแล้ว”น้ำหวานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเดินนำเขาไปในทันที แฟรงค์ขมวดคิ้วอีกครั้งมองตามหลังของคนตัวเล็กไปอย่างไม่เข้าใจ“อะไรของเธอวะ”“แบบนี้เขาเรียกสาวงอนครับนาย”“มึงนี่รู้ดี รู้เยอะ เหมือนมีเมียซุกไว้”ธาวินยิ้มกริ่มลอบมองเจ้านายของตน แฟรงค์มองธาวินด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองลูกน้องที่ถือของพะรุงพะรังเพราะสาวเจ้าเลือกซื้อมาเหมือนจะไม่ได้ซื้ออีกแล้วทั้งชาติ“พวกมึงเอาของไปเก็บที่รถแล้วไปหาอะไรแดกซะ ค่อยมาเจอกูที่รถ”
จนแล้วจนรอดเขาก็เดินตามเธอเลือกชุดชั้นใน แถมยังเลือกซื้อแบบตามใจตัวเขาเองมาเป็นโหล กลายเป็นว่าคนที่เดินตามเขาและเขินเป็นเธอเอง เพราะพนักงานก็เชียร์ขายสุดโต่งกับชุดชั้นในวาบหวิวและยังหันมาแซวว่าเธอมีแฟนหล่อแถมยังนิสัยน่ารักเอาใจใส่อีก...ก็ใช่สิ พนักงานเหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไร้ปราณีและเป็นตาแก่โรคจิตแค่ไหน“พอใจหรือยังครับอีหนู”“อย่ามาเรียกแบบนั้นนะ”“เธอเรียกฉันว่าตาแก่โรคจิตเอง...เธอก็เป็นอีหนูของตาแก่คนนี้ไง”“ใครอยากเป็นอีหนูของคุณกัน”“ไม่อยากก็เป็นไปแล้วนี่ หรือจะให้ฉันรื้อฟื้นความจำอีกหลายๆ ครั้งถึงจะได้จำได้ขึ้นใจ”“ผู้ชายคิดแต่เรื่องทะลึ่งรึไง”“ใช่ ผู้ชายมันคิดแต่เรื่องทะลึ่งกับ...ผู้หญิงของตัวเอง”แฟรงค์พูดพร้อมยื่นใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้เธอ น้ำหวานผละศีรษะออกเล็กน้อยก่อนจะสบตากับเขาค้างอยู่นาน นัยน์ตาสีอ่อนของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แววตาดุดันน่ากลัวหายไปหมดแล้วเหลือแต่แววตาทะเล้นหยอกเย้าเธอ...รอยยิ้ม