CRUSH ON YOU
ตอนที่ 8
วันต่อมา
บาสไม่ได้มารับฉันไปทำงานมานานมากแล้ว พักหลังก็แค่ไปรับหลังเลิกงานอย่างเดียว แต่ฉันก็เข้าใจได้ว่าตอนเช้าน้องมันคงจะติดเรียน หลัง ๆ มาฉันเลยต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้ออกไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าหมู่บ้านให้ทันเวลา พักนี้อาจจะเพราะไทกลับมาอยู่บ้านแล้ว ทำให้ฉันต้องเจอหน้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยได้เจอช่วงเช้าหรอกนอกจากวันนั้นที่เจ้าตัวตื่นมาวิ่ง
ตอนที่ฉันกำลังล็อกรั้วอยู่ ไทเองก็กำลังเดินออกมาจากบ้านในสภาพชุดนิสิตที่ผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า และเพราะฉันถือของเยอะทำให้การล็อกประตูรั้วเป็นไปอย่างยากลำบาก คนที่หยุดยืนเท้าแขนกับประตูรั้วบ้านตัวเองมองมาเงียบ ๆ และชั่วอึดใจร่างสูงของไทก็เดินมาหยุดยืนด้านหลัง
“เดี๋ยวไทล็อกให้”
“…”
ฉันขยับตัวออกห่างให้คนที่มือว่างอยู่ช่วย ข้อแขนสองข้างของฉันเต็มไปด้วยกระเป๋าใส่เอกสารรวมถึงปิ่นโตมื้อเที่ยงที่เตรียมไปจากบ้านเป็นประจำเลยดูเหมือนบ้าหอบฟางนิดหน่อย
และพอมีคนช่วยไม่ถึงอึดใจลูกกุญแจก็ถูกหย่อนลงในกระเป๋าฉัน
ไทไม่พูดอะไร แต่กลับดึงของที่ฉันถืออยู่ไปถือไว้ทั้งหมด และพอฉันตั้งท่าจะ
เอ่ยปากถาม ขายาว ๆ ก็เดินผ่านไปพร้อมส่งเสียงเรียก
“เดี๋ยวไทไปส่งนาเอง”
“…”
คนพูดไม่ได้รอฟังคำตอบ แต่เดินไปเปิดประตูรถพร้อมทั้งยัดข้าวของของฉันไปด้านในเสร็จสรรพก่อนจะเงยหน้ามามอง เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกกันอีกครั้ง
“มาดิ”
“จะดีเหรอไท… ไม่รีบไปเรียนเหรอ?” ฉันรู้สึกเกรงใจหนักมากเพราะนี่ก็สายแล้วด้วย
“หน้าตาไทเหมือนคนเข้าเรียนตรงเวลา?”
“…”
และไทก็ไม่รอกันอีกครั้ง เขามุดตัวเข้าไปนั่งบนรถแล้ว ถ้าฉันยังมัวแต่เกรงใจจะยิ่งทำให้เขาสายเลยต้องรีบเดินไปขึ้นรถอย่างช่วยไม่ได้
บนรถเงียบเชียบ แต่ฉันคงจะเป็นคนเดียวที่กำลังรู้สึกอึดอัด เพราะตอนนี้ไทดูท่าทางสบายอารมณ์มาก ๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรอย่างที่ควรจะเป็น ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นน้องมันขับรถเข้าหมู่บ้านด้วยความเร็วสูง แต่ตอนนี้กลับเหยียบแค่สี่สิบ
“อะไร?” เสี้ยวหน้าหล่อเหลาชำเลืองมองมา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยคงเป็นเพราะเห็นว่าฉันกำลังมองอยู่ด้วยสีหน้าข้องใจนั่นแหละ
“ไม่รีบหน่อยเหรอ? เดี๋ยวไทก็ไปสายหรอก”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
“คราวหน้าไม่ต้องนะ เจ๊เกรงใจ”
“เกรงใจทำไม… ตัวแค่นี้ถือของเยอะแยะกว่าจะเดินออกไปเรียกรถอีก ลำบากเปล่า ๆ”
“ก็ทำได้มานานแล้ว ไม่ใช่เด็ก ๆ สักหน่อย” ฉันพึมพำบอกแล้วทำหน้าบึ้งกับสายตาขบขันที่มองสภาพผู้หญิงสูงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนฯ อย่างดูถูก
“ก็ถ้างั้น… ต่อไปนี้ไทเป็นคนไปส่งเองเป็นไง?”
“…”
ฉันต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง ไทไม่ได้มองกันแค่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถราวกับสิ่งที่พูดออกมาเป็นเพียงแค่การชวนคุยธรรมดา มันไม่ปกติเลยที่ฉันจะไปรบกวนใคร ๆ ให้ไปส่งที่ทำงานในตอนเช้า เพราะทุกคนต่างก็มีอะไรที่ต้องทำอยู่แล้ว
“ไม่ต้องหรอก เจ๊ไปเองได้”
“เหอะน่า…” เมื่อเห็นว่าฉันปฏิเสธคนเอ่ยปากก็รีบหันมามอง
“ไม่ได้เดือดร้อนสักนิด”
“ไม่เอา… เจ๊จะทำให้ไทเสียเวลาได้ยังไง? มันไม่ใช่ใกล้ ๆ”
“งั้นเดี๋ยวไทตื่นเช้ารอเลย”
“…”
“ก็ถ้าแม่รู้ว่าไทกลับมาอยู่บ้านแล้วไม่มีน้ำใจกับนา… ไทก็โดนด่าอะดิ”
“…”
และก็คงเป็นครั้งแรกที่ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอกในเหตุผลที่ฟังดูเข้าเค้าอย่างที่นิสัยผู้ชายพึงจะมี อะไรก็คงไม่หนักเท่าการโดนคนที่บ้านบ่น… และยิ่งเป็นลูกคนเดียวแบบไทด้วยแล้ว คุณป้าสมรเองก็ค่อนข้างดุนิดหน่อย ไม่งั้นฉันคงไม่ได้เห็นหน้าน้องมันกลับมาอยู่ที่บ้านหรอก
“กลัวแค่เรื่องนั้นจริง?” ฉันเลิกคิ้วถามเพื่อความแน่ใจ ไทที่เห็นว่าตัวฉันคล้อยตามก็พยักหน้า
“เออดิ…”
“งั้นเดี๋ยวเจ๊โกหกให้ก็ได้ บอกว่าไทดีกับเจ๊มากเป็นไง?”
“ไม่เอา”
“ก็ถ้า…”
“หรือนาอึดอัดที่ต้องอยู่กันสองคน?”
“…”
คราวนี้เป็นฉันเองที่ชะงักไป ไทชำเลืองมองมาแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้ทัน และเป็นฉันเองที่รู้สึกข้างแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะลึก ๆ แล้วก็คิดแบบที่น้องมันว่าจริง ๆ มันไม่ใช่แค่อึดอัด แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าฉันไม่ควรอยู่กันสองต่อสองกับผู้ชายคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว
“ไม่ต้อง…” ฉันพยายามจะหาคำพูดอีกครั้งแต่คนข้าง ๆ ก็ขัดขึ้นอีกจนได้
“ปฏิเสธขนาดนี้… เสียใจนะเว้ย”
“…”
“งั้นก็ตามใจนาแล้วกัน… เราคงห่างกันมากเกินไป จะให้กลับมาสนิทแบบเก่าคงยาก…”
“…”
ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังใจอ่อนยวบอีกครั้งแค่เพราะคำพูดทำนองนี้
ไทไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ถึงตัวฉันเองก็ไม่มีคำไหนหลุดจากปากไปอีก แต่เพราะบนรถมีแต่ความเงียบชวนอึดอัดกระทั่งรถจอดสนิทลงหน้าออฟฟิศ
ทำให้จิตใจมันเริ่มจะอยู่ไม่สุข
ฉันกลัวไทโกรธ…
“ขอบคุณที่มาส่งนะ”
“…” ไททำเพียงแค่หันมามองกันเงียบ ๆ แล้วพยักหน้าส่ง ๆ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกตระหนกเข้าไปใหญ่
น้องมันโกรธฉันแน่แล้ว… หรือว่าฉันจะทำตัวห่างเหินมากเกินไปจริง ๆ
ฉันรู้สึกคิดไม่ตกตอนที่หอบข้าวหอบของลงจากรถโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดเพิ่มเติม และจนแล้วจนรอดสุดท้ายฉันก็แพ้ให้ความอ่อนยวบยาบของใจตัวเองอีกครั้ง
“งั้น… เจ๊จะช่วยค่าน้ำมันละกันนะ”
“…”
คนบนรถหันมามองกันตอนที่ฉันยืนนิ่งอยู่ที่ประตู นัยน์ตาที่เมื่อครู่ยังซึมกระทือตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นแพรวพราวพร้อมกับริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นแทบจะในทันที ไทไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้นจนฉันต้องรีบปิดประตูรถลงแล้วสับเท้าเดินเข้าออฟฟิศปกปิดใบหน้าร้อนผ่าวที่ตอนนี้อาจจะกำลังขึ้นสีแดง
เห็นแบบนั้นก็รู้ได้ในทันที… ไทแกล้งกันอีกแล้ว… กวนประสาทแบบนั้นจะมาน้อยอกน้อยใจอะไร…
ให้ตายสิ! แล้วฉันก็ไม่ทันเหลี่ยมน้องมันทุกทีเลย!
ตอนค่ำ
วันนี้บาสผิดนัดไม่ได้มารับอีกแล้ว แต่เพราะเลิกงานไว และมีบทเรียนจากครั้งก่อนทำให้ฉันรีบเรียกแท็กซี่เข้ามารับที่ออฟฟิศก่อนที่จะดึกดื่นมืดค่ำจนต้องไปรบกวนไทอีก แต่พอลงจากแท็กซี่ก็ต้องเจอกับสายตาคนข้างบ้านที่ทำท่าเหมือนจะออกไปไหนมองมา
“ทำไมกลับแท็กซี่?” ไทเลิกคิ้วถามพร้อมทั้งเปิดรั้วออกมาหากัน
ร่างสูงเดินเข้ามาช่วยฉันถือของอีกครั้ง เหตุการณ์เหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด
“พอดีบาสไม่ว่าง เจ๊เลยกลับเอง” ฉันตอบแบบขอไปทีแล้วรีบเดินไปไขกุญแจบ้าน พอหันกลับมาจะขอของคืน แต่ไทกลับเบียดตัวผ่านหน้าเดินเข้าบ้านหน้าตาเฉยเหมือนอย่างเคย
ฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะเอ่ยปากถามหรือออกปากไล่เลยจำใจเดินตามคนที่เดินนำหน้าอยู่เข้าไป พอเราเข้ามาในบ้านไทก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเงยหน้าขึ้นมามองกันเงียบ ๆ ราวกับอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูด และฉันก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าสัญญาอะไรเอาไว้
“เจ๊ลืมเลย…”
“ลืมอะไร?”
“ก็เมื่อคืนบอกไทว่าจะหาอะไรให้กิน”
“เออ… นั่นแหละ”
สีหน้าแปลก ๆ ของไทปิดแทบไม่มิด เหมือนกับเรื่องที่ทำท่าจะพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรรีบเดินไปเปิดตู้เย็นดูว่าพอจะมีอาหารสดอะไรเหลืออยู่บ้าง คงเป็นเพราะระยะหลังไท เข้า ๆ ออก ๆ บ้านกันเป็นว่าเล่น ตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยอึดอัดเหมือนวันแรก ๆ เท่าไร
ต่อให้ไทจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ทั้งยังตัวใหญ่กว่ากันเกือบเท่า
แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะเข้าหาหรือทำตัวรุ่มร่ามอะไร ก็แค่… ชอบโผล่มาบ่อย ๆ
Rrrrrr
ฉันจำต้องเดินกลับมาหาโทรศัพท์ในกระเป๋าอีกครั้ง อีกคนไม่ได้พูดอะไรแค่มองมาเงียบ ๆ นั่งเลื่อนมือถือเล่นในท่าทางผ่อนคลายราวกับเป็นบ้านของตัวเอง แต่พอเห็นว่าใครโทรเข้ามาก็ทำให้ฉันต้องเลื่อนคิ้วเข้าหากันนิด ๆ
เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหา’ลัยที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบจะปีได้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอคงเป็นตอนที่ฉันได้เจอกับบาสที่งานสังสรรค์ตอนนู้นนั่นแหละ
“ฮัลโหลส้ม…”
‘นา… เป็นไงบ้าง?’
“สบายดี ส้มเป็นไงบ้าง?”
ฉันเดินกลับไปที่ตู้เย็นเพื่อเตรียมของต่อโดยที่เหน็บโทรศัพท์ไว้ที่ข้างหู ถึงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เพื่อนโทรมาหากันวันนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะไม่ได้คุยกันนานแล้วเลยไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก แต่ปลายสายก็เงียบอยู่หลายอึดใจกว่าจะพูดต่อ
‘นายังคบกับเด็กที่ชื่อบาสอยู่ไหม?’
“อือคบอยู่”
‘เหรอ? เป็นไงบ้าง?’
“ก็ไม่ค่อยได้เจอหรอก เวลาไม่ค่อยตรงกัน”
‘…’
ฉันดึงเอาหมูสามชั้นสไลด์ออกมาจากช่องแช่แข็งพร้อมทั้งหนีบกล่องสุญญากาศที่เก็บผักสดเอาไว้เดินกลับมาวางตรงไอส์แลนด์หินอ่อน และบังเอิญสบตากับไทที่กำลังมองมาเงียบ ๆ ถึงมือจะเลื่อนโทรศัพท์อยู่
แต่สายตาไม่ได้มองตรงหน้าตัวเองเลย
“มีอะไรรึเปล่าส้ม?” ฉันละสายตากลับมาแล้วรีบถามปลายสาย
ถ้าไม่มีอะไรส้มคงไม่โทรมาหรอกมั้ง ซ้ำยังถามเรื่องบาสอีก…
‘นา… เราว่ามันนอกใจแกนะ’ หลังจากที่เงียบไปนานสุดท้ายเสียงอึกอักของปลายสายก็บอกมา
“…”
รอยยิ้มของฉันค่อย ๆ หุบลงช้า ๆ รู้สึกหัวใจกำลังเต้นแรงกับสิ่งที่ได้ยิน มือที่กำลังจะแกะพลาสติกออกจากถาดเนื้อสดชะงักค้าง แล้วเปลี่ยนมาเป็นยกหูแทนการเหน็บไว้เหมือนตอนแรก
‘ฮัลโหล… นายังอยู่ไหม?’
“ยะ… อยู่” และฉันก็ไม่สามารถบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นได้เลย
‘เราไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ… แต่เราเห็นว่านาอาจจะไม่ทันเด็กนั่นเลยอยากโทรมาบอก’ เสียงของส้มดังต่อเนื่อง น้ำเสียงดูวิตกกังวลจนฉันต้องรีบเอ่ยปาก
“ไม่เป็นไรเลยส้ม ขอบคุณที่โทรมานะ”
‘นา… ถ้าอยากมาดูให้เห็นกับตาก็ได้นะ เราเพิ่งเห็นมันเดินอยู่กับผู้หญิง’
“อะ… อือ”
‘ตอนนี้เราอยู่ที่…’
“โอเค…”
‘คิดถึงนะนา…’
“คิดถึงเหมือนกัน ไว้วันไหนว่างนัดเจอกันนะ”
‘แกจะให้เรารอเป็นเพื่อนไหม?’
“…”
‘นา?’
“ไม่เป็นไร ๆ เอ่อ… เราเตรียมอาหารอยู่เดี๋ยวไว้ค่อยคุยนะส้ม”
‘ได้… ยังไงโทรมานะ’
“จ้ะ”
เสียงปลายสายตัดไปแล้ว แต่หัวใจฉันยังไม่สามารถสงบลงได้เลย
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ใครอีกคนเดินมาหยุดยืนลงตรงหน้าดึงเอาโทรศัพท์ที่ฉันยังคงถือค้างไว้วางลงบนโต๊ะ
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าไทด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
มันเหมือนจะร้อง แต่ก็ร้องไม่ออก ฉันกับส้มเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ส้มคงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่น ประกอบกับช่วงนี้บาสเองก็หายไปบ่อย ๆ ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เพื่อนพูดมีมูลความจริงไม่มากก็น้อย
“ไท…”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเรียกน้องมันแล้วเงยหน้ามองด้วยสายตาร้องขอ ไทจ้องมองกันนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ราวกับรู้อะไรบางอย่างทั้งที่ฉันยังไม่ได้พูดออกไปด้วยซ้ำ ขายาว ๆ หมุนตัวเดินไปคว้ากุญแจรถที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะส่งเสียงเรียก
“นาอยากไปไหนรึเปล่า?”
“…”
“…”
“อยากสิ พาเจ๊ไปหน่อย”
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงไม่สงสัยอะไรไทเลย รู้ตัวอีกทีก็เดินตามน้องไปขึ้นรถ รู้ตัวอีกทีก็บอกจุดหมายปลายทางที่เพิ่งได้ยินมาจากปากเพื่อน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไทหันมามองหน้ากัน และบอกว่าถึงแล้ว
ให้ตายสิ… ทำไมขนาดว่ายังไม่เห็นเองกับตา… ฉันยังเชื่อไปแล้วล่วงหน้าได้ขนาดนี้
แค่คิดว่า… บาสอาจจะนอกใจกันจริง ๆ