LOGINแสงอาทิตย์ยามบ่ายเริ่มคล้อยแสงเปลี่ยนเป็นโพล้เพล้ ในยามใกล้ค่ำต่างเป็นที่รู้กันว่าพวกมันจะได้เปรียบ กิจวัตรประจำวันของชาววิลเลจจึงเป็นการรีบเข้าเรือนนอน ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยนัก เพราะพลังงานทั้งหมดจะถูกถ่ายโอนไปที่หน้ากำแพง
.
เจนิสเดินคอตกหงอยเหงาออกมาจากคลังอาวุธ เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกได้ว่าได้สูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่บุคคลภายนอก อำนาจของเธอกำลังถูกริดรอน และแพรวเองก็อยู่ไกลเกินกว่าจะรับรู้ปัญหานี้ ชาววิลเลจในคลังอาวุธไม่เคารพเจนิสอีกต่อไปแล้ว พวกเขาทุ่มใจให้แก่กลุ่มทหารรับจ้างจาก AP และยอมให้พวกนั้นเป็นคนบริหารจัดการคลังแทนทั้งหมด
.
ด้วยความสัตย์จริงว่ายากที่จะปฏิเสธ เจนิสไม่ต่อว่าพวกเขาสักคำ เพราะเธอเองก็เห็นพ้องต้องกันว่านวัตกรรมที่นำมาให้นั้นช่างแสนวิเศษ เหมือนกับเคสคุณหมอที่เรือนพยาบาลไม่มีผิด เธอทำได้เพียงพูดประโยคเดียวกับคุณ ริว จิตสัมผัส ที่ว่า “เรื่องนี้เจนิสจะไม่ยุ่ง” เพราะสิ่งนี้อยู่เหนือขีดความสามารถของเด็กอย่างเธอไปแล้ว และถ้าหากมันจะดีต่อวิลเลจแล้วล่ะก็ เธอเองก็ควรจะปล่อยให้เป็นไป ไม่มีประโยชน์ใดที่จะไปหวงอำนาจของตนเอาไว้
.
ร่างบางแหงนมองดูดวงตะวันที่ใกล้จะลับสันกำแพงจมหาย พลันทำให้ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้พิกัดเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองคือที่ไหนกันแน่
.
“ใช่สิ! เราจะมาตรวจสอบงานบนกำแพงไม่ใช่เหรอ? ดันเผลอเถลไถลซะได้โถ่เอ๊ย! อะไรที่แล้วไปแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ คลังอาวุธมีคนดูแลใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพอมีกระสุนให้ยิงแบบไม่จำกัด จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยทำมาตลอดยังไง”
.
“ป่ะ! , ขึ้นไปดูข้างบนกัน!”
.
เหมือนท้อและปลุกใจตัวเองไปพร้อมกัน ในทิศเบื้องหลังสาวมัธยมเริ่มมองเห็นดวงไฟจากวิลเลจทยอยดับแสงลงทีละดวงสองดวง พวกมันไล่ดับตัวเองลงเป็นระยะ เพื่อแจ้งเตือนให้ทุกคนรีบเข้าโรงนอน ก่อนที่สุดท้ายแล้วหลอดไฟสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่และไฟส่องสว่างขนาดมหึมาบนกำแพงจะสว่างโพลงขึ้น
.
“พรึบ!”
.
ขาวเจิดจ้าตามกำหนดการเช่นนี้ทุกวัน ตามติดมาด้วยคบไฟแบบตะเกียงน้ำมันที่ทยอยลุกโชติช่วงขึ้นเป็นจุด ๆ ไล่ไปตลอดแนวสันกำแพง เสริมภาพลักษณ์ให้ป้อมปราการแห่งนี้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ใครเห็นก็ต้องหวาดหวั่นไม่กล้าเข้าใกล้ แพรวใช้กลยุทธ์นี้มาตลอดหลายเดือนแล้วก็เป็นมันนี่แหละที่ช่วยป้องกันผู้ติดเชื้อ ไม่ให้บุกเข้ามาได้ตราบจนถึงปัจจุบัน
.
แต่ทว่าแม้จะดูเพอร์เฟ็กต์ขนาดนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้เจนิสเห็นถึงความผิดปกติอยู่ ตัวเธอที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนบันไดเชือกอยู่แล้วก็เลยต้องรีบป่ายปีนให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้เช็คดูว่าคืออะไรใช่อย่างที่สังหรณ์ใจไว้รึเปล่า
.
"ฮึบ! , ฮึบ! , ฮึบ! , ฮึบ! , ฮึบ!"
.
"เฮือกกก!"
.
ออกแรงกระเถิบตัวอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดมือเรียวก็ป่ายปีนจนขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของกำแพงได้ มันเป็นกำแพงไม้ไผ่ไม่ใช่กำแพงหินเฉกเช่นปราสาทราชวัง แถมข้างบนก็มีลักษณะเป็นทางเดินแคบ ๆ ที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ที่ถักสานกันเท่านั้น ความกว้างน่าจะราว 1 วากับอีก 2 ศอก เรียกได้ว่าพอให้เดินสวนกันได้คราวล่ะสองคนไม่ขาดไม่เกิน
.
และความผิดปกติแรกที่เจนิสรับรู้ได้บนนี้ก็คือ มีทหารชุดดำยืนยามอยู่เต็มไปหมด พวกเขากระจายตัวเว้นระยะห่างกันเป็นช่วง ๆ ต่างคนต่างคอยกระชับปืนพลันเล็งลงไปยังพื้นดินด้านล่าง ดุจดั่งกำลังใช้กลยุทธ์ Protect Tower ในเกม RPG กับสถานที่แห่งนี้อยู่
.
จุดแปลกที่สองคือ พวกเขาแต่ละคนล้วนใส่แว่นตาไนท์วิชชั่นที่มีฟังค์ชั่นในการมองเห็นในที่มืด เพราะฉะนั้นตลอดทั้งแนวกำแพงจึงค่อนข้างที่จะแน่นหนามาก โอกาสที่จะมีผู้ติดเชื้อจากภายนอกบุกเข้ามาได้จึงยากที่จะเกิดขึ้น แค่แมลงตัวเดียวพวกเขายังมองเห็น นับประสาอะไรกับผู้ติดเชื้อตัวเบ้อเร่อยิงยังไงก็ไม่น่าพลาด
.
และจุดแปลกที่สามซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก็คือ บนนี้มีผู้สั่งการอยู่หนึ่งคน หากยังจำกันได้เขาก็คือหัวหน้าทีมทหารรับจ้างที่คอยประชุมแผนร่วมกับมิวท์อยู่ตลอดนั่นเอง ที่เซฟเฮาส์ก็คือเขา บนเฮลิคอปเตอร์ก็ใช่ ลากยาวมาจนถึงที่นี่ที่ทั้งทุรกันดารและขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวก
.
เขาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีดำเหมือนคนอื่นแต่เสียงดังกว่าใคร ๆ มาก วิทยุตรงหัวไหล่แทบจะร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เพราะต้องคอยฟังรายงานความเคลื่อนไหว และวอร์ออกคำสั่งไปตามจุดต่าง ๆ ดูท่าทางแกจะเครียดอยู่พอตัว เพราะเป็นคนเดียวในทีมเลยก็ว่าได้ที่ถอดหมวกไหมพรมออก จนเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยผดเหงื่อแห่งความหวั่นวิตก ก่อนที่จู่ ๆ แกก็ตะคอกขึ้นมา!
.
“ห๊า! โดนเล่นงานงั้นเหรอ? จากตรงไหนรายงานมาซิ!”
.
/ซ่าาาาา~! , ซู่ , ซ่าาาาา~!/
(ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ)
.
เสี้ยวอึดใจต่อมาในทิศอุดรเบื้องหน้าเฉียงลงไป 45 องศาห่างจากแนวกำแพงราว 50 เมตร ภายใต้เงาตะคุ่มตรงบริเวณชายป่า ทุกคนก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ที่คืบคลานออกมาอย่างแช่มช้า พวกมันแหวกต้นไม้ใบหญ้าให้ล้มครือพับลงเป็นทิวแถว พร้อมกับการขย้อนเอาเศษชิ้นส่วนมนุษย์ออกมาจากลำคอ!
.
“โฮ๊กกก.. ก.. ก.. , กรรรร! , กรรรร! , โฮ๊กกกก!!!”
“อ๊วกกกก!!!”
.
แขนไปทางขาไปทางกระดูกติดเนื้อ เศษหนังพันกันอีรุงตุงนังอยู่กับเสื้อผ้าสีดำสนิท มีแม้กระทั่งเศษปลอกกระสุนที่พวกมันถ่มถุยออกมา เจ้าพวกนี้คือกลุ่มผู้ติดเชื้อโดยไม่ต้องสืบ หัวหน้าหน่วยรีบวิทยุสั่งให้คนฉายสปอร์ตไลท์หันดวงไฟไปที่นั่นทันที ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่อุปกรณ์ชนิดนี้ได้กินไฟฟ้าของทั้งหมู่บ้านเข้าไป เพราะแสงเจิดจ้าจากตัวมันได้ฉาบเคลือบไปยังจุดที่ต้องการได้อย่างสว่างไสวราวกับแสงจากพระอาทิตย์ เผยให้เห็นศพของทหารรับจ้างที่โดนคาบและฉีกกินอย่างมุมมาม! พวกผู้ติดเชื้อเขมือบร่างเขาด้วยความหิวโหย! ก่อนที่จะพากันเหลือบมองมาทางดวงไฟเป็นตาเดียวกัน พลันกระโจนเข้าหาหวังจะปะทะ!
.
“โฮ๊กกกก! , โคร่งงงง! , โคร่งงงง! ๆ ๆ ๆ , โคร่งงงง!”
.
เยอะมาก ๆ เยอะเหี้ย ๆ เยอะกว่าที่เคยสู้มาตลอด 2 วันหลัง สัญญาณสั่งยิงจึงเกิดขึ้นทันที ปากกระบอกปืนนับ 40 กระบอกยิงปูพรมสาดลงไปข้างล่างราวกับห่าฝน พวกเขาระดมยิง ๆ ๆ ! แล้วก็ยิง ๆ ๆ ! จนฝูงผู้ติดเชื้อร่วงกราวเป็นทิวแถว อย่างที่บอกว่าทุกคนสวมแว่นไนท์วิชชั่นกันหมด ทำให้กระสุนแต่ละนัดแทบจะไม่พลาดเป้าเลย ทักษะอันดีเยี่ยมบวกกับประสบการณ์ที่เคยสู้กับกลุ่มผู้ติดเชื้อในเมืองหลวงมาก่อน ทำให้ศึกครั้งนี้เหมือนจะจบเร็ว
.
เจนิสยืนดูอยู่ห่างๆ เธอหยิบเอาคันศรกับลูกธนูที่วางกองทิ้งไว้แถวนั้นมาขึ้นสายเตรียมเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อป้องกันตัวเองแต่เพราะเธอรู้ต่างหากว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอรู้ในเสี้ยวอึดใจว่ากลยุทธ์ Protect Tower แบบนี้ไม่ได้ผล! ทหารกลุ่มนี้ประมาทเกินไป ลูกทีมที่ถูกขย้ำอยู่เบื้องล่างคือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าพวกเขาไม่แกร่งพอ
.
ด้วยความสัตย์จริงว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วิลเลจไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึกทึกครึกโครมขนาดนี้มาก่อน กลยุทธ์ของแพรวสอนให้แนวหน้าทุกคนใช้ความเงียบ เพราะแพรวรู้ว่าถ้าตกตอนกลางคืนพวกมันจะได้เปรียบ พวกมันจะถึกขึ้นแกร่งขึ้นและปราดเปรียวว่องไว มิหนำซ้ำสัญชาตญาณความกลัวตายแบบคนก็จะหมดไป ซึ่งตรงนี้แหละที่น่ากลัว
.
กำแพงสูงเริ่มสั่นไหว ฝูงผู้ติดเชื้อเข้าประชิดแนวกำแพงได้ และบางส่วนก็ตวัดแขนไปด้านหลังเพื่อสะบัดเอากงเล็บที่ยาวเฟื้อยราวกับวูล์ฟเฟอรีนออกมา พวกมันพยายามปีน!
.
จากมุมมองคนนอกเจนิสมองเห็นทีมงานวิลเลจรุ่นออริจินอลเริ่มเข้ามามีบทบาท จากแต่ก่อนที่เคยเป็นกองกำลังอาสาผลัดเวรยามขึ้นมาเฝ้าตรงนี้ด้วยลูกธนูไฟ บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อก การสลบไป 3 วันของเจนิสทำให้พวกเขาถูกสั่งปลดอาวุธแบบเดิมทิ้งท้ังหมด แล้วหันมาคอยสนับสนุนพวก AP ด้วยการทำหน้าที่เป็นพลลำเลียงกระสุนแทน
.
กระสุนจากคลังอาวุธถูกส่งต่อกันขึ้นมาเป็นเข่ง ๆ ภายใต้บรรยากาศด้านในวิลเลจที่หลับไหลเงียบสงบไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่หารู้ไม่ว่าที่ตรงด้านหน้ากำแพงกำลังโคตรจะตึงเครียด ชาววิลเลจราว 20 ชีวิตปีนกำแพงขึ้นมานั่งเข้าประจำที่ พวกเขาจะนั่งอยู่ด้านหลังแนวยิงและคอยรับแม็กกาซีนเปล่าจากทหารที่ยิงเสร็จแล้ว กลับเข้ามาบรรจุกระสุนใหม่แล้วก็ส่งกลับคืนไป
.
ทำเอาเจนิสถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ไม่มีใครสนใจเธอเลย! เช่นกันกับเหล่าอาวุธยุทโธปกรณ์แบบเก่าทั้งหลายที่ถูกวางทิ้งไว้บนนี้อย่างไร้เยื่อใย ดาบเอย , ธนูเอย , หน้าไม้เอย , แม้แต่ระเบิดขวดที่มีจุกก๊อกเป็นผ้าชุบน้ำมันก็ถูกวางทิ้งไว้บนนี้ราวกับไม่เห็นคุณค่า เธอก็เลยสบถขึ้น!
.
“เฮ๊อะ! คอยดูแล้วกัน เชื่อฉันเถอะว่าพวกคุณต้านมันไมไหวหรอก!”
“รอให้ถึงเวลาของฉันก่อนเถอะ ด้วยอาวุธที่พวกคุณไม่เห็นคุณค่านี่แหละ ฉันคนเดียวก็เอาอยู่คอยดู!”
.
.
หัวหน้าหน่วยยังคงเหงื่อนองท่วมหน้า รายงานความเสียหายยังคงวิทยุเข้ามาไม่หยุดหย่อน แล้วแกจะเอาเวลาไหนไปฟังเจนิส ต่อให้เธอจะตะโกนจนสุดเสียงเขาก็ไม่ได้ยิน หูเขาได้ยินแต่เสียงร้องคำรามของพวกข้างล่าง ที่ดังยิ่งกว่าเสียงปืนซะอีก!
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ