คลับ S
คืนนี้ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับการมาดื่มเลี้ยงฉลองสำหรับพี่รหัสของไอ้เม่าที่เพิ่งได้ติดต่อมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกาว่าเขาได้รับเลือกเข้าเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยที่พี่เขาเป็นเด็กเรียน แต่ดันชอบจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ถึงขนาดเหมาคลับเลี้ยงรุ่นน้องที่รู้จักกัน งานมันเลยค่อนข้างกร่อยและเงียบ แม้จะมีเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟไม่อั้นก็ตามที แต่เพราะมันน่าเบื่อมาก ตอนนี้ฉันเลยเอาแต่นั่งพิงไหล่คิน ทิ้งตัวลงอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับดื่มไวน์ไปแล้วเป็นแก้วที่ 5 ได้
“วินเซนต์ แกออกไปคุยกับพี่ข้างนอกหน่อยสิ”
เสียงน้ันเรียกความสนใจจากทุกคน รุ่นของเม่าหรือไอ้วินเซนต์เดินเข้ามาหา เธอส่งยิ้มให้เราทุกคนก่อนหยุดสายตาอยู่ที่เพื่อนวินเซนต์ที่เราเรียกว่าเม่าอย่างเศร้าสร้อย
“ตอนนี้เลยเหรอ?” เม่าถาม ถึงทำท่าเหมือนอยากจะไป แต่ก็เหมือนเกรงใจพวกเราอยู่ มันคงคิดว่างานนี้ตัวเองชวนเพื่อนมา ถ้าไม่อยู่ด้วยคงเสียมารยาท
“ไปเหอะมึง พวกกูอยู่ได้ โตๆ กันแล้วเนี่ย” ฉันพูดขึ้นก่อนเม่าจะปฏิเสธพี่เขาไป ดูท่าแล้วพี่สาวคนนี้คงมีเรื่องสำคัญมากอยากคุย
ปกติพี่รหัสของไอ้เม่าจะไม่ค่อยเข้ามาทักพวกเรา หรือมาอยู่ใกล้ ตั้งแต่เรียนมาจนเธอจบออกไปแล้วเราอยู่ปีสี่กัน พี่เขาก็ยังคงรักษาระยะห่าง ยกเว้นตอนนี้ เหมือนกับว่าเธอกำลังต้องการทำอะไรบางอย่าง
“งั้นเดี๋ยวกูมา ถ้าจะกลับก็ส่งข้อความหาเข้าใจไหม”
“อือๆ”
แล้วมันก็ลุกเดินไปพร้อมกับพี่เขา เรากลับมานั่งเงียบเหมือนเดิม เวลยังคงใช้เวลาไปกับการเล่นเกมท่ามกลางงานเลี้ยง คนที่ฉันกำลังทิ้งตัวพิงไหล่อยู่ก็นั่งแชตคุยกับใครไม่รู้นานสองนานแล้วแบบไม่สนใจคนอื่นใดรอบตัว ส่วนฉันยังคงส่งไวน์เข้าปากไม่หยุด เพราะช่วงนี้เครียดหนักเรื่องโครงการ ไหนจะต้องออกไปดูงานต่างจังหวัดอีก
เราเรียนปีสุดท้ายแล้ว และสาขาวิศวะที่เราเลือกเรียนมันต้องเลือกที่จะออกพื้นสำรวจจริง ฉันคิดหนักเพราะไม่รู้จะลงไปที่ไหน กลาง อีสาน หรือตะวันออกดี มันหลายอย่างมากจนปวดหัวไปหมด โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานท่ามกลางผู้ชายที่แทบไม่มีประโยชน์สามตัวนี้
“เบาๆ หน่อย เดี๋ยวแม่งก็เมา” คนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่นานพูดขึ้น มือใหญ่ดันหัวฉันออกจากไหล่ให้กลับไปนั่งตัวตรง
พอถูกผลักออกไร้ที่พิงหัวฉันก็หมุนทันที นี่ไม่รู้เลยว่าตัวเองเมา กระทั่งหัวโงนเงนทำท่าจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่
“เมาไร ไวน์แค่ห้าแก้วไม่สะทกสะท้านกระเพาะด้วยซ้ำ” ฉันเชิดหน้าขึ้น เริ่มเห็นหน้าคินไม่ชัดเหมือนคนสายตาสั้นไปแล้ว
“แน่ใจ? กูว่ามึงหน้าแดงแล้ว” คนตัวใหญ่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนฉันผงะถอย ด้วยความที่ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่แล้วเลยหงายหลังตึงใส่ตักเวล หัวกระแทกต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของมันเต็มๆ
“เชี่ยเวล ขาหรือเหล็กวะ แข็งฉิบหาย โอยย…หัวกู”
คนถูกด่าสะดุ้งเล็กน้อย เวลทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างตัวก่อนใช้นิ้วชี้ดันหัวฉันหนีจากตักมัน
“ถ้าแข็งก็ไม่ต้องมาหนุน ตักนี้มีไว้เพื่อแฟน ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่ใช่ผู้หญิงแบบมึงไอ้ดาว” พูดจบก็ทำท่าเหมือนจะอ้วกใส่ฉัน เหมือนรังเกียจกันแบบสุดๆ
ป๊าด!!! ไอ้บ้านี่ กล้าดียังไงมาทำหน้าทำตารังเกียจใส่ฉันแบบนั้นน่ะ
“ไอ้เวร…” กอดอกยืดตัวขึ้นทันใด ตอนนี้เมาคืออะไรฉันไม่รู้จักแล้ว “ถ้าวันไหนกูเลื่อนขั้นเป็นเมียมึงนะ…” ชี้หน้ามันอย่างเอาเรื่อง
ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบประโยค หนึ่งมือใหญ่หยาบกร้านน้อยๆ ก็รวบนิ้วฉัน แล้วร่างทั้งร่างก็ลอยวืดหนีห่างจากเวล
ตุบ!
กลับมานอนบนตักแข็งๆ ของใครอีกคนแทนเฉยเลย
อะไรวะเนี่ย?
“นอนตักกูนี่ ไอ้เวลมันหวงตักก็ไม่ต้องไปบังคับนอนหนุนมัน” คินพูดอย่างไม่มองหน้าฉัน ตัวมันตอนนี้รินเหล้าอยู่ด้วยซ้ำ “อีกอย่าง ถ้าคิดว่าไอ้เวลจะเอามึงทำเมียนี่ฝันไปเหอะ คิดว่าทั้งโลกนี้เหลือมึงกับแมลงสาบให้เลือก มันยังเลือกแมลงสาบเป็นเมียเลยดาว”
อึก!
สะอึกจนแทบสิ้นใจ ทำไมเพื่อนแต่ละคนของฉันมันใจร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้กันจังวะ
“รู้ได้ไงว่าไอ้เวลมันจะไม่เลือกกู” ฉันพูดแล้วหันไปสะกิดเข่าเวลด้วยนิ้วเท้าเบาๆ เวลเงยขึ้น เลิกคิ้วตั้งคำถามแทนพูด “ระหว่างแมลงสาบกับกู มึงจะเลือกใครทำเมีย?” ถามมันไปตรงๆ เลย อยากรู้คำตอบเหมือนกัน
“มึงก็รู้ว่ากูเกลียดแมลงสาบ…”
“หมายถึงมึงจะเลือกกู?”
เวลเงียบไป มึงหน้าคินแล้วหลุบตามองฉันด้วยรอยยิ้มแสนร้ายกาจ “กูเลือกมึงก็เอามึงเป็นเมียไม่ลงว่ะ ขอไม่เลือกทั้งสองแล้วฆ่าตัวตายดีกว่า กูขอไปพบพระเจ้าดีกว่าต้องตกนรกอยู่กับมึง กับแมลงสาบ เอเมน”
พูดจบไอ้เพื่อนตัวดีก็สวดภาวนาถึงพระเจ้าที่มันนับถือ ก่อนขยับหนีจากฉันไกลกว่าเดิม เพราะเท้าฉันกำลังยกขึ้นเพื่อถีบมันด้วยความแค้น
ใจร้ายมาก! ไอ้เวลมันร้ายกว่าทุกคนเลยเรื่องปากเนี่ย
“ไอ้เวล ไอ้เลว! มานี่เลยนะ กูจะถีบปากหมาๆ มึงให้”
ฉันทำท่าจะลุกไปขย้ำหัวเวลให้ได้ แต่ตัวยังไม่ทันได้นั่งดีด้วยซ้ำก็ถูกผลักลงนอนที่เดิม
“มึงถามมันเอง จะไปโกรธอะไรมัน” คินพูดทั้งยังส่ายหน้าไปมา
“เออ ช่วยไม่ได้ อยากถามกูเอง มึงกูรู้ว่ากูเกลียดแมลงสาบ”
“แล้วมึงเกลียดกูด้วย?”
“ไม่ กูรักมึง แต่ไม่กล้าเอาทำเมีย เดี๋ยวหัวแบะ”
“หัวแบะ?” นั่นทำให้ฉันขมวดคิ้ว ทำไมเวลถึงพูดอย่างกับว่าฉันมีเจ้าของแล้วเลย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอีนับดาวโสดมากกว่า 8 ปีแล้วค่ะ
“เออ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แบบเพื่อนรักดีกว่า”
ฉันเงียบไป ครุ่นคิดกับประโยคของเวล พออ้าปากกะว่าจะถามอะไรต่อ ไวน์หนึ่งแก้วก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้าซะแล้ว
มองมันครู่หนึ่งก่อนเงยหน้ามองคนที่ยื่นแก้วให้ “อะไร”
“ดื่มไปมึงอ่ะ พูดมาก น่ารำคาญ”
“จ้ะ!”
เพื่อนฉันแต่ละคนนี่ดีๆ ทั้งนั้นเลยแหะ ให้เกียรติฉันดีทุกคนมันเลยสิน่า!
รับแก้วมาแล้วยันตัวลุกขึ้นดื่มดีๆ หลังจากนั้นเราสามคนก็เข้าโหมด Introvert ต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเอง เวลกลับไปเล่นเกม คินนั่งพิมพ์ข้อความอย่างกับกำลังแข่งพิมพ์เร็ว ส่วนฉันนั่งชันเข่าดื่มเงียบๆ ดูบรรยากาศรอบข้าง จนกระทั่ง
ปุก!
หัวหนักๆ ปะทะเข้ากับไหล่กว้างของคนที่นั่งข้างๆ
“เมา?” คินเลิกคิ้วถาม แต่ก็ไม่ได้ผลักออก ยังยกแขนขึ้นโอบไหล่ฉันไว้หลวม เพราะไม่อยากให้หล่นลงไปนอนกับพื้น หรือโซฟา
ฉันเพียงพยักหน้าตอบ ซบหัวลงกับอกกว้าง ขยับตัวเข้าใกล้คินจนรู้สึกถึงความอุ่นของร่างกาย
“นอนได้นะ เดี๋ยวพากลับบ้าน”
“อือ”
พูดตอบเบาๆ ฉันพยายามหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ทว่าไม่รู้ทำไมเปลือกตามันถึงไม่ยอมปิด ฉันเอาแต่โฟกัสหนึ่งสิ่งตรงหน้าอกคินที่มันนูนออกมาจนเห็นเป็นตุ่มเล็กๆ น่ารัก
ไม่รู้ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้เอื้อมมือสะกิดมันเบาๆ สองสามครั้ง อาจจะเพราะฉันกำลังคิดว่ามันคือเห็บ เลยใจดีจะเขี่ยออกให้เพื่อนมั้ง
“อือ… ไอ้ดาว!” คินครางแผ่วตอนปลายเล็บโดนมัน “หยุดเลยนะ” ก่อนเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเข้มขึ้น
ฉันยังไม่หยุด เขี่ยมันเล่นอยู่อย่างนั้นกระทั่งเหมือนคินจะทนไม่ไหวอีกต่อไป มันผลักฉันออกไปไกลจนแทบโดนเวลด้วยความแรง
“เขี่ยหัวนมกูอยู่ได้ไอ้ดาว เดี๋ยวแม่ง…!”
“เดี๋ยวอะไร พูดมาให้หมด” อายเพราะเมาเลยโมโหมากกว่าปกติ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพิ่งทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเพื่อนไป ฉันเท้าเอวมองคินอย่างเอาเรื่อง
“เดี๋ยวกูจับ… แม่ง!”
“…!”
ประโยคนั้นทำฉันอ้าปากค้าง ส่วนไอ้คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับเกมถึงกับทำโทรศัพท์หล่นมือ
[Vincent’ s POV]ผมเคยคิดเล่นๆ นะว่าชีวิตคนเรามันดราม่าได้สักแค่ไหนกันเชียว จนกระทั่งวันหนึ่งรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบและพึงใจมานานมาภาพรักในตอนที่เธอกำลังไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องมาบอกว่าชอบในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอไม่ได้ขอสถานะ ขอแค่ให้ได้มีผมอยู่ข้างๆ ก็พอดีและผมก็ตอบรับมันอย่างเต็มใจในวันนั้นผมคบกับเธอแบบไม่มีสถานะ เรานอนด้วยกัน ผมเลี้ยงดูเธอเหมือนเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ใช้งาน ไม่ได้ให้ใจ ไม่ได้ให้อย่างอื่นนอกจากเงินและเซ็กซ์ดีๆ และเธอก็ยอมรับมัน เข้าใจ ไม่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่อยากเลื่อนขั้นแต่อย่างใด“พี่วินซ์… พี่ว่าเราเป็นอะไรกัน”จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็ถามผมขึ้นในขณะที่กำลังบรรจงจูบเธออย่างดูดดื่มท่ามกลางแสงจันทร์“คู่ขา คู่นอน อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แฟน”“อ้อ อย่างนั้นเหรอคะ ดีใจจังที่ได้รู้”เธอตอบแบบยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด ทั้งยังกอดผม เรียกชื่อผมทั้งคืนอีกต่างหาก ทว่าเมื่อตอนเช้ามาถึง ตัวเล็กๆ กลับหายไป ไม่ทิ้งแม้กระทั่งความอบอุ่นบนเตียงเอาไว้วันแรกที่เธอหาย ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใดสัปดาห์ต่อมาก็ยังไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปกระทั่งหหนึ่งเดือนผ่าน อยู
[Valton’ s Pov]ผมคือหนึ่งในลูกที่ครอบครัวตั้งความหวังมากเกินไป และตามใจจนเสียนิสัย เป็นคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ดูผิวเผินผมอาจจะเป็นลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดูเปราะบางน่าทะนุถนอมเหมือนหญิงสาว แต่เนื้อในผมไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆ ดื้อรั้น ชอบทำตามใจตัวเองเสียจนเคยตัว มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ผมจะยอมก้มหัวให้ และพวกนั้นก็คือเพื่อนในกลุ่มเรา นั่นคือ คิน นับดาว และวินเซนต์เท่านั้นพ่อผมเป็นชาวเอสโตเนีย เป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองเมืองหนึ่ง ท่านทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งเทา และขาวสะอาด เดินทางไปรอบโลกเพื่อติดต่อเจรจาหาคู่ค้าอยู่เสมอจนมาหยุดที่นี่ ที่เมืองไทย เมื่อเจอแม่ผมเข้า ทั้งสองแต่งงานมีลูก และเลิกราเพราะพ่อเจอคนที่ถูกใจกว่าในตอนไปติดต่อการค้าในประเทศอื่นถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูผมตลอด เงินไม่เคยขาดมือ อยากได้อะไรก็ประเคนให้ เพราะเหตุผลเดียวเลยคือ ท่านเป็นหมันหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่สามารถมีลูกได้อีก นั่นหมายถึง ผมคือทายาทคนเดียวที่มียังไงล่ะพ่อตั้งความหวังไว้กับผมสูงมาก อยากให้ผมเรียนวิศวกรรมการบิน เพราะจะได้สานต่อธุรกิจที่มี แต่ผมที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่เพี
เที่ยงคืนหลังจากที่เราแยกย้ายห้องใครห้องมัน ฉันกับคินก็จูงมือกันออกมาขับรถเล่นที่บ่อกุ้งของเพื่อระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนที่เราเกือบมีอะไรกันตรงท่าน้ำฉันหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมพร้อมไม้ตกกุ้ง ไม่นานคินก็นั่งลงตาม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เว้นระยะห่างเหมือนเคย ขยับเข้ามาเบียดฉันทั้งยังโอบไหล่หลวมๆ“ไม่ต้องมาเบียดขนาดนั้นก็ได้มั้ง คืนนี้ไม่ได้หนาว” ขยับเข้าชิดเขา แต่ปากคือไล่ ฉันก็แค่เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจอ่ะนะ เรื่องนี้คินรู้ดีเลยไม่ถือสา“ก็อยากกอดแฟน” พูดทั้งยังเกยคางบนหัวฉัน “อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ อยากกอดตลอดไปเลย”“พูดดีไปเถอะ เดี๋ยววันหนึ่งก็เบื่อกันอยู่ดี”คินผละออกมามองหน้าฉัน ก่อนหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยว “ทำไมกล้าพูดว่ากูจะเบื่อมึงอ่ะ นี่คบกันมากี่ปีแล้ว”“ไม่รู้สิคิน แค่คิดว่าพอสถานะเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน วันหนึ่งกูอาจจะคาดหวังกับมึงมากเกินไปแล้วมึงรำคาญก็ได้ใครจะรู้”คินยิ้มเหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉันกังวลเรื่องนี้ บางทีตอนพูดกับพ่อเมื่อตอนกลางวันเขาคงแอบได้ยินมันเลยไม่ได้ตกใจอะไรกับคำพูดฉันมาก“ก็ไม่เห็นเปลี่ยนนี่ เรารักกันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไม่เห็นเหรอ”“ก็เห็น” คินแสดง
เราใช้เวลาซื้อของประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนพากันขับรถตรงไปยังบ่อกุ้ง ระหว่างทางฉันก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองก่อนเจอกันให้คินฟังเขาเป็นคนรับฟังที่ค่อนข้างดี ไม่ดุ ไม่ว่าที่ฉันทำตัวไม่ดี และที่สำคัญยังชมว่าฉันเก่งที่ก้าวข้ามมันมาได้ฉันรู้ด้วยตัวเองไงว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เพราะงั้นหลังจากถูกลงโทษแล้วพ่อส่งไปดัดสันดานกับพี่เดือนที่กรุงเทพฯ เลยไม่ขัดขืน เต็มใจที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ และที่ไม่น่าเชื่อเลยคือ ฉันไปได้ดีมากกับทางใหม่ที่เลือก อาจจะเพราะได้เจอคิน ไม่ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีกว่ามากก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าที่บ้านไม่ดีอะไรหรอกนะ แต่เพื่อนที่ฉันคบในโรงเรียนพาฉันไปทำในสิ่งที่ไม่น่ารักซะส่วนใหญ่น่ะสิ แล้วเด็กอ่ะนะ ยิ่งมีคนอวยยิ่งได้ใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เห็น มีคนเกลียดจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้วก็ตาม“มาแล้ว!!”ตู้ม!ร้องเสียงดังวิ่งตรงไปยังบ่อกุ้งของพ่อ กระโดดตูมลงน้ำแบบไม่ฟังพ่อห้ามเลยสักนิด“ไอ้ดาว กุ้งตื่นหมดแล้ว” เสียงเอ็ดนี้ไม่ใช่จากพ่อ แต่เป็นเวลที่ตอนนี้จดจ่อ ตั้งใจสุดๆ กับการลากตาข่ายต้อนเจ้ากุ้งที่แสนน่ารัก“กูอยากช่วย”“ไปไกลๆ เลย กูจะทำเอง กุ้งกูหายหมด
เราเดินทางมายังบ้านพ่อแม่ฉันหลังจากเคลียร์ปัญหา และจัดการเรื่องโปรเจกต์เรียนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เราสี่คน (ฉัน คิน เวล และเม่า) ยังมีแม่ของคินตามมาด้วยเพื่อมาขออนุญาตให้ลูกๆ ได้คบกันทีแรกฉันบอกท่านแล้วนะว่าไม่ต้องก็ได้ แต่คุณหญิงดื้อมาก ท่านบอกไม่ได้ พูดแบบนั้นไม่ดี (ตำหนิฉันไปอีก) ยังไงผู้ใหญ่ต้องมาพูดเองถึงจะถูก ส่วนเรื่องหมั้นหมายไม่ได้บังคับ แล้วแต่เราทั้งสองเลยเอาตรงๆ นะ ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าคุณหญิงมาตากำลังเร่งจับฉันแต่งงานกับคินอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งหนัก โทรคุยกับแม่ฉันเป็นวรรคเป็นเวร มีแอบไปได้ยินว่าแพลนจะอุ้มหลานกี่คนด้วยนะคืออีดาวเพิ่งยี่สิบต้นๆ นะ ยังไม่พร้อมเสียสละเวลาไปเลี้ยงเด็กขนาดนั้นแต่ข้อดีคือพวกแม่ๆ ไม่ได้กดดันกันตรงๆ เพียงแค่พูดว่าอยากมีหลาน เพราะครอบครัวฉัน พี่เดือนตอนนี้ก็ยังไม่ท้อง ฉันเองยังเรียนอยู่มีลูกไม่ได้ ส่วนคินเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน ถ้ามันไม่แต่งงานหรือทำผู้หญิงท้องยังไงคุณหญิงก็ไม่มีวันได้เห็นหน้าหลานถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็แอบกดดันไม่น้อยอ่ะนะ ถ้าเราสองคนคบกันนานจนขนาดแต่งงานมีลูกได้ก็ค่อยว่ากันอีกที อนาคตไม่
“คิน…”น้ำเสียงเธออ้อนวอนเสียจนใจผมสั่น จัดการจับเรียวขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ก่อนรูดชั้นในสีดำลายลูกไม้สุดเซ็กซี่ออกจากขาเธออย่างช้าๆ ไปกองไว้ที่ข้อขาข้างหนึ่งผมมองหน้าเธอไม่ละสายตาไปไหน มองจนนับดาวต้องหลบตาไปเองเพราะเขิน“มองเหมือนอยากจะกินกันทั้งตัว…” เธอพูดเบาๆ ในลำคอ“ก็อยากจับกินจริง ไม่ผิดเลยสักนิด”พูดจบก็จุ๊บเบาๆ ตรงข้อเท้าเธอ นับดาวมีปฏิกิริยาทันที เธอขยับตัวหนึ่งครั้ง แล้วหลับตาพริ้มมีความสุขเมื่อผมไล่จูบขึ้นไปตามปลีน่อง ขาอ่อนและมาหยุดตรงส่วนที่น่าหลงใหลที่สุดสะโพกยกขึ้นสูงอย่างไม่ต้องเอ่ยขอ ผมใช้มือช้อนใต้ก้นอวบอัดเธอไว้ ดันขึ้นสูงอีกนิดแล้วฝังหน้าลงไปดูดกินเธออย่างคนหิวกระจาย“อา คิน!”นับดาวไม่เก็บเสียงอีกต่อไป ทันทีที่ลิ้นของผมเลียย้ำๆ ไปยังจุดอ่อนไหวที่สุดเธอก็กรีดร้องเสียงหวาน สะโพกบิดเร่าไปมา เรียวขาทั้งสองเปิดอ้าสลับกับหนีบหัวผมไว้ เห็นดังนั้นผมยิ่งคึกคัก อยากจะช่วยเธอถึงฝั่งฝันให้เร็วขึ้นผมขยับตัวหนีห่างเพื่อมองหน้าเธอเล็กน้อย ตอนนี้แก้มทั้งสองของนับดาวสุกปลั่งราวกับเพิ่งได้ตากแดดมา ริมฝีปากอิ่มสวยอ้าค้าง แลบลิ้นสีสดออกมาเพื่อระบายความร้อนของร่างกายเซ็กซี่เป
[Akirah’ s POV]“ฝันดีฮะแม่ วันศุกร์นี้อย่าลืมนะฮะว่าเราต้องไปบ้านไอ้ดาว”“ไม่ลืมหรอกลูก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เมีย”“งั้นผมไปนะฮะ”“จ้ะสุดหล่อของมาม้า แต่อย่าลืมนะว่าห้ามเข้าห้องนับดาว”“ไม่เข้าแน่นอนครับ”ผมยิ้มหวาน จุ๊บแก้มแม่เบาๆ บอกฝันดีท่าน ก่อนเดินเร็วๆ ออกจากห้องเพื่อตรงไปยังอีกห้องที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งไม่ใช่ห้องผมแน่นอนวันศุกร์นี้เราจะเดินทางไปยังบ้านนับดาว เพื่อให้ผู้ใหญ่คุยกันเรื่องการคบหาอย่างเปิดเผยที่จริงแม่ผมบอกว่าไม่ได้อยากเร่งเร้า ไม่ได้รีบร้อนหรืออะไรเลย แต่แค่อยากไปพบพ่อกับแม่นับดาวเพราะเหตุผลหลักๆ เลยคือไปจองตัวไว้ อีกอย่างคือท่านรู้ว่าผมได้เสียกับนับดาวแล้ว เลยอยากจะให้เกียรติเธอด้วยการไปบอกกล่าว ผูกแขนเอาไว้ตามวัฒนธรรมคนอีสาน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ขัด นับดาวก็ไม่ได้ว่า เหมือนฝั่งครอบครัวเธอก็ไม่ค้าน สรุปทุกอย่างลงตัว พร้อมเปิดทางให้เราหมดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมานั่งดราม่าแม่ไม่ชอบเมียเหมือนคนส่วนใหญ่เป็นกัน อาจจะเพราะแม่ผมชอบนับดาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเลยง่ายขึ้นก็คนที่ฉุดกระชาก ดึงผมให้ออกมามีที่หายใจบนโลกนี้ได้ก็คือนับดาวนี่นะ จะไม่ให
คินพาฉันมาที่บ้านใหม่แม่เขาประมาณสองสัปดาห์ต่อมา วันนี้เป็นวันขึ้นบ้านใหม่ พ่วงด้วยปาร์ตี้สละโสดของคุณหญิงมาตา จะไม่มาแสดงความยินดีในฐานะว่าที่สะใภ้ (เขิน~) คงไม่ได้ฉันแต่งตัวให้น่ารักที่สุด ใช้ชุดที่ท่านซื้อให้ จ้างช่างแต่งหน้าทำผมมาโดยเฉพาะเพื่อไม่ให้คุณหญิงเสียหน้า รู้ว่าสังคมของท่านคงมีแต่คนรวย จะมาทำตัวเป็นอีสร้อยอีแซวคงไม่ได้ ฉันรู้จักกาลเทศะดีแต่ถึงอย่างนั้นพอก้าวเข้ามาในงาน ก็ไม่วายโดนตีราคาว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำมาเกาะบ้านคุณหญิงกินอยู่ดี เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เป็นแบบนั้น เพื่อนคุณหญิงส่วนใหญ่น่ารักกันหมด มีเพียงแค่ประมาณสองถึงสามคนที่มองฉันแบบเปิดเผยว่ารังเกียจนั่นทำให้ฉันกลัวไหม?ก็ไม่อีกนั่นแหละ มองแรงมา อีนี่ก็มองแรงกลับ เบะปากใส่ฉันเพราะหมั่นไส้ อีนี่ก็เบะปากใส่เป็นพี่กิ๊ก สุวัจนี เหมือนกัน หลายคนพอเห็นฉันตอบโต้กลับ ก็ไม่นึกกล้าเสนอหน้าออกมาให้ด่า ไม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องนับดาวคนนี้เอาเรื่องพอตัว“คิน หนูคินคะ”ขณะที่เรากำลังเดินไปยังซุ้มเครื่องดื่มหลังจากทักทาย มอบของขวัญให้คุณแม่คินเสร็จแล้ว อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักคิน เธอคนนั้นรูปร่างหน้าตา
“เหมือนตอนเด็กๆ เราจะเคยเล่นด้วยกันน่ะ แม่น้องเป็นเพื่อนกับแม่กู ชอบพาลูกมาเล่นด้วยกันบ่อยๆ เหมือนผู้ใหญ่ก็ยุว่าจะจับหมั้นบ้าง จับให้คู่กันบ้าง โตขึ้นจะผูกแขนให้เป็นแฟนกันบ้าง นานเข้าๆ เด็กมันคงคิดลึก คิดว่าจะได้กับกูเลยฝังใจ เริ่มตามกูแบบเงียบๆ มาตั้งแต่ตอนคบกับมึงใหม่ๆ จำได้ไหมช่วงมอปลายที่เรารู้จักกัน”“อือ” นับดาวพยักหน้าตอบเบาๆ “เหมือนเคยเห็นหน้าโรงเรียนบ่อยๆ ทีแรกนึกว่ามาหาใคร ที่แท้มาหามึงนี่เอง”“ใช่ เด็กนั่นมาดักรอกู แค่ให้เห็นหน้าแล้วเขาก็ไปแค่นั้น”นับดาวครางเสียงต่ำในลำคอ เกาคางตัวเองครุ่นคิดกับอะไรบางอย่างอยู่ น่าจะกำลังระลึกชาติ ทบทวนความจำตัวเอง ส่วนสองคนที่เหลือแค่นั่งพิงโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ รอฟังเท่านั้น ไม่ได้เอายถามหรือทำอะไรมากกว่านี้“มีช่วงเข้ามหาลัยปีสามปีสี่นี่แหละเริ่มหนักสุดเพราะกูกับมึงเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น เด็กนั่นคงหึงเลยเริ่มตามกูไปทุกที่ ทำตัวเป็นสต็อกเกอร์ จ่ายใต้โต๊ะกับคอนโดฯ ที่กูอยู่เพื่อให้ได้คีย์การ์ดเปิดห้อง จ่ายให้กับทุกคนเพื่อเข้าถึงตัวกู ดีว่าตอนนั้นกูระแคะระคายก่อนเลยยังปลอดภัย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง”“มึงควรเอาเรื่องคอนโดฯ ม