“จับของกูบ่อยๆ ระวังกูปล่อยในมึงสักวัน” “กลัวตายล่ะ” เพราะเป็นคนจัญไรอยู่แล้วเลยเล่นกับเพื่อนที่ศีลเสมอกันถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่คิดอะไร แต่ไปไงมาไง ทำไมผีผลักกลายเป็นเราสองคนได้ในกระท่อมกลางนาวะเนี่ย "ไอ้คิน มึง...กี่นิ้วอ่ะ" "เก้าครึ่ง ทำไม" "ก็ว่าอยู่ทำไมเจ็บฉิบหาย ที่แท้ใหญ่กว่าพี่โด้ (ดิลโด้) กูห้านิ้วกว่านี่เอง"
View More“ฮ้าว…”
ฉันปิดปากหาวเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าหลังจากนั่งรอพี่สาวแสนสวยหาตัวช่วยในการหัวผัวมาแล้วกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
“ง่วงอ่ะพี่เดือน” ปรือตามองพี่เดือนแล้วหาวใส่หน้าเธออีกครั้ง
ฉันง่วงมากๆ ง่วงจนสามารถทอดกายนอนตรงไหนก็ได้บนพื้นไม้แล้วเนี่ย
“เมื่อคืนไม่ยอมนอนเอง บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะให้ขับรถพามาดูดวงที่นครปฐมน่ะ” พี่เดือนพูดก่อนหันไปชะเง้อมองดูว่าตอนนี้ถึงคิวตัวเองแล้วหรือยัง
“ก็ไอ้คินมันชวน จะไม่ไปก็ยังไงอยู่” พาดพิงถึงอีกคน พอฉันพูดชื่อนั้นพลันเจ้าของมันก็ปิดปากจามเสียงดังตามมาแทบจะทันที “แถมไอ้เม่ามันเลี้ยงด้วย ไม่ไปคือเสียโอกาส”
เมื่อคืนเพื่อนรักเพื่อนเลิฟที่ปกติไม่ค่อยควักตังค์จ่ายเงินให้กับอะไรง่ายๆ เกิดเป็นบ้าอยากเลี้ยงเหล้าขึ้นมา จะให้พลาดโอกาสนี้ก็ยังไงอยู่ มันเหมือนเป็นบุญอ่ะนะ เพื่อนที่ขี้เหนียวที่สุดยอมเลี้ยงคุณ เพราะงั้นฉันเลยจัดมันซะเต็มที่ ลำบากไอ้คินลากกลับบ้านด้วยสภาพไม่ต่างจากหมาตอนตีสี่ แล้วฉันต้องตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเพื่อขับรถพาพี่เดือน (ที่ขับรถไม่เป็น) มาดูดวงกับหมอดู (ที่คิดว่า) แม่นมากคนหนึ่ง แต่ฉันดันแฮงค์หนักและยังมึนไม่หาย คินเลยอาสาขับให้ เพราะเจ้านั่นมันค้างบ้านฉันไม่ยอมกลับห้องเมื่อคืน
“เห็นแก่กิน”
“ก็รู้ดีว่าน้องเป็นยังไง ฮ่า” หัวเราะแหะใส่พี่สาวเบาๆ “ว่าแต่เมื่อไหร่จะถึงคิวพี่อะ นี่เรารอเป็นชั่วโมงแล้วนะ”
“อีกคิวเดียว เดี๋ยวคงเรียกมั้ง” พี่เดือนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจแผ่ว “เบื่อแล้วเหมือนกัน อุตส่าห์จองคิวไว้เป็นเดือนๆ ไม่คิดว่ามาถึงหน้างานจะต้องรออีก”
“จองคิวเป็นเดือน? ถามจริง เพื่ออะไร”
ฉันถามด้วยสีหน้าจริงจัง ว่ากันตามตรงคือไม่เชื่ออะไรแบบนี้เลยสักนิด ฉันไม่ชอบเรื่องงมงาย ต่างจากพี่เดือนลิบลับ รายนี้น่ะดูดวงเก่ง แก้ดวงเก่ง แต่ไม่ว่าจะแก้ยังไงเธอก็ยังหาสามีไม่ได้สักที เพราะเหตุนี้ฉันถึงคิดว่ามันไร้สาระไง
แต่พี่มันไม่เข็ดไม่หลาบ เราสามคนเลยมานั่งจุ้มปุ๊กรอคิวดูดวงกันเป็นชั่วโมงอยู่นี่ไง
“ก็ชอบ แค่ชอบดูไม่ได้เหรอ” พี่เดือนทำตาปริบๆ ใส่ ฉีกยิ้มหวานปานนรผึ้ง คงหวังทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมั้ง แต่รู้อะไรไหม นอกจากมันไม่ได้ผลแล้ว ฉันยังโคตรจะหงุดหงิดเพิ่มเข้าไปอีก
คิดไงมายิ้มใส่น้องแบบนั้น สยองเกล้าไปหมด
“ขอร้องพี่อย่ายิ้มแบบนั้น มันยิ่งทำให้ฉันเครียดเข้าไปใหญ่ไม่รู้หรือไง”
“เอ๊ะ ไอ้ดาว! เดี๋ยวแม่ฟาดให้ นี่พี่นะโว้ยไอ้เด็กนี่”
มือน้อยๆ ยกขึ้นทำท่าจะฟาดมาไหล่ฉัน แต่เป็นต้องชะงักเมื่อมีพี่ผู้ชายรูปร่างผอมบางกว่าฉัน ตัดผมสั้นรองทรงเดินมาทางเรา
“ใช่คิวที่ 99 ไหมครับ ถึงคิวแล้วนะครับ” เขาก้มตัวพูดกับเรา
เท่านั้นทุกคนก็ยิ้มออกมาอย่างพร้อมเพรียงไม่เว้นแม้กระทั่งคินที่นั่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
ยังจะได้ยินอีก นึกว่าหมา หูนี่ดีเหลือเกินนะ
“ไปๆ ไปเลย รอเป็นชาติแล้วเนี่ย” พูดใส่หน้าผู้ชายคนนั้นแบบไม่เกรงใจ ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันอยากนอนเกินกว่าจะมานั่งรออีกต่อไปแล้ว
เราสองคนเลยจูงมือกันเข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ดูข้างนอกว่าธรรมดาแล้ว ข้างในนี่ธรรมดากว่าสิบเท่า มันเป็นแค่ห้องปูนเปลือยฉาบแบบไม่ลงสีขนาดประมาณ 24 ตารางเมตรเห็นจะได้ ในนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากชายอายุประมาณ 70-80 นั่งใส่แว่นตาหนาเตอะตรงโต๊ะ ข้างหน้าเขามีอุปกรณ์ดูดวงวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็นไพ่ แว่นขยาย และอื่นๆ ที่ฉันไม่รู้จัก
ทีแรกนึกว่าจะเป็นสำนักทรงซะอีก นี่มันดูไม่มีอะไรเลย พี่ฉันตามใครมาวะเนี่ย
“มึง กูรอตรงมุมนี้นะ” คินพูดขึ้น
อ้าว ฉันนึกว่ามันไม่ได้ตามมาซะอีก
เลยพยักหน้าให้ แล้วหลังจากนั้นไอ้คนตัวสูงใหญ่มากๆ ก็นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกที่ดูท่าจะรับน้ำหนักไม่ค่อยไหว ขามันปลิ้นเบ้บิดไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนฉันก็ยังนั่งกอดอก เอาขาไขว้ห้างหลับตาลงอย่างสบายใจ สบายอารมณ์ ไม่กังวลกับขาเก้าอี้แม้แต่น้อย
เออดี ดูไม่สนโลกสมกับเป็นคินดี
“ค่าครูวางไว้ตรงนี้เลยหนู”
นั้นดึงความสนใจฉันให้มาโฟกัสตรงหน้าแทนร่างสูงที่เริ่มส่งเสียงกรนเบาๆ รบกวนเรา
ลุงคนนั้นกับพี่ฉันคุยกันไปถึงไหนแล้วไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่สาววางเงินหนึ่งพันบาทบนจาน แล้วหลังจากนั้นคุณลุงก็เริ่มถามวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก นู่นนี่นั่น
ไม่นานลุงก็เริ่มพูดถึงเรื่องนิสัยของพี่ ดวงโดยรวมว่าเป็นคนที่อาภัพรัก ดวงนางต้องห้าม บลาๆ สุดท้ายก็ให้พี่เปิดไพ่ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มทำนายเรื่องความรักตามที่พี่ขอ
“เอ็งจะไม่มีคนรักจนกว่าจะแก้ดวงตรงนี้ได้” นิ้วเหี่ยวย่นเคาะตรงแผ่นกระดาษสามที “ดวงเอ็งมันคือดวงนางต้องห้าม ต้องไปขออนุญาตท่านก่อนถึงจะมีผัวได้”
พี่เดือนทำตาโต เหมือนว่าตกใจเป็นอย่างมากที่รู้เรื่องนี้ นั่นเพราะไม่ว่าจะไปดูดวงที่ไหนก็ไม่มีใครเคยทักในลักษณะนี้ พี่คงกำลังตะลึง อึ้ง และสมองกำลังสั่งให้เชื่ออย่างสุดใจแน่ๆ
“ถ้าหนูทำแล้วจะมีผัวเลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ ยิ่งรีบทำเท่าไหร่ยิ่งดี”
แล้วหลังจากนั้นฉันก็เข้าโหมดหูดับเพราะรู้สึกถึงความไร้สาระที่ทั้งสองคนพูด ไม่รู้นานแค่ไหน อยู่ๆ คุณลุงหมอดูกับพี่ก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว
ฉันที่นั่งเท้าคางกับโต๊ะอยู่เลยยืดตัวขึ้น มองสองคนกลับบ้าง
“อะไร”
“ไปนอนในรถรอไหม แกหาวใส่ฉันสิบรอบแล้วเนี่ย”
“ไม่เอา จะนั่งอยู่นี่แหละ”
ฉันอยากอยู่เพราะเหตุผลเดียวเลยคือคอยห้ามพี่เดือนไม่ให้ใช้เงินกับเรื่องไร้สาระพวกนี้มากเกินไป สามสี่เดือนมานี้พี่ตระเวนดูดวง แก้ดวงหมดมาเป็นหมื่นแล้ว ฉันเสียดายตังค์ไม่ใช่ไรหรอก
“งั้นก็ห้ามหาว รำคาญ คนจะแก้ดวง”
นั่นไง มาแล้วไอ้แก้ดวงงี่เง่านั่น นี่ฉันต้องห้ามพี่อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย
“เสียเงินเป็นหมื่นอีกแล้วเหรอ พี่เอาเงินพวกนั้นไปซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวสักที่แล้วคว้าเอาสักคนมาทำผัวไม่ง่ายกว่าเหรอ วันๆ ขลุกแต่อยู่ในบ้าน อยู่กับหน้าจอคอมไม่ออกไปเจอคนใหม่ๆ มันจะไปหาผู้ชายได้ยังไง ผู้ชายนะพี่ไม่ใช่ฝน ที่จะตกลงมาเสิร์ฟให้ถึงหน้าบ้านน่ะ”
ร่ายยาวจนเหนื่อย ฉันถึงกับต้องหยิบน้ำมาจิบ คอแห้งจนเสียงแหบหมด ไม่น่าสั่งสอนพี่มันเลย เหนื่อยนะเนี่ย
“ครั้งนี้ฟรีโว้ย ลุงไม่เอาเงิน เอาแค่ค่าครู”
ฉันเงียบ มองหน้าลุงแล้วยิ้มแหย “ฟรีเหรอคะ?”
“ลุงไม่ได้ต้องการหากินกับความเชื่อคนแบบนั้นหรอกอีหนู ที่มากันเยอะก็เพราะมีคนเอาไปทำคอนเทนต์ พอมันดังคนเขาก็แห่กันมาดู ลุงน่ะไม่ได้อะไรหรอก ช่วยได้ก็ช่วย ไม่ได้อยากได้เงินพวกเอ็งเลย”
อุ้ย ตัดสินลุงไปซะแล้ว ไม่น่าเลย
จะโทษฉันก็ไม่ได้นะยะ ก็พี่เดือนน่ะถูกหลอกมาแล้วตั้งกี่รอบ ฉันก็แค่ปกป้องคนในครอบครัวเท่านั้นเอง
“ว่าแต่หนูไม่ดูกับพี่สาวหน่อยเหรอ”
รีบส่ายหัวทันที “ไม่อ่ะ หนูไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ชีวิตลิขิตเอง จะเดินไปทางไหนคนตัดสินใจมันหนู ไม่ใช่ดวง”
“แต่เรื่องความรักมันขึ้นอยู่กับโชคชะตานะ”
ลุงเหมือนจะอยากให้ฉันดูด้วย เลยพยายามชวนคุยเรื่องความรักขึ้นมา หารู้ไม่ว่าฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้นเลย
“หนูไม่สนใจเรื่องพวกนั้น”
“มิน่าล่ะถึงได้ตาบอดมองไม่เห็นเนื้อคู่ตัวเอง” ลุงยิ้ม มองฉันอย่างมีเลศนัย “คู่ของเอ็งอยู่ใกล้แค่เอื้อม เหลือบมองมันบ้างนะ เดี๋ยวมันหลุดมือไป”
คุณลุงหมอดูพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนหันไปคุยกับพี่สาวต่อ
ใครวะคนที่อยู่ใกล้ตัวมากๆ ฉันดันมีเพื่อนผู้ชายที่สนิทกันสุดๆ สามคนด้วยสิ ลุงแกหมายถึงหนึ่งในนี้หรือเปล่านะ
คิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองเพื่อนอีกคนของฉัน
อคิราห์ หรือคิน ผู้ชายที่ฉันสนิทสุด เชื่อใจสุด จะใช่มันคนนี้หรือเปล่านะ
ให้ว่ากันตามตรง คินก็ไม่ได้หน้าตาขี้เหร่นะ ออกจะหล่อ รวย แถมยังมีเสน่ห์สุดๆ ด้วย แต่มันติดอยู่อย่างเดียว อย่างเดียวจริงๆ ที่ฉันรับไม่ได้ นั่นคือนิสัยยังไงล่ะ
อาจเพราะเราสนิทกันมากไปด้วยมั้งมันเลยทำให้เรารู้ไส้รู้พุงกันหมด สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือ เบื่อหน่าย
ฉันเคยสาบานกับตัวเองเอาไว้ครั้งหนึ่งด้วยซ้ำว่าจะไม่เอาไอ้สามตัวนี้เป็นผัวโดยเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เอา!
อยู่ๆ คินที่หลับก็สะดุ้งตื่น เขาปัดมือไปมากลางอากาศไล่แมลงวัน ทั้งยังทำปากจู๋เป่าลมใส่มัน ทำเหมือนกับว่าจะให้กลิ่นปากฆ่าแมลงวันตายอย่างไรอย่างนั้น
พอไล่แมลงวันไปได้สำเร็จ ไอ้ผู้ชายอดีตดาวมหาวิทยาลัย และหนึ่งในหนุ่มฮอตประจำคณะก็ใช้นิ้วก้อยแคะขี้มูกตัวเอง เขาเอามันออกมาดู เพ่งพิจารณาก้อนขี้มูกด้วยสายตาคมกริบชนิดที่ทำสาวๆ ใจละลายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนจะส่งมันเข้าปาก พยักหน้าขึ้นลงเหมือนวิเคราะห์รสชาติของก้อนขี้มูกตัวเอง
อี๋… ทุเรศ อุบาทว์ที่สุด
เพราะงี้ไงใครมันจะอยากเอาไปทำผัว
กูล่ะหน่ายกับเพื่อนจริงๆ
พวกผู้หญิงชอบพวกมันไปได้ไงวะ
สรุปแล้ววันนั้น ฉัน พี่ และคินก็ไปที่อื่นกันต่อ เพื่อพาพี่เดือนไปไหว้ขออนุญาตมีผัวกับรูปปั้น จากนั้นถึงกลับบ้าน เราเลี้ยงหมูกระทะคินเป็นการตอบแทนในตอนเย็น ส่วนเพื่อนฉันแทนที่จะกลับบ้านหรือไปนอนห้องตัวเองหลังกินมื้อเย็นเสร็จมันเสือกขอค้างกับฉันที่บ้านต่อ เหตุผลเพราะ
“กูรำคาญพ่อ ส่วนที่คอนโดแม่งชอบมีสต็อกเกอร์มาดักรอจะเข้าห้องเพื่อไปขึ้นกูอยู่นั่น อยู่ที่นี่กับมึงกับพี่เดือนสบายใจกว่าเยอะ”
“จ้ะ พ่อหนุ่มฮอต พ่อเด็กมีปัญหา”
จะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามันไปนอนห้องรับแขกตรงโซฟา ไม่มาเบียดกันบนเตียนห้าฟุตในห้องกับฉันน่ะ!
ใช่! เราสองคนนอนด้วยกัน เมื่อคืนมันก็นอนห้องฉัน แต่ถามว่าเคยเกินเลยกันไหม คือไม่! แค่คิดฉันก็ขนลุกขนพองไปหมดแล้ว
[Vincent’ s POV]ผมเคยคิดเล่นๆ นะว่าชีวิตคนเรามันดราม่าได้สักแค่ไหนกันเชียว จนกระทั่งวันหนึ่งรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบและพึงใจมานานมาภาพรักในตอนที่เธอกำลังไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องมาบอกว่าชอบในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอไม่ได้ขอสถานะ ขอแค่ให้ได้มีผมอยู่ข้างๆ ก็พอดีและผมก็ตอบรับมันอย่างเต็มใจในวันนั้นผมคบกับเธอแบบไม่มีสถานะ เรานอนด้วยกัน ผมเลี้ยงดูเธอเหมือนเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ใช้งาน ไม่ได้ให้ใจ ไม่ได้ให้อย่างอื่นนอกจากเงินและเซ็กซ์ดีๆ และเธอก็ยอมรับมัน เข้าใจ ไม่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่อยากเลื่อนขั้นแต่อย่างใด“พี่วินซ์… พี่ว่าเราเป็นอะไรกัน”จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็ถามผมขึ้นในขณะที่กำลังบรรจงจูบเธออย่างดูดดื่มท่ามกลางแสงจันทร์“คู่ขา คู่นอน อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แฟน”“อ้อ อย่างนั้นเหรอคะ ดีใจจังที่ได้รู้”เธอตอบแบบยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด ทั้งยังกอดผม เรียกชื่อผมทั้งคืนอีกต่างหาก ทว่าเมื่อตอนเช้ามาถึง ตัวเล็กๆ กลับหายไป ไม่ทิ้งแม้กระทั่งความอบอุ่นบนเตียงเอาไว้วันแรกที่เธอหาย ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใดสัปดาห์ต่อมาก็ยังไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปกระทั่งหหนึ่งเดือนผ่าน อยู
[Valton’ s Pov]ผมคือหนึ่งในลูกที่ครอบครัวตั้งความหวังมากเกินไป และตามใจจนเสียนิสัย เป็นคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ดูผิวเผินผมอาจจะเป็นลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดูเปราะบางน่าทะนุถนอมเหมือนหญิงสาว แต่เนื้อในผมไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆ ดื้อรั้น ชอบทำตามใจตัวเองเสียจนเคยตัว มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ผมจะยอมก้มหัวให้ และพวกนั้นก็คือเพื่อนในกลุ่มเรา นั่นคือ คิน นับดาว และวินเซนต์เท่านั้นพ่อผมเป็นชาวเอสโตเนีย เป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองเมืองหนึ่ง ท่านทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งเทา และขาวสะอาด เดินทางไปรอบโลกเพื่อติดต่อเจรจาหาคู่ค้าอยู่เสมอจนมาหยุดที่นี่ ที่เมืองไทย เมื่อเจอแม่ผมเข้า ทั้งสองแต่งงานมีลูก และเลิกราเพราะพ่อเจอคนที่ถูกใจกว่าในตอนไปติดต่อการค้าในประเทศอื่นถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูผมตลอด เงินไม่เคยขาดมือ อยากได้อะไรก็ประเคนให้ เพราะเหตุผลเดียวเลยคือ ท่านเป็นหมันหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่สามารถมีลูกได้อีก นั่นหมายถึง ผมคือทายาทคนเดียวที่มียังไงล่ะพ่อตั้งความหวังไว้กับผมสูงมาก อยากให้ผมเรียนวิศวกรรมการบิน เพราะจะได้สานต่อธุรกิจที่มี แต่ผมที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่เพี
เที่ยงคืนหลังจากที่เราแยกย้ายห้องใครห้องมัน ฉันกับคินก็จูงมือกันออกมาขับรถเล่นที่บ่อกุ้งของเพื่อระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนที่เราเกือบมีอะไรกันตรงท่าน้ำฉันหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมพร้อมไม้ตกกุ้ง ไม่นานคินก็นั่งลงตาม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เว้นระยะห่างเหมือนเคย ขยับเข้ามาเบียดฉันทั้งยังโอบไหล่หลวมๆ“ไม่ต้องมาเบียดขนาดนั้นก็ได้มั้ง คืนนี้ไม่ได้หนาว” ขยับเข้าชิดเขา แต่ปากคือไล่ ฉันก็แค่เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจอ่ะนะ เรื่องนี้คินรู้ดีเลยไม่ถือสา“ก็อยากกอดแฟน” พูดทั้งยังเกยคางบนหัวฉัน “อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ อยากกอดตลอดไปเลย”“พูดดีไปเถอะ เดี๋ยววันหนึ่งก็เบื่อกันอยู่ดี”คินผละออกมามองหน้าฉัน ก่อนหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยว “ทำไมกล้าพูดว่ากูจะเบื่อมึงอ่ะ นี่คบกันมากี่ปีแล้ว”“ไม่รู้สิคิน แค่คิดว่าพอสถานะเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน วันหนึ่งกูอาจจะคาดหวังกับมึงมากเกินไปแล้วมึงรำคาญก็ได้ใครจะรู้”คินยิ้มเหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉันกังวลเรื่องนี้ บางทีตอนพูดกับพ่อเมื่อตอนกลางวันเขาคงแอบได้ยินมันเลยไม่ได้ตกใจอะไรกับคำพูดฉันมาก“ก็ไม่เห็นเปลี่ยนนี่ เรารักกันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไม่เห็นเหรอ”“ก็เห็น” คินแสดง
เราใช้เวลาซื้อของประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนพากันขับรถตรงไปยังบ่อกุ้ง ระหว่างทางฉันก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองก่อนเจอกันให้คินฟังเขาเป็นคนรับฟังที่ค่อนข้างดี ไม่ดุ ไม่ว่าที่ฉันทำตัวไม่ดี และที่สำคัญยังชมว่าฉันเก่งที่ก้าวข้ามมันมาได้ฉันรู้ด้วยตัวเองไงว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เพราะงั้นหลังจากถูกลงโทษแล้วพ่อส่งไปดัดสันดานกับพี่เดือนที่กรุงเทพฯ เลยไม่ขัดขืน เต็มใจที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ และที่ไม่น่าเชื่อเลยคือ ฉันไปได้ดีมากกับทางใหม่ที่เลือก อาจจะเพราะได้เจอคิน ไม่ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีกว่ามากก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าที่บ้านไม่ดีอะไรหรอกนะ แต่เพื่อนที่ฉันคบในโรงเรียนพาฉันไปทำในสิ่งที่ไม่น่ารักซะส่วนใหญ่น่ะสิ แล้วเด็กอ่ะนะ ยิ่งมีคนอวยยิ่งได้ใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เห็น มีคนเกลียดจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้วก็ตาม“มาแล้ว!!”ตู้ม!ร้องเสียงดังวิ่งตรงไปยังบ่อกุ้งของพ่อ กระโดดตูมลงน้ำแบบไม่ฟังพ่อห้ามเลยสักนิด“ไอ้ดาว กุ้งตื่นหมดแล้ว” เสียงเอ็ดนี้ไม่ใช่จากพ่อ แต่เป็นเวลที่ตอนนี้จดจ่อ ตั้งใจสุดๆ กับการลากตาข่ายต้อนเจ้ากุ้งที่แสนน่ารัก“กูอยากช่วย”“ไปไกลๆ เลย กูจะทำเอง กุ้งกูหายหมด
เราเดินทางมายังบ้านพ่อแม่ฉันหลังจากเคลียร์ปัญหา และจัดการเรื่องโปรเจกต์เรียนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เราสี่คน (ฉัน คิน เวล และเม่า) ยังมีแม่ของคินตามมาด้วยเพื่อมาขออนุญาตให้ลูกๆ ได้คบกันทีแรกฉันบอกท่านแล้วนะว่าไม่ต้องก็ได้ แต่คุณหญิงดื้อมาก ท่านบอกไม่ได้ พูดแบบนั้นไม่ดี (ตำหนิฉันไปอีก) ยังไงผู้ใหญ่ต้องมาพูดเองถึงจะถูก ส่วนเรื่องหมั้นหมายไม่ได้บังคับ แล้วแต่เราทั้งสองเลยเอาตรงๆ นะ ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าคุณหญิงมาตากำลังเร่งจับฉันแต่งงานกับคินอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งหนัก โทรคุยกับแม่ฉันเป็นวรรคเป็นเวร มีแอบไปได้ยินว่าแพลนจะอุ้มหลานกี่คนด้วยนะคืออีดาวเพิ่งยี่สิบต้นๆ นะ ยังไม่พร้อมเสียสละเวลาไปเลี้ยงเด็กขนาดนั้นแต่ข้อดีคือพวกแม่ๆ ไม่ได้กดดันกันตรงๆ เพียงแค่พูดว่าอยากมีหลาน เพราะครอบครัวฉัน พี่เดือนตอนนี้ก็ยังไม่ท้อง ฉันเองยังเรียนอยู่มีลูกไม่ได้ ส่วนคินเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน ถ้ามันไม่แต่งงานหรือทำผู้หญิงท้องยังไงคุณหญิงก็ไม่มีวันได้เห็นหน้าหลานถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็แอบกดดันไม่น้อยอ่ะนะ ถ้าเราสองคนคบกันนานจนขนาดแต่งงานมีลูกได้ก็ค่อยว่ากันอีกที อนาคตไม่
“คิน…”น้ำเสียงเธออ้อนวอนเสียจนใจผมสั่น จัดการจับเรียวขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ก่อนรูดชั้นในสีดำลายลูกไม้สุดเซ็กซี่ออกจากขาเธออย่างช้าๆ ไปกองไว้ที่ข้อขาข้างหนึ่งผมมองหน้าเธอไม่ละสายตาไปไหน มองจนนับดาวต้องหลบตาไปเองเพราะเขิน“มองเหมือนอยากจะกินกันทั้งตัว…” เธอพูดเบาๆ ในลำคอ“ก็อยากจับกินจริง ไม่ผิดเลยสักนิด”พูดจบก็จุ๊บเบาๆ ตรงข้อเท้าเธอ นับดาวมีปฏิกิริยาทันที เธอขยับตัวหนึ่งครั้ง แล้วหลับตาพริ้มมีความสุขเมื่อผมไล่จูบขึ้นไปตามปลีน่อง ขาอ่อนและมาหยุดตรงส่วนที่น่าหลงใหลที่สุดสะโพกยกขึ้นสูงอย่างไม่ต้องเอ่ยขอ ผมใช้มือช้อนใต้ก้นอวบอัดเธอไว้ ดันขึ้นสูงอีกนิดแล้วฝังหน้าลงไปดูดกินเธออย่างคนหิวกระจาย“อา คิน!”นับดาวไม่เก็บเสียงอีกต่อไป ทันทีที่ลิ้นของผมเลียย้ำๆ ไปยังจุดอ่อนไหวที่สุดเธอก็กรีดร้องเสียงหวาน สะโพกบิดเร่าไปมา เรียวขาทั้งสองเปิดอ้าสลับกับหนีบหัวผมไว้ เห็นดังนั้นผมยิ่งคึกคัก อยากจะช่วยเธอถึงฝั่งฝันให้เร็วขึ้นผมขยับตัวหนีห่างเพื่อมองหน้าเธอเล็กน้อย ตอนนี้แก้มทั้งสองของนับดาวสุกปลั่งราวกับเพิ่งได้ตากแดดมา ริมฝีปากอิ่มสวยอ้าค้าง แลบลิ้นสีสดออกมาเพื่อระบายความร้อนของร่างกายเซ็กซี่เป
Comments