สองวันแล้ว...
เมลินยังคงถูกขังอยู่ในห้องเดิม ห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีนาฬิกา ไม่มีอะไรบอกเวลา มีเพียงแสงไฟเพดานจาง ๆ กับผนังสีเทาอึมครึมที่แทบไม่สะท้อนอารมณ์อะไรนอกจากความอ้างว้าง อาหารและน้ำถูกส่งมาให้ตรงเวลา แต่เธอแทบไม่แตะต้องมันเลย หญิงสาวเพียงกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงมุมห้อง เงียบงัน และเปล่งเสียงร้องไห้เบา ๆ อยู่กับตัวเอง
"ลูกของแม่...น้องน๊อต..." เสียงกระซิบเจือสะอื้นดังแทบไม่ได้ยิน เธอหลับตาแน่น กัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น ความคิดถึงลูกกัดกินหัวใจไม่ต่างจากเข็มพันเล่มที่ทิ่มแทงซ้ำ ๆ ทุกนาที
แต่ทั้งหมดนั้น...อยู่ในสายตาของเขา
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชา คิรินทร์ กัลย์พิทักษ์ นั่งกอดอกเงียบ ๆ อยู่หน้าจอมอนิเตอร์หลายจอในห้องควบคุมส่วนตัว สายตาเย็นจับจ้องภาพหญิงสาวในห้องขังนิ่ง ๆ
“จะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมเฉียบไหววูบเพียงเล็กน้อย
“บอสค่ะ”
เสียงเรียกของเลขาสาวคนสนิท ลิซ่า ทำให้เขาหันขวับ
“ลูกของเธอ...อาการไม่ค่อยดีนะคะ”
คิรินทร์ขมวดคิ้วแน่นทันที
“เด็กไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วค่ะ หมออคินบอกว่ายาบำรุงที่ฉีดช่วยได้ไม่มาก ถ้าร่างกายอ่อนแรงกว่านี้อีก...”
“เด็กไม่ได้ทำอะไรผิด” เสียงเขาเย็นแต่สั่นน้อย ๆ ก่อนจะกลบมันไว้อย่างแนบเนียน
“ผู้ใหญ่รอได้ แต่เด็กอาจไม่ไหวค่ะ” ลิซ่าทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้เขานั่งนิ่ง ๆ เพียงลำพังอีกครั้ง
มือหนาทุบโต๊ะหนัก ๆ หนึ่งที ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักเด็กเล็กทันที
ภายในห้อง เด็กชายวัยสามขวบที่มีผมฟูยุ่งและแก้มกลมน่าฟัดนั่งกอดตุ๊กตาหมีแน่น ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ติดกันหลายวัน แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก และชายแปลกหน้าคนหนึ่งในชุดสูทดำก้าวเข้ามา เด็กน้อยก็หยุดชะงัก สบตากับชายผู้นั้นด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
คิรินทร์ยืนมองเด็กชายเงียบ ๆ เด็กคนนี้...มีบางอย่างในดวงตา และลักยิ้มที่แวบมาเวลาขมวดคิ้วเล็ก ๆ ที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
"อยากเจอแม่ไหม" เขาเอ่ยเสียงนิ่ง
เด็กชายพยักหน้าทันที น้ำตาคลอเบ้า
"งั้นฟังนะ ถ้าอยากเจอแม่...ต้องกินข้าว กินนมก่อน เข้าใจไหม"
น้องน๊อตนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือลูบท้องตัวเองเบา ๆ แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“งั้นกินให้หมด ฉันจะพาไปหาแม่”
คิรินทร์พูดเสียงเรียบ แต่ในอกกลับรู้สึกแปลกประหลาด…แปลกจนเริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังลงโทษใครกันแน่
...เธอ หรือ เขาเอง
เมื่อเด็กชายตัวน้อยยอมกินข้าวตามที่รับปากไว้ คีรินทร์ก็ทำตามสัญญา พาเด็กน้อยลงมายังห้องใต้ดินอันเงียบงัน ประตูเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นหญิงสาวที่นั่งซ่อนตัวอยู่ในมุมห้อง เมลินเงยหน้าขึ้น ก่อนที่ดวงตาของเธอจะเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นลูกชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาหา
“แม่!....แม่หายไปไหน...หนูคิดถึงแม่ทุกวันเลย ”
เสียงเล็ก ๆ ที่สะท้อนก้องในห้องทำให้หัวใจของเมลินเต้นแรง เธอรีบอ้าแขนออก โอบกอดลูกแน่น น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว เสียงสะอื้นของแม่ลูกสอดประสานกันอย่างบีบคั้น ขณะที่คีรินทร์ยืนเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ภายใต้สีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในอกกลับปั่นป่วน…
เมลินเองก็ไม่รู้ว่าการที่ลูกได้เจอเขาในเหตุการณ์นี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเธอและลูกไปตลอดกาล...
ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าแม่ลูกได้พบหน้ากันตามสมควรแล้ว คีรินทร์จึงพยักหน้าให้ลิซ่าเข้ามารับตัวเด็กน้อย เมลินที่รู้ดีว่าไม่อาจขัดขืน จำต้องกล่อมลูกชายให้ไปกับลิซ่า
“แม่สัญญานะครับ เราจะได้เจอกันอีกแน่”
แต่แล้วเมื่อน้องน็อตต้องแยกจากแม่จริง ๆ เด็กชายกลับร้องไห้โฮ กอดแม่แน่นไม่ยอมปล่อย
“ม่ายยย! น้องน็อตไม่ไป! แม่อย่าให้ป้าเอาไปนะ...แม่จ๋า...”
แขนเล็ก ๆ พันรอบเอวของเมลินแน่นจนเธอแทบหายใจไม่ออก ขณะที่ลิซ่าพยายามเข้ามาดึงเด็กออกไปอย่างนุ่มนวล แต่ก็ไม่อาจแยกทั้งสองได้
“น็อตครับ ฟังแม่นะลูก...แม่ก็อยากอยู่กับหนู แต่หนูต้องไปกับป้าลิซ่าก่อนนะครับ แม่ขอสัญญา เราจะได้เจอกันอีกแน่ ๆ”
เมลินกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึม ข่มน้ำตาที่เอ่อคลออย่างยากเย็น
“ม่ายยย แม่อย่าทิ้งน้องน็อต...น้องน็อตไม่ให้แม่ไปไหน...”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นทำเอาเมลินแทบขาดใจ เธอกอดลูกแน่นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าให้ลิซ่า
“ช่วยพาเขาออกไป...ก่อนที่ฉันจะใจอ่อน...”
ลิซ่ามองภาพนั้นอย่างเจ็บปวด ก่อนจะโอบอุ้มเด็กชายที่ดิ้นและร้องไห้ตลอดทางออกไป เสียงประตูที่ปิดลงอีกครั้ง คราวนี้เจ็บลึกกว่าครั้งไหน ๆ…
ทิ้งให้ในห้องเหลือเพียงความเงียบที่ขึงเครียด และคนสองคนที่ต่างเคยเป็นมากกว่าใครในชีวิตกันและกัน
คีรินทร์ก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับเมลิน แววตาเยียบเย็นและกดดันจนเธอไม่อาจละสายตาได้
“ยังไม่คิดจะพูดใช่ไหม ว่าทำไมถึงหนี?” เสียงทุ้มต่ำของเขาเปล่งออกมาอย่างกดอารมณ์
“เพราะคุณไม่ได้ให้โอกาสฉันได้พูดตั้งแต่แรกต่างหาก…” เมลินเงยหน้าสู้ ดวงตาสั่นไหวแต่ยังคงแข็งแกร่ง
“เธอหลอกฉัน” คำกล่าวหาหนักแน่นจากปากเขาทำให้เธอชะงัก
“หลอกให้ฉันไว้ใจ ใช้ความรักที่ฉันให้...แล้วหนีไปเหมือนคนทรยศ”
“คุณคิดผิด… ฉัน....ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใครจริง ๆ จนวันสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณ...เป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟีย ฉัน...คิดว่าคุณเป็นแค่คนทำงานในคาสิโน…คุณไม่เคยพูดอะไรเลย ฉันไม่เคยสงสัย ไม่แม้แต่จะตั้งคำถาม”
“โกหก!” คำคำนี้ดังลั่น พร้อมกับแรงขบกรามแน่นของชายหนุ่ม ดวงตาคมดุเปล่งประกายความเจ็บปวดปะปนความแค้นลึก
เขายังฝังใจกับการตายของคริส น้องชายผู้เป็นที่รัก ที่เสียชีวิตหลังจากถูกแทรกซึมโดยศัตรู และชื่อของเมลิน...คือเงาของความคลางแคลงที่เขายังลบไม่ได้
แต่ยิ่งได้เห็นน้ำตาของเธอกับอ้อมกอดของเด็กคนนั้น…ความเกลียดชังที่เคยแน่นอกกลับสั่นคลอน ราวกับหัวใจกำลังทรยศต่อเหตุผลตัวเอง
“ถ้าเธอไม่พูดความจริง...ฉันจะลงโทษเธอด้วยวิธีเดียวที่เธอไม่มีวันลืม”
เสียงทุ้มราบเรียบกลับกลายเป็นคำขู่ที่ทำให้เมลินตัวสั่นวูบ ดวงตาของเขาเร่าร้อน แฝงความเจ็บลึก และอารมณ์ที่แทบคุมไม่อยู่
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินกระแทกลงบนพื้นไม้ลามิเนตอย่างไร้ความปรานี คีรินทร์ปิดประตูห้องด้วยความแรงจนเมลินสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก เมื่อแววตาคมดุของเขาตรึงเธอไว้ราวกับถูกล่ามโซ่ไว้กับที่"เธอคิดจะหนีไปอีกไหม?" เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน ข่มอารมณ์เดือดเอาไว้จนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆเมลินเม้มปากแน่น ร่างเล็กถอยกรูดไปติดผนัง แม้สายตาจะไม่ยอมหลบแต่หัวใจในอกกลับเต้นรัวด้วยความกลัวปนเจ็บปวด "ฉันไม่เคยคิดจะหนี ถ้าคุณตั้งใจจะฟังฉันตั้งแต่แรก—""เธอไม่มีสิทธิ์พูด!" เขาตะคอก ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก่อนจะคว้าข้อมือบางทั้งสองข้างยกขึ้นตรึงไว้เหนือศีรษะติดกับผนังดวงตาคมพร่าด้วยอารมณ์หลากหลาย—ความรัก ความเจ็บ ความแค้น และไฟราคะที่สุมอยู่ในอกจนปะทุออกมาเป็นแรงขับดัน"เธอมีสิทธิ์อะไรไปจากฉัน?!" คำพูดหลุดออกจากริมฝีปากหยักอย่างเจ็บปวด"รู้ไหม…กี่คืนที่ฉันฝันถึงเธอ…กี่ครั้งที่ฉันอยากจะตาย เพราะคิดว่าเธอไม่รัก"น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาเมลินทันที แต่เธอกลั้นไว้ ไม่ยอมให้มันไหล เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อน
สองวันแล้ว...เมลินยังคงถูกขังอยู่ในห้องเดิม ห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีนาฬิกา ไม่มีอะไรบอกเวลา มีเพียงแสงไฟเพดานจาง ๆ กับผนังสีเทาอึมครึมที่แทบไม่สะท้อนอารมณ์อะไรนอกจากความอ้างว้าง อาหารและน้ำถูกส่งมาให้ตรงเวลา แต่เธอแทบไม่แตะต้องมันเลย หญิงสาวเพียงกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงมุมห้อง เงียบงัน และเปล่งเสียงร้องไห้เบา ๆ อยู่กับตัวเอง"ลูกของแม่...น้องน๊อต..." เสียงกระซิบเจือสะอื้นดังแทบไม่ได้ยิน เธอหลับตาแน่น กัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น ความคิดถึงลูกกัดกินหัวใจไม่ต่างจากเข็มพันเล่มที่ทิ่มแทงซ้ำ ๆ ทุกนาทีแต่ทั้งหมดนั้น...อยู่ในสายตาของเขาชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชา คิรินทร์ กัลย์พิทักษ์ นั่งกอดอกเงียบ ๆ อยู่หน้าจอมอนิเตอร์หลายจอในห้องควบคุมส่วนตัว สายตาเย็นจับจ้องภาพหญิงสาวในห้องขังนิ่ง ๆ“จะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมเฉียบไหววูบเพียงเล็กน้อย“บอสค่ะ”เสียงเรียกของเลขาสาวคนสนิท ลิซ่า ทำให้เขาหันขวับ“ลูกของเธอ...อาการไม่ค่อยดีนะคะ”คิรินทร์ขมวดคิ้วแน่นทันที“
ห้องใต้ดินที่ถูกดัดแปลงให้คล้ายห้องนอนทั่วไปกลับเย็นเยียบจนแทบหยุดลมหายใจ เมลินรู้สึกเหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกที่โหดร้ายยิ่งกว่าคุกจริง—คุกที่กล่อมเธอด้วยม่านหนา เตียงนุ่ม และแสงไฟหลอกตา หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมเตียง กอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาแดงช้ำบวมเป่งจากการร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ถูกจับแยกจากลูกชายที่สนามบิน“น๊อต...” เธอพึมพำชื่อเขาแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหนัง เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังกลัวหรือร้องไห้หรือเปล่า เด็กชายวัยสี่ขวบที่ไม่ค่อยเข้าใจโลกใบนี้มากนัก เติบโตมากับแม่เพียงคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีใคร แม้แต่พ่อของเขา...คนที่ควรจะรักเขาเป็นคนแรก ก็ไม่เคยแม้แต่จะถามถึงตอนที่ถูกชายแปลกหน้าลากตัวเธอขึ้นรถ เมลินดิ้นสุดแรงแต่ไร้ประโยชน์ และภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปก็คือเด็กชายในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง เขาถูกอุ้มขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่ แววตากลมโตของลูกชายที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอราวกับแผลสาหัสที่ไม่มีวันสมาน“หนูจะต้องไม่เป็นอะไร... แม่จะหาทางไปหาหนู