เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป
“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวัง
บนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม
“…”
คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน
“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาด
ไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่เห็นแม่ เสียงร้องเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นเบา ๆ น้ำตาไหลเปื้อนแก้ม
“น็อต! แม่อยู่นี่แล้ว แม่อยู่นี่!” เธอวิ่งเข้าไปกอดลูกแน่น เด็กโผซุกอกแม่จนตัวสั่น มือเล็กกำเสื้อเธอแน่นราวกับกลัวเธอจะหายไปอีก
แต่ก่อนที่เธอจะได้กอดลูกนานกว่านั้น ร่างของเธอก็ถูกกระชากออกไปด้านข้างด้วยแรงของคนที่แข็งแรงกว่า
“ปลอบลูกของเธอให้ยอมให้หมอรักษา ไม่อย่างนั้น ถ้าเด็กเป็นอะไรขึ้นมา…อย่าคิดจะโทษฉันเด็ดขาด”
เสียงต่ำเย็นเยียบกระซิบข้างหูเมลิน ขณะที่คีรินทร์ยืนประชิดหลังเธอ ดวงตาคมสอดส่องราวกับดาบปลายแหลม เขาไม่ได้ตะคอก แต่ประโยคของเขาทำให้เธอสะอึก
“ก็ได้… ฉันจะทำ” เธอพูดเบา ๆ ในลำคอ หยาดน้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย
เมื่อเธอกลับไปหาลูก เด็กก็เริ่มสงบลงในอ้อมแขนแม่ หมอจึงสามารถตรวจได้เต็มที่ ก่อนจะวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ และควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันทีเพราะเด็กยังเล็ก
“ไม่ต้องย้าย รักษาที่นี่” คีรินทร์พูดโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหมอที่ตกใจอยู่ชั่วครู่
เมื่อเป็นเช่นนั้น หมอจึงทำได้แค่ให้น้ำเกลือและฉีดยาลดไข้ก่อนจะปล่อยให้เด็กหลับไปภายใต้การดูแลของพยาบาลที่เพิ่งเรียกตัวมาใหม่
และในตอนที่เมลินกำลังจะนั่งลงข้างเตียงของลูก เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“กลับไปที่เดิมได้แล้ว”
“ฉันขออยู่ดูแลลูกได้ไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะไม่หนี จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่ขออยู่กับลูก—”
“เธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อเลี้ยงลูก เธอมาเพื่อชดใช้ความผิดในอดีต และเธอไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ ทั้งนั้น”
ประโยคนั้นเปรียบดั่งมีดกรีดกลางใจเมลินจนเลือดไหลไม่หยุด เธอมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงเงียบก่อนที่เธอจะหันหน้าหนี
“สักวันหนึ่ง… คุณจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้”
เธอพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มีคำพูดอะไรอีก ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศระหว่างทั้งสองอย่างหนักอึ้ง
คีรินทร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองประตูที่เธอเพิ่งจากไป ดวงตาคมที่เคยแน่วแน่พลันสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที…
ใช่ เขาเคยรักเธอมาก รักจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ และนั่นคือเหตุผลที่เขาแค้นเธอมากกว่าใคร—เพราะเธอคือคนที่เขาไว้ใจที่สุด และก็เป็นคนที่ทรยศเขาเจ็บที่สุดเช่นกัน
แสงไฟสลัวในห้องทำงานส่วนตัวของคีรินทร์ส่องกระทบใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ข้อมูลและแฟ้มเอกสารจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะไม้เนื้อดี ทุกอย่างเกี่ยวกับเมลินที่เขาเคยเชื่อเริ่มสั่นคลอน
เมื่อหลักฐานล่าสุดจากแหล่งข่าวในยุโรปยืนยันชัดว่า คริส น้องชายต่างมารดาของเขา—ผู้ชายที่เขาเคยไว้ใจที่สุด กลับเป็นคนปล่อยข่าวเท็จทั้งหมด
“เป็นไปไม่ได้...” คีรินทร์พึมพำ น้ำเสียงแหบพร่า มือหนากำแฟ้มแน่นจนข้อขาว ซีดีวงเล็กที่บันทึกเสียงสนทนาระหว่างคริสกับใครบางคนยังคงเปิดเล่นซ้ำไปซ้ำมา
—“ถ้าฉันไม่ได้เมลิน ก็อย่าให้มันได้เหมือนกัน!”—
เสียงนั้นแหลมสูง แฝงความแค้น ความริษยาที่ซุกซ่อนไว้เบื้องลึก กัดกินเขาจนคีรินทร์แทบหยุดหายใจ
เขาไม่เคยรู้... ว่าคริสหลงรักเมลินมากขนาดนี้ และเขาไม่เคยรู้... ว่าความตายของน้องชาย อาจเป็นผลพวงจากความแค้นที่ตนเองหลงเชื่อมาตลอดหลายปี
ภาพหนึ่งผุดขึ้นในหัวคีรินทร์อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย — ภาพที่เขาเคยมองข้ามไปด้วยความไม่ใส่ใจ
ครั้งหนึ่ง...เขาจำได้ว่าเคยพาเมลินไปดินเนอร์ในร้านอาหารเงียบ ๆ บนดาดฟ้าส่วนตัว และเมื่อเขาเดินออกไปคุยโทรศัพท์เพียงครู่เดียว...
คริสก็โผล่มา — ไม่ได้เดินเข้ามาหา แต่แอบยืนอยู่ในเงามืดมุมตึกฝั่งตรงข้าม มองเธอราวกับนักล่าที่จับจ้องเหยื่อ
ตอนนั้นเขาไม่คิดอะไร คิดว่าแค่คริสผ่านมา หรือบังเอิญ แต่ตอนนี้...ภาพนั้นกลับชัดเจนเหลือเกิน
เขาจำได้อีกครั้ง... เมลินเคยเล่าให้ฟังว่ามีใครบางคนชอบส่งของขวัญแปลก ๆ มาให้ — ดอกลิลลี่แห้งในกล่องไม้หอม จดหมายนิรนามที่บรรยายความรักอย่างหลอนประสาท
เธอคิดว่าเป็นพวกแฟนคลับโรคจิตจากงานเดินแบบ แต่คีรินทร์กลับหัวเราะแล้วไม่ใส่ใจ
ทว่า...ลายมือในจดหมายนั้น — มันคล้ายกับลายเซ็นต์คริสในเอกสารหลายฉบับที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้...
เสียงจากซีดีดังซ้ำอีกครั้ง
—“ถ้าฉันไม่ได้เมลิน ก็อย่าให้มันได้เหมือนกัน!”—
คำพูดนั้นสะท้อนในหัวของเขาอย่างบ้าคลั่ง คิ้วของเขาขมวดแน่น มือหนากำแฟ้มแน่นขึ้นจนได้ยินเสียงกระดาษยับ
นี่ไม่ใช่แค่ความรักข้างเดียวธรรมดา แต่มันคือ...ความหลงที่บิดเบี้ยวจนพร้อมจะทำลายทุกอย่างเพื่อครอบครอง
เสียงประตูห้องทำงานเปิดออก ลิซ้าเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“บอส...เด็กยังไม่ยอมให้หมอเข้าใกล้เลยค่ะ เขาร้องไห้หาคุณเมลินตลอดเวลา ไข้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ เด็กอาจช็อกจากไข้ได้”
“บอสคะ...บางทีคุณเมลินอาจไม่ได้ทำผิดอย่างที่ใครบางคนบอกคุณไว้”
ลิซ่าเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงที่แฝงแววกังวลทำให้เขาหันขวับมาด้วยสายตาเย็นเฉียบ แต่เธอไม่หลบ...เป็นครั้งแรก
คีรินทร์เงียบไป เขายืนนิ่ง ท่ามกลางเสียงคำเตือนที่ดังก้องในหัว ความดื้อรั้นเริ่มไหวเอน เมื่อเขาเห็นแววตาน่าหวาดหวั่นของลิซ่า และนึกถึงภาพใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงซ่านเพราะพิษไข้
“พาเธอมา” เขาเอ่ยเสียงต่ำ แต่เฉียบขาด
ไม่นาน เมลินก็วิ่งพรวดเข้ามาในห้องที่ลูกน้อยถูกวางตัวอยู่บนเตียงขนาดเล็ก ใบหน้าของน้องน็อตแดงจัด เปลือกตาหนักอึ้ง และริมฝีปากเล็ก ๆ สั่นระริก
“น็อต! แม่อยู่นี่ลูก แม่มาแล้ว...”
เด็กชายตัวเล็กเบิกตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงแม่ เขาพยายามยกแขนขึ้นกอดเธอ แม้แรงจะอ่อนจนแทบไม่มี
“ช่วยเขาทีเถอะค่ะ คุณคีรินทร์...ฉันขอร้อง เขายังเด็กมาก เขาไม่ไหวแล้ว” เสียงเมลินสั่นเครือ ดวงตาเปียกชื้นเปล่งประกายวิงวอนจับใจ
คีรินทร์มองภาพนั้นด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม ชั่วขณะหนึ่ง เขาแทบไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังลังเล แต่เมื่อเห็นแขนเล็ก ๆ ของเด็กชายที่เริ่มเกร็งกระตุก เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป
เขาเคยคิดว่าความอ่อนโยนคือความอ่อนแอ แต่ตอนนี้...เขากำลังรู้สึกกลัว กลัวว่าหากเขายังยืนเฉยอยู่ตรงนี้ เด็กคนนี้—เลือดเนื้อของเขา—อาจจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“เตรียมรถ พาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ฉันไปด้วย”
เมลินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาของเธอสั่นไหวด้วยความโล่งใจและความตกตะลึง คีรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินนำออกไป ประคองอ้อมแขนเล็ก ๆ ของลูกชายไว้แนบอกแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ลิซ่าสั่งการให้ลูกน้องเตรียมรถและขบวนคุ้มกันทันที เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำในความมืด เมลินนั่งแนบลูกไว้ในรถ หัวใจของเธอยังเต้นแรงจากความหวาดกลัวและความรัก เธอมองไปยังชายที่นั่งข้างเธอ—ชายที่เคยผลักไสเธอออกจากชีวิตอย่างไม่ไยดี
คีรินทร์นั่งเงียบ มือที่เคยเย็นชา บัดนี้กลับลูบศีรษะของลูกอย่างเบามือ ใจเขากำลังปะทะกันระหว่างความแค้นในอดีต กับความจริงที่เริ่มเปิดเผย...ว่าอาจมีบางอย่างผิดไปตั้งแต่ต้น
และเมลิน...เธออาจไม่ใช่คนที่เขาควรเกลียดเลยแม้แต่น้อย
ไฟส่องสว่างทะลุม่านกลางคืนขณะรถแล่นฝ่าความมืดไปยังโรงพยาบาล ทิ้งคำถามมากมายไว้ให้ชายผู้แสนเย็นชา...ผู้ซึ่งหัวใจอาจเริ่มละลายโดยไม่รู้ตัว
เสียงลมหายใจของเด็กชายตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ ดังสม่ำเสมออย่างสงบ ภายใต้แสงไฟอ่อนของห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เมลินก้มมองลูกน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักข้างกายคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำที่นั่งเงียบไม่ไหวติง สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่โทรศัพท์ ไม่ได้อ่านเอกสาร แต่กลับจ้องนิ่งไปยังใบหน้าลูกที่หลับตาพริ้ม...ลูกที่หน้าเหมือนเขาราวกับแกะใบหน้านั่น...โครงหน้านั่น...แม้แต่ขมวดคิ้วตอนหลับ ก็ยังเหมือนเขาอย่างกับถอดกันมามันทำให้เขาไม่สบายใจความรู้สึกในอกเหมือนถูกตีวนด้วยหมัดใหญ่ๆ ความห่วงใยที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้...มันคืออะไร?ไม่ เขาไม่เชื่อ...เขา ยังไม่เชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขาจริงอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ...บางทีเธอก็แค่สร้างเรื่องให้เขารู้สึกผูกพัน แล้วกดเขาไว้ด้วยคำว่าพ่อ...คีรินทร์เบือนหน้าหนี หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ลูกชายเรียกหาเขา หรือเผลอยิ้มให้เขาด้วยความไว้ใจไร้เดียงสามันราวกับมีอะไรบางอย่างค่อยๆ ทะลวงกำแพงในใจ...และเขาเกลียดมันเกลียดความรู้สึกนี้...ห้าวันเต็มๆ ที่น้องน๊อตต้องนอนโ
เสียงล้อรถแล่นเข้าจอดหน้าตึกฉุกเฉินในช่วงดึกสงัด ทันทีที่ประตูรถเปิดออก คีรินทร์ก็ก้าวลงมาก่อนจะอุ้มน้องน็อตที่ซบแนบอกเขาด้วยไข้ตัวร้อนจี๋ เมลินก้าวลงตามด้วยสีหน้าซีดเผือดและอ่อนแรง แต่ยังฝืนเดินไปกับเขาอย่างไม่คิดปล่อยลูกให้พ้นสายตาไฟในโถงฉุกเฉินสว่างจ้า แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันและความเงียบงันที่แปลกประหลาด เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังสม่ำเสมอขณะชายร่างสูงในชุดสูทดำเดินตรงเข้ามา สายตานิ่งเย็นเฉียบพลันเหมือนคมมีดกรีดใจใครต่อใครในเสี้ยววินาทีคีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ไม่แม้แต่จะปรายตามองใครรอบตัว โทรศัพท์ในมือติดแนบหูอย่างรวดเร็ว“อคิน อยู่ไหน?”“เพิ่งลงเครื่อง” เสียงตอบกลับนิ่งเย็น แต่ฟังดูไม่เร่งรีบ“เกิดอะไรขึ้น?”“ลูก...เมลิน ลูกชายเธอ ป่วย”เพียงประโยคนั้นก็เพียงพอให้ปลายสายเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเร่งเร้า“ห้องไหน?”ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา หมออคินก็มาถึงเขาในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที โดยไม่พูดพร่ำกับใคร ทิ้งให้เพื่อนมาเ
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินกระแทกลงบนพื้นไม้ลามิเนตอย่างไร้ความปรานี คีรินทร์ปิดประตูห้องด้วยความแรงจนเมลินสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก เมื่อแววตาคมดุของเขาตรึงเธอไว้ราวกับถูกล่ามโซ่ไว้กับที่"เธอคิดจะหนีไปอีกไหม?" เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน ข่มอารมณ์เดือดเอาไว้จนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆเมลินเม้มปากแน่น ร่างเล็กถอยกรูดไปติดผนัง แม้สายตาจะไม่ยอมหลบแต่หัวใจในอกกลับเต้นรัวด้วยความกลัวปนเจ็บปวด "ฉันไม่เคยคิดจะหนี ถ้าคุณตั้งใจจะฟังฉันตั้งแต่แรก—""เธอไม่มีสิทธิ์พูด!" เขาตะคอก ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก่อนจะคว้าข้อมือบางทั้งสองข้างยกขึ้นตรึงไว้เหนือศีรษะติดกับผนังดวงตาคมพร่าด้วยอารมณ์หลากหลาย—ความรัก ความเจ็บ ความแค้น และไฟราคะที่สุมอยู่ในอกจนปะทุออกมาเป็นแรงขับดัน"เธอมีสิทธิ์อะไรไปจากฉัน?!" คำพูดหลุดออกจากริมฝีปากหยักอย่างเจ็บปวด"รู้ไหม…กี่คืนที่ฉันฝันถึงเธอ…กี่ครั้งที่ฉันอยากจะตาย เพราะคิดว่าเธอไม่รัก"น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาเมลินทันที แต่เธอกลั้นไว้ ไม่ยอมให้มันไหล เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อน