ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว
"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"
ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพัง
เมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม
"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"
ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงัน
เมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ
“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”
คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงตาสีเข้มจ้องเธออย่างกดดัน
“แล้วทำไมเธอถึงหายไป? ถ้าไม่มีอะไรปิดบัง ทำไมต้องหลบหน้าฉัน?”
“เพราะฉันไม่มีทางเลือก!” เธอเผลอตะโกนออกไป ก่อนจะกัดปากแน่น
“แต่เรื่องของนายกับน้องชาย นายไม่มีสิทธิ์โยงฉันไปกับมัน…อยากกล่าวหา ก็หาหลักฐานมาด้วย!”
นั่นคือประโยคที่ทำให้คีรินทร์นิ่งไป…
เขาเดินออกจากห้องนั้นด้วยหัวใจที่เริ่มสั่นคลอน ความแข็งกระด้างเริ่มแตกร้าว ในใจมีบางอย่างร้องบอกว่า…อาจจะมีบางอย่างผิดพลาด
เขาเริ่มสืบ…ย้อนกลับไปถึงรายงานต่าง ๆ ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุในอดีต
จนในที่สุด เขาพบคำบอกเล่าของอดีตลูกน้องคนหนึ่ง ที่เคยได้ยินชื่อของเมลินจากใครบางคนในองค์กร—ว่ามีความเคลื่อนไหวแปลก ๆ ก่อนเธอจะหายตัวไป
"ใครเป็นคนพูดเรื่องนั้น?" คีรินทร์ถาม
“คุณภาคินครับ…เขาบอกว่าเห็นคุณเมลินคุยกับคนแปลกหน้าหลายครั้งก่อนหนีไป”
ชื่อที่ได้ยินทำให้เลือดในกายเย็นวาบ ภาคิน…เพื่อนสนิทที่เขาไว้ใจที่สุด คนที่เขาเป็นคนพาเข้ามาในองค์กรเองกับมือ คนที่ได้รับสิทธิ์รู้ข้อมูลความลับเกือบทั้งหมด
เขาไม่เคยสงสัยเลย…จนกระทั่งตอนนี้
ไม่กี่วันหลังจากคำพูดนั้นในอดีต…น้องชายของเขาก็ถูกฆ่าตายในการลอบสังหารโดยสายลับของฝั่งตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม
คำถามเริ่มผุดขึ้นในใจ ถ้าทุกอย่างที่เมลินพูดเป็นจริง…แล้วภาคินล่ะ? พูดเรื่องเมลินให้ใครฟังทำไม? เห็นเธอคุยกับใคร? แล้วทำไมถึงตรงกับช่วงเวลาที่มีการรั่วไหลของข้อมูล…
ภาพอดีตและเศษชิ้นส่วนของความทรงจำเริ่มเชื่อมโยง
เขากำมือแน่น — ใบหน้าคมเข้มเครียดขรึม แววตาเย็นเฉียบ แต่ภายในเดือดพล่าน
“ภาคิน…” เขาพึมพำชื่อนั้นราวกับคำสาป
เสียงกริ๊กของแก้วกระทบโต๊ะในห้องรับรองเงียบงัน ร่างสูงสง่าของคีรินทร์นั่งไขว่ห้างอย่างสงบ แต่สายตาคมลึกกลับไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้หายใจคล่อง ภาคิน... เพื่อนสนิทของเขา ผู้ที่เคยยืนเคียงข้างในวันที่โลกโหดร้ายที่สุด กำลังตกอยู่ในวงล้อมของคำถามที่แทงทะลุถึงกระดูก
“ฉันจะถามอีกครั้ง—แกเห็นเมลินไปติดต่อกับใคร ก่อนวันที่คริสตาย...ใช่หรือไม่?” น้ำเสียงเรียบของคีรินทร์แฝงแรงกดดันมหาศาล
เมื่อโดนคาดคั้นหนัก ๆ เข้า สุดท้ายภาคินทำได้แค่เม้มปาก รอยยิ้มจางๆ แตกร้าวเหมือนกำแพงที่กำลังร้าวลึก
“ฉัน...ฉันก็แค่ได้ยินมาจากคนใน...ไม่ได้เห็นกับตา...”
“วันไหน?” คีรินทร์ถามทันควัน ดวงตาไร้แววแต่เย็นยะเยือก
“ฉัน...ไม่แน่ใจ...มันหลายวันก่อนเมลินหายไป—”
เสียงปังจากแก้วน้ำที่ถูกฟาดลงบนโต๊ะดังสะท้อนทั่วห้อง รอยร้าวบนผิวแก้วแสดงถึงความอดกลั้นที่ถึงขีดสุด
“แกทำให้ฉันเกือบฆ่าเธอ...จากคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง?”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” ภาคินเสียงสั่น
“ตอนนั้นสถานการณ์มันตึงเครียด และจู่ ๆ เธอก็หายไป ฉันก็เลยแค่—”
“แค่พูดเรื่องที่คนอื่นเล่ามา โดยไม่คิดจะตรวจสอบ?”
คีรินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทอดเงาดำปกคลุมร่างของเพื่อนสนิท ใบหน้าเย็นชาราวกับไม่เคยมีมิตรภาพระหว่างกัน ภาคินหน้าซีดเผือด ก่อนจะถูกปล่อยให้เดินจากไป—อย่างไม่ไว้วางใจแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่คีรินทร์ไม่รู้ คือในเงามืดของค่ำคืนนั้น ภาคินต่อสายไปหาหญิงสาวลึกลับชื่อ “มายด์” ด้วยเสียงต่ำ
“คีรินทร์เริ่มเคลื่อนไหวสืบสวนเรื่องนั้นอีกครั้ง...ที่สำคัญ....เมลินกลับมาแล้ว”
ทางด้านเมลิน นั่งกอดเข่าบนพื้นห้องใต้ดิน ลมหายใจติดขัดตั้งแต่ได้ยินคำพูดจากลิซ่า—เลขาสาวที่เข้ามาเยี่ยมเธอในยามค่ำ
“คุณเมลิน...น้องน็อตไม่สบายค่ะ เป็นไข้สูง หมออคินไปประชุมต่างประเทศ...ไม่มีใครรักษาได้ตอนนี้”
หัวใจของเมลินเหมือนถูกบีบรัด
“ได้โปรด พี่ลิซ่า ฉันขอแค่ได้ไปดูเขา...ฉันเป็นแม่ของเขา”
ลิซ่าลังเล แต่มองดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดของหญิงตรงหน้าแล้วก็ใจอ่อน
เธอพาเมลินแอบขึ้นมาบนชั้นบน และเดินลัดทางลับออกมาทางหลังบ้าน
เด็กชายตัวน้อยนอนซมอยู่บนเตียง ดวงตาแดงเรื่อ ไข้สูงจนตัวร้อนจี๋ เมลินทรุดลงข้างเตียง น้ำตาไหลพราก
“แม่...แม่อยู่ตรงนี้นะลูก” เมลินพร่ำเรียก มือบางไล้เส้นผมเปียกเหงื่อของเด็กชายอย่างเบามือ น้ำตาไหลผสมเสียงสะอื้น
“อย่าหลับนะลูก ได้โปรด…ลูกต้องลุกขึ้น…แม่อยู่ตรงนี้...”
”แม่อยู่นี่แล้วลูก...เดี๋ยวเราจะไปหาหมอกันนะ”
เธอหันไปสบตาลิซ่า “ได้โปรด...พาเราไปโรงพยาบาล”
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าไม่มีคำสั่งคุณคีรินทร์ ฉัน—”
แต่ก่อนที่ลิซ่าจะกดโทรออก เมลินคว้าของเล่นเหล็กที่พื้นอย่างสิ้นหวัง แล้วฟาดไปที่ท้ายทอยของลิซ่าจนร่างเธอทรุดลง
“ขอโทษนะ...แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องเป็นอะไรไปอีกแล้ว...”
เธออุ้มน้องน็อตออกมาถึงหน้าบ้าน พร้อมหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้พาเขาไปรักษา แต่สิ่งที่รออยู่ไม่ใช่แสงเช้า
หากเป็นร่างสูงของคีรินทร์ ที่ยืนอยู่กับลูกน้องกว่าเจ็ดคน พร้อมแววตาราวกับน้ำแข็ง
“จะหนีอีกครั้งเหรอ เมลิน?” เสียงเขาเย็นยะเยือก
เขาเห็นน้ำตาเธอ เห็นเด็กชายในอ้อมแขนเธอหน้าแดงจัดอาจจะเกิดจากตัวร้อนจนแทบหายใจไม่ออก...และบางอย่างในอกเขาก็สั่น
แต่ความโกรธ...ความแค้น...มันยังแน่นอยู่ในใจ
“อย่าพยายามอ้อนวอนในเมื่อเธอคือคนที่ทำให้ฉันไม่ไว้ใจ”
“ฉันไม่ได้จะหนี! น็อตป่วย เขาไข้ขึ้นสูงมาก ฉันแค่จะพาเขาไปหาหมอ!” เธออ้อนวอน
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำสั่งเฉียบขาด
“เอาตัวเธอกลับห้องขังเดิม...ถ้าเด็กป่วยจริง....ให้เรียกหมอมาดูเด็กที่นี่”
เมลินกอดลูกแน่น ขณะที่น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เสียงร้องไห้ของเด็กชายเป็นบทสรุปของค่ำคืนที่โหดร้าย
และในขณะที่ร่างเธอถูกแยกจากลูก เสียงของคีรินทร์ก็กระซิบต่ำ “เธอจะไม่ได้โกหกฉันอีก...ไม่อีกแล้ว เมลิน”
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินกระแทกลงบนพื้นไม้ลามิเนตอย่างไร้ความปรานี คีรินทร์ปิดประตูห้องด้วยความแรงจนเมลินสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก เมื่อแววตาคมดุของเขาตรึงเธอไว้ราวกับถูกล่ามโซ่ไว้กับที่"เธอคิดจะหนีไปอีกไหม?" เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน ข่มอารมณ์เดือดเอาไว้จนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆเมลินเม้มปากแน่น ร่างเล็กถอยกรูดไปติดผนัง แม้สายตาจะไม่ยอมหลบแต่หัวใจในอกกลับเต้นรัวด้วยความกลัวปนเจ็บปวด "ฉันไม่เคยคิดจะหนี ถ้าคุณตั้งใจจะฟังฉันตั้งแต่แรก—""เธอไม่มีสิทธิ์พูด!" เขาตะคอก ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก่อนจะคว้าข้อมือบางทั้งสองข้างยกขึ้นตรึงไว้เหนือศีรษะติดกับผนังดวงตาคมพร่าด้วยอารมณ์หลากหลาย—ความรัก ความเจ็บ ความแค้น และไฟราคะที่สุมอยู่ในอกจนปะทุออกมาเป็นแรงขับดัน"เธอมีสิทธิ์อะไรไปจากฉัน?!" คำพูดหลุดออกจากริมฝีปากหยักอย่างเจ็บปวด"รู้ไหม…กี่คืนที่ฉันฝันถึงเธอ…กี่ครั้งที่ฉันอยากจะตาย เพราะคิดว่าเธอไม่รัก"น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาเมลินทันที แต่เธอกลั้นไว้ ไม่ยอมให้มันไหล เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อน
สองวันแล้ว...เมลินยังคงถูกขังอยู่ในห้องเดิม ห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีนาฬิกา ไม่มีอะไรบอกเวลา มีเพียงแสงไฟเพดานจาง ๆ กับผนังสีเทาอึมครึมที่แทบไม่สะท้อนอารมณ์อะไรนอกจากความอ้างว้าง อาหารและน้ำถูกส่งมาให้ตรงเวลา แต่เธอแทบไม่แตะต้องมันเลย หญิงสาวเพียงกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงมุมห้อง เงียบงัน และเปล่งเสียงร้องไห้เบา ๆ อยู่กับตัวเอง"ลูกของแม่...น้องน๊อต..." เสียงกระซิบเจือสะอื้นดังแทบไม่ได้ยิน เธอหลับตาแน่น กัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น ความคิดถึงลูกกัดกินหัวใจไม่ต่างจากเข็มพันเล่มที่ทิ่มแทงซ้ำ ๆ ทุกนาทีแต่ทั้งหมดนั้น...อยู่ในสายตาของเขาชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชา คิรินทร์ กัลย์พิทักษ์ นั่งกอดอกเงียบ ๆ อยู่หน้าจอมอนิเตอร์หลายจอในห้องควบคุมส่วนตัว สายตาเย็นจับจ้องภาพหญิงสาวในห้องขังนิ่ง ๆ“จะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมเฉียบไหววูบเพียงเล็กน้อย“บอสค่ะ”เสียงเรียกของเลขาสาวคนสนิท ลิซ่า ทำให้เขาหันขวับ“ลูกของเธอ...อาการไม่ค่อยดีนะคะ”คิรินทร์ขมวดคิ้วแน่นทันที“
ห้องใต้ดินที่ถูกดัดแปลงให้คล้ายห้องนอนทั่วไปกลับเย็นเยียบจนแทบหยุดลมหายใจ เมลินรู้สึกเหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกที่โหดร้ายยิ่งกว่าคุกจริง—คุกที่กล่อมเธอด้วยม่านหนา เตียงนุ่ม และแสงไฟหลอกตา หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมเตียง กอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาแดงช้ำบวมเป่งจากการร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ถูกจับแยกจากลูกชายที่สนามบิน“น๊อต...” เธอพึมพำชื่อเขาแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหนัง เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังกลัวหรือร้องไห้หรือเปล่า เด็กชายวัยสี่ขวบที่ไม่ค่อยเข้าใจโลกใบนี้มากนัก เติบโตมากับแม่เพียงคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีใคร แม้แต่พ่อของเขา...คนที่ควรจะรักเขาเป็นคนแรก ก็ไม่เคยแม้แต่จะถามถึงตอนที่ถูกชายแปลกหน้าลากตัวเธอขึ้นรถ เมลินดิ้นสุดแรงแต่ไร้ประโยชน์ และภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปก็คือเด็กชายในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง เขาถูกอุ้มขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่ แววตากลมโตของลูกชายที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอราวกับแผลสาหัสที่ไม่มีวันสมาน“หนูจะต้องไม่เป็นอะไร... แม่จะหาทางไปหาหนู