เสียงล้อรถแล่นเข้าจอดหน้าตึกฉุกเฉินในช่วงดึกสงัด ทันทีที่ประตูรถเปิดออก คีรินทร์ก็ก้าวลงมาก่อนจะอุ้มน้องน็อตที่ซบแนบอกเขาด้วยไข้ตัวร้อนจี๋ เมลินก้าวลงตามด้วยสีหน้าซีดเผือดและอ่อนแรง แต่ยังฝืนเดินไปกับเขาอย่างไม่คิดปล่อยลูกให้พ้นสายตา
ไฟในโถงฉุกเฉินสว่างจ้า แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันและความเงียบงันที่แปลกประหลาด เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังสม่ำเสมอขณะชายร่างสูงในชุดสูทดำเดินตรงเข้ามา สายตานิ่งเย็นเฉียบพลันเหมือนคมมีดกรีดใจใครต่อใครในเสี้ยววินาที
คีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ไม่แม้แต่จะปรายตามองใครรอบตัว โทรศัพท์ในมือติดแนบหูอย่างรวดเร็ว
“อคิน อยู่ไหน?”
“เพิ่งลงเครื่อง” เสียงตอบกลับนิ่งเย็น แต่ฟังดูไม่เร่งรีบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ลูก...เมลิน ลูกชายเธอ ป่วย”
เพียงประโยคนั้นก็เพียงพอให้ปลายสายเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเร่งเร้า
“ห้องไหน?”
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา หมออคินก็มาถึง
เขาในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที โดยไม่พูดพร่ำกับใคร ทิ้งให้เพื่อนมาเฟียผู้เยือกเย็นนั่งนิ่งอยู่หน้าห้องคนไข้เด็กเพียงลำพัง
“เด็กไข้สูงเกือบสี่สิบ หวัดใหญ่ มีภาวะขาดน้ำ ต้องให้น้ำเกลือกับยาลดไข้ด่วน” อคินรายงานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อกลับออกมา
คีรินทร์เงยหน้าขึ้น ดวงตาคมสีนิลที่เคยไร้อารมณ์กลับสั่นไหวในครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ยังควบคุมได้ แต่ต้องเฝ้าใกล้ชิด” หมอหนุ่มเว้นช่วง ก่อนจ้องตาเพื่อนสนิทแล้วพูดช้า ๆ
“ก่อนจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นหลอกอะไรนาย ลองหยุดแล้วมองดี ๆ ...บางอย่างที่นายเชื่อ อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด”
“...” คีรินทร์ไม่ตอบอะไร เขาแค่จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ
เพราะคำพูดนั้น...มันตรงกับความรู้สึกภายในเขาแบบไม่ผิดเพี้ยน
เมลินเคยโกหกและหักหลัง เขาเชื่อแบบนั้นเสมอมา และความเชื่อนั้นกลายเป็นเหตุผลของความแค้น...แต่ตอนนี้ หลายสิ่งเริ่มสั่นคลอน
ภาพเมลินที่นั่งตัวสั่น กอดลูกแน่นทั้งที่ตัวเองก็ไข้ขึ้น...ภาพเธอเอาตัวบังเด็กจากเขา ทั้งน้ำตาและเสียงสั่นเครือที่ร้องขอไม่ให้พรากน็อตไป...
หากทุกอย่างที่เธอทำ ไม่ใช่การแสดงล่ะ?
หากเธอ...ไม่ได้หนีเพราะร้าย แต่เพราะปกป้อง?
แต่ต่อให้เธอมีเหตุผล คีรินทร์ก็ยังไม่อาจลืมความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งอย่างไร้คำอธิบาย
ความเงียบคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ ในขณะที่หัวใจของคีรินทร์เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่เคยยอมรับฟังมาก่อน...
ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงพยาบาลร้องเรียกก็ดังขึ้นด้านหลัง
“คุณเมลินเป็นลมค่ะ!”
เขาหันกลับไปก็เห็นเมลินร่วงลงไปในอ้อมแขนของลิซ่า สติเลือนลางด้วยความเพลียและความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน
“เมลิน!”
ไม่ต้องรอให้ใครพูดอะไรต่อ คีรินทร์พุ่งเข้าไปอุ้มร่างบางขึ้นแนบอก พาเธอวิ่งไปยังอีกห้องตรวจฉุกเฉินทันที
หมออคินรีบตามไปตรวจอาการ และหลังจากประเมินเบื้องต้นจึงสั่งให้นางเอกนอนพักรักษาตัวร่วมด้วย
“เธออ่อนเพลียมาก ทั้งอดนอน เครียด สภาพร่างกายเลยแย่ลงจนความดันต่ำ ต้องนอนให้น้ำเกลือและพักฟื้นเหมือนกัน” หมออคินพูดเสียงจริงจังขณะเดินกลับมายังห้องพักเด็กด้วย
เมื่อคีรินทร์กลับมานั่งข้างเตียงน้องน็อตได้ไม่นาน ลิซ่าก็เข้ามากระซิบถามเบา ๆ
“คุณคีรินทร์คะ... คุณเมลินต้องแอดมิทด้วย หมอบอกว่าคืนนี้คงยังไม่ฟื้นง่าย ๆ จะให้ฉันหาพยาบาลพิเศษมาช่วยดูแลเด็กไหมคะ?”
เขาเงียบไปชั่วอึดใจ สายตากลับไปมองเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงเล็ก ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นยังแดงจัดด้วยพิษไข้ มือเล็ก ๆ ยังยึดตุ๊กตาหมีแน่นอย่างเคย
ก่อนที่ลิซ่าจะได้พูดซ้ำอีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำของเขาก็เอ่ยขึ้น
“ฉันจะเฝ้าเด็กเอง” เขาบอกเสียงเรียบ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพักฟื้นเด็กโดยไม่รอคำอนุญาต
บนเตียงผู้ป่วยขนาดเล็ก เด็กชายตัวน้อยในชุดคนไข้นอนนิ่ง ใบหน้าเล็กซีดเซียวด้วยพิษไข้ สายน้ำเกลือโยงเข้าข้อมือเล็ก ๆ อย่างบอบบาง
คีรินทร์นั่งลงข้างเตียง มองดูใบหน้าเล็กที่นอนหลับด้วยความเหนื่อยล้า
เขาเอื้อมมือแตะหน้าผากเล็กเบา ๆ — ยังร้อนจัด
ชายหนุ่มลุกขึ้น เดินไปหยิบผ้าเย็นจากอ่างน้ำ ก่อนจะบิดให้หมาดแล้วกลับมานั่งลง เปลี่ยนผ้าเย็นที่วางบนหน้าผากเด็กอย่างระมัดระวัง
นิ้วมือเรียวยาวค่อย ๆ เลื่อนเกลี่ยผ้าผืนเล็กลงช้า ๆ สัมผัสผิวอุ่นนั้นแผ่วเบา ราวกับกลัวปลุกให้เจ้าของตื่น
...แล้วทันใดนั้น นิ้วมือของเขาก็ถูกรั้งไว้เบา ๆ
นิ้วเล็ก ๆ ของน็อตกำลังจับนิ้วชี้ของเขาแน่น — อย่างไม่มีสัญญาณเตือน
เด็กชายยังคงหลับตา แต่ริมฝีปากขยับพึมพำออกมาเบา ๆ “…ปะป๊า…”
คีรินทร์ชะงัก หัวใจที่นิ่งสงบเหมือนน้ำแข็งกลับไหวสะเทือนราวคลื่นพายุใหญ่
คีรินทร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความรู้สึกบางอย่างวิ่งวูบเข้ามาในอก มันไม่ใช่ความโกรธ...ไม่ใช่ความแค้น แต่มันคืออะไรที่อบอุ่น ละมุน และเปราะบางเสียจนเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองควรหนีมันหรือยอมรับมันสักที
เขานิ่งงัน มองดูมือน้อย ๆ ที่กุมเขาไว้แน่นขึ้นราวกับกลัวว่าจะหายไป ใจเขากระตุกวูบ อย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้
แล้วครั้งแรกในรอบหลายปี...เขายอมให้ตัวเองยิ้ม
ยิ้มบาง ๆ ที่ไม่อาจหลุดรอดจากใครเห็น ยิ้มที่มีเพียงเขาและเด็กน้อยรู้กันสองคน — ว่าหัวใจที่เคยด้านชาเพราะความแค้น...กำลังเริ่มละลาย
เสียงเครื่องปรับอากาศในห้องพักผู้ป่วยเด็กเบอร์ 905 ดังคลอเบา ๆ เคล้าเสียงลมหายใจอ่อนแรงของเด็กน้อยที่นอนซมอยู่บนเตียง ข้างกายของเขา... ร่างสูงใหญ่ของคีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ละสายตาจากใบหน้าเล็กซีดจาง เขาเปลี่ยนผ้าเย็นให้ลูกครั้งแล้วครั้งเล่า เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากเล็กด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ แต่ประณีตอย่างน่าประหลาด
เขาไม่เคยรู้ว่าการเฝ้าไข้เด็กคนหนึ่งมันจะทำให้เขารู้สึก “เหนื่อย” ในแบบที่เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อน… และเขาก็ไม่รู้ว่า... ทำไมมือที่เคยถือปืนหนัก ๆ ถึงกลับสั่นตอนเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวให้เด็กน้อย
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ...
หญิงสาวในชุดคนไข้เดินโซเซเข้ามา แม้จะมีสายน้ำเกลือพาดแขนอยู่แต่เธอกลับเดินตรงมาอย่างเร็วราวกับลืมไปแล้วว่าตัวเองก็ยังไม่ได้แข็งแรง
“เมลิน?” คิรินทร์ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นร่างนั้นปรากฏขึ้น พร้อมกับพยาบาลที่วิ่งตามหลัง
“คุณเมลินคะ! อย่าค่ะ เดี๋ยวสายน้ำเกลือหลุด!”
เมลินไม่ได้ตอบ เธอเดินตรงมาจนถึงเตียงลูก และหยุดอยู่ข้างหลังเขา
มือเล็กค่อย ๆ ยื่นมาหยิบผ้าผืนเล็กในมือเขาออก “ฉันจะทำเองค่ะ... คุณไปพักเถอะ”
น้ำเสียงของเธอแม้อ่อนแรง แต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่นแบบผู้หญิงที่เจ็บมาพอแล้วจนไม่กลัวแม้แต่ความอ่อนแอของตัวเอง
คิรินทร์นิ่งมองใบหน้าซีดเซียวที่ขึ้นสีจาง ๆ ด้วยความดื้อดึงอย่างเงียบงัน
“เธอเพิ่งฟื้น แล้วจะฝืนทำไม”
“ฉันเป็นแม่ค่ะ ฉันแค่จะอยู่กับลูก... จะได้เฝ้าเขาไปด้วย”
“แต่เธอยังไม่หาย” เขากัดฟันแน่น เสียงกดต่ำราวกับอดกลั้นอารมณ์อะไรบางอย่างไว้
เมลินก้มหน้าไม่ตอบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดแล้วเช็ดตัวลูกอย่างเบามือ นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปตามหน้าผากเล็ก ๆ พร้อมรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นเธอมีให้ใคร
คิรินทร์หรี่ตาลง “ลิซ่า”
เลขาสาวที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ เข้ามาหาเขาทันที “คะ บอส?”
“โทรบอกพยาบาล ให้เอาเตียงเสริมเข้ามาในห้องนี้ แล้วให้พยาบาลเข้ามาใส่น้ำเกลือให้เธอใหม่ด้วย”
“เดี๋ยว—ไม่ต้องก็ได้ ฉันอยู่ตรงนี้เฉย ๆ ก็พอ—” เมลินเงยหน้าขึ้นขัดทันที
“จะให้ฉันใช้วิธีอื่นก็ได้นะ” เขากดเสียงเย็นเฉียบ
“เพราะถ้ายังดื้อ ฉันจะให้คนพาเธอกลับไปนอนที่ห้องเดิม แล้วฉันจะไม่อนุญาตให้เธอเข้าใกล้ลูกอีก”
ประโยคนี้ทำให้เมลินนิ่งงัน ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ แม้จะขัดใจแต่เธอไม่กล้าเสี่ยง เพราะเธอไม่มีสิทธิ์จะต่อรองอะไรกับเขาเลย…
พยาบาลเข้ามาช่วยติดน้ำเกลือให้หญิงสาวอีกครั้งในขณะที่เตียงเสริมถูกนำเข้ามาในห้อง คิรินทร์ขยับให้พื้นที่เตียงผู้ป่วยกว้างขึ้น เขายืนกอดอก พิงฝาผนัง มองภาพแม่ลูกที่นอนอยู่เคียงข้างกัน
ภาพนั้นมัน... แปลกตาเกินไปสำหรับชีวิตของเขา...
ไม่สิ... ไม่ใช่แค่แปลกตา มันเหมือนบางอย่าง “คุ้นเคย” กำลังตามหลอกหลอนอยู่ในอก
น็อตพลิกตัวน้อย ๆ หันไปหาอกของแม่ แล้วก็คว้ามือเล็ก ๆ ไปกุมเอานิ้วมือข้างหนึ่งของคีรินทร์ไว้แน่น...
“ฮึ...” เสียงทุ้มต่ำหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่ใช่เพราะขำ แต่เพราะมัน... จุก
“ลูกฉัน—ใช่ไหม…”
ประโยคนี้ไม่ได้พูดออกไป
เขาแค่จ้องมองเด็กคนนั้นนานขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจมันกระตุกแปลบทุกครั้งที่เห็นแววตานั้น... มันเหมือนกับใครบางคนที่เขาเคยสูญเสียไป... มันเหมือนตัวเขาเองในวันที่ยังเป็นเด็กชายไร้เดียงสา ก่อนจะถูกพรากความอบอุ่นในชีวิตไปจนหมด
“นอนได้แล้ว” เขาเอ่ยเบา ๆ มองไปยังหญิงสาวที่ยังคงลืมตา
เมลินไม่พูดอะไร หลับตาลงช้า ๆ กุมมือลูกไว้แน่น ขณะที่อีกข้าง... นิ้วของคีรินทร์ยังคงอยู่ในกำมือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยอย่างไม่ยอมปล่อย
และเขา... ก็ไม่ได้ดึงมือกลับ
เขาไม่รู้ว่าทำไม
บางที... เพราะเขาไม่อยากหลุดจากจุดนี้
...จากอ้อมกอดอุ่นที่เขาไม่มีในวัยเด็ก
...จากครอบครัวที่เขาไม่เคยรู้จัก
แต่วันนี้... มันอาจกำลังจะเริ่มขึ้น—อีกครั้ง
เสียงหอบยังแทรกผ่านริมฝีปาก ก่อนที่เมลินจะถูกจับพลิกร่างกลับอย่างรุนแรง และถูกยึดครองอีกครั้งจากด้านหน้า“มองหน้าฉัน…แล้วบอกสิว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลย”คีรินทร์กระซิบเสียงพร่า ขณะร่างใหญ่กระแทกเข้าสุดแก่นอีกครั้งจังหวะนั้น เมลินสะท้านจนแทบน้ำตาไหล เพราะมันลึก มันแน่น มันเจ็บแต่มันก็หวานหวิวเหมือนตกลงเหวแห่งความรักและความแค้นพร้อมกัน“ฉัน...ไม่...” เธอพยายามห้ามน้ำตา พยายามปฏิเสธทั้งที่เสียงครางยังสั่นไหวอยู่ในลำคอเขาใช้ปลายนิ้วเชยคางเธอขึ้น บีบแน่นแต่ไม่ถึงกับทำร้าย“เธอโกหก...แม้แต่ตอนนี้ก็ยังโกหก”พูดจบ เขาก็ ดูดเม้มปากเธออย่างรุนแรง — ราวกับจะลงโทษถ้อยคำลวงโลกที่เธอกลืนมันไว้กับหัวใจลิ้นร้อนแทรกเข้าไปภายใน…เกี่ยวพันอย่างบ้าคลั่ง หยาบคายแต่โหยหาจนเธอเกร็งสะท้านไปทั้งตัวร่างกายเขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้น รุนแรงขึ้นกระแทก — ลึกขึ้นบดขยี้ — หนักหน่วงกว่าเดิมดึงต้นขาเธอขึ้นคร่อมบนสะโพกเขา แล้ว สอดแทรกในมุมที่ลึกกว่าเดิม จนเธอสะดุ้
เสียงลมหายใจของเด็กชายตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ ดังสม่ำเสมออย่างสงบ ภายใต้แสงไฟอ่อนของห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เมลินก้มมองลูกน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักข้างกายคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำที่นั่งเงียบไม่ไหวติง สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่โทรศัพท์ ไม่ได้อ่านเอกสาร แต่กลับจ้องนิ่งไปยังใบหน้าลูกที่หลับตาพริ้ม...ลูกที่หน้าเหมือนเขาราวกับแกะใบหน้านั่น...โครงหน้านั่น...แม้แต่ขมวดคิ้วตอนหลับ ก็ยังเหมือนเขาอย่างกับถอดกันมามันทำให้เขาไม่สบายใจความรู้สึกในอกเหมือนถูกตีวนด้วยหมัดใหญ่ๆ ความห่วงใยที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้...มันคืออะไร?ไม่ เขาไม่เชื่อ...เขา ยังไม่เชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขาจริงอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ...บางทีเธอก็แค่สร้างเรื่องให้เขารู้สึกผูกพัน แล้วกดเขาไว้ด้วยคำว่าพ่อ...คีรินทร์เบือนหน้าหนี หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ลูกชายเรียกหาเขา หรือเผลอยิ้มให้เขาด้วยความไว้ใจไร้เดียงสามันราวกับมีอะไรบางอย่างค่อยๆ ทะลวงกำแพงในใจ...และเขาเกลียดมันเกลียดความรู้สึกนี้...ห้าวันเต็มๆ ที่น้องน๊อตต้องนอนโ
เสียงล้อรถแล่นเข้าจอดหน้าตึกฉุกเฉินในช่วงดึกสงัด ทันทีที่ประตูรถเปิดออก คีรินทร์ก็ก้าวลงมาก่อนจะอุ้มน้องน็อตที่ซบแนบอกเขาด้วยไข้ตัวร้อนจี๋ เมลินก้าวลงตามด้วยสีหน้าซีดเผือดและอ่อนแรง แต่ยังฝืนเดินไปกับเขาอย่างไม่คิดปล่อยลูกให้พ้นสายตาไฟในโถงฉุกเฉินสว่างจ้า แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันและความเงียบงันที่แปลกประหลาด เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังสม่ำเสมอขณะชายร่างสูงในชุดสูทดำเดินตรงเข้ามา สายตานิ่งเย็นเฉียบพลันเหมือนคมมีดกรีดใจใครต่อใครในเสี้ยววินาทีคีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ไม่แม้แต่จะปรายตามองใครรอบตัว โทรศัพท์ในมือติดแนบหูอย่างรวดเร็ว“อคิน อยู่ไหน?”“เพิ่งลงเครื่อง” เสียงตอบกลับนิ่งเย็น แต่ฟังดูไม่เร่งรีบ“เกิดอะไรขึ้น?”“ลูก...เมลิน ลูกชายเธอ ป่วย”เพียงประโยคนั้นก็เพียงพอให้ปลายสายเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเร่งเร้า“ห้องไหน?”ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา หมออคินก็มาถึงเขาในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที โดยไม่พูดพร่ำกับใคร ทิ้งให้เพื่อนมาเ
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่