เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกัน
เสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้
ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว
“สองร้อยล้านบาท”
“สองร้อยห้าล้านบาท”
“สองร้อยสิบล้านบาท”
การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมีหน้าตาทางสังคมแต่ยังเป็นเสมือนสิ่งที่ยืนยันในความมั่งคั่งของผู้ครอบครองที่สามารถแย่งชิงสร้อยเส้นไปเป็นของตัวเองได้
ทว่าโซเรนกลับไม่คิดจะสนใจสร้อยเส้นนั้นเลยสักนิด เพราะเขาไม่ต้องการจะครอบครอง เพียงแค่มาที่นี่เพื่อรอชมเหตุการณ์ตื่นตาตื่นใจที่อาจจะเกิดในคืนนี้ต่างหาก...
พรึ่บ!
แสงไฟภายในงานดับมืดลงไปในจังหวะเดียวกับเครื่องเพชรกำลังประมูลราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับแขกภายในงานไม่น้อยเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงโวยวายของเจ้าของงานประมูลดังขึ้น แต่เพียงไม่นานไฟภายในห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
ออเดียน่าก้มหน้าหนีแสงไฟเล็กน้อยพลางกระพริบตาถี่ แล้วจึงหันไปมองคนข้างกายที่ยังคงยืนนิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเหตุการณ์เมื่อกี้เลยสักนิด
“สร้อยเพชร! สร้อยเพชรหายไปแล้ว” เสียงของใครคนหนึ่งตะโกนดังขึ้นพลางชี้ไปยังกล่องใสที่เคยมีเครื่องเพชรวางโชว์อยู่ด้านใน แต่ตอนนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่
ดวงตาของออเดียน่าเบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอรู้ดีว่าสร้อยเส้นนั้นราคาประมูลสูงมากแค่ไหน แต่มันกลับหายไปภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ
“ไม่นะ!” เจ้าของงานประมูลที่รีบวิ่งออกมาก็พลันตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ สร้อยเพชรล้ำค่าที่หายากจนเลือดตาแทบกระเด็นแต่กลับถูกโจรขโมยไปอย่างง่ายดายจนยากที่เชื่อ
“ห้ามใครออกไปจากที่นี่ทั้งนั้น จนกว่าจะหาสร้อยเพชรเจอ” เสียงประกาศกร้าวพร้อมกับประตูห้องงานประมูลที่ปิดลงพร้อมกับบอร์ดี้การ์ดที่เดินมาล้อมบริเวณโดยรอบ แขกภายในงานต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน
แขนแกร่งยังคงโอบรอบเอวของเธอไว้พลางรั้งให้เข้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม ขณะเดียวกับที่บอร์ดี้การ์ดกำลังเดินไปค้นตัวของแขกทุกคนภายในงานอย่างระมัดระวัง
ทว่ากลับไม่เจอสร้อยเพชรเส้นนั้นเลยราวกับว่ามันหายไปโดยไร้ร่องรอยด้วยฝีมือของโจรที่มีประสบการณ์ช่ำชอง แม้แต่ออเดียน่าก็ยังอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมสร้อยเพชรถึงได้หายไปโดยไร้ร่องรอยแบบนั้นได้กัน
สีหน้าของโซเรนยังคงเรียบนิ่ง ไร้อาการตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทันทีที่บอร์ดี้การ์ดค้นตัวเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหมุนตัวพาเธอเดินออกมาจากห้องประมูลโดยไม่สนใจสายตาของแขกคนอื่น ๆ ที่มองมาเลย
“คุณ...” เธอเอ่ยเรียกพลางรั้งมือของเขาที่จับข้อมือของเธออยู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมามองและเลิกคิ้วเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอ”
“เขาจะไม่ว่าเหรอคะที่เราออกมาแบบนี้” ความกังวลของเธอก็คงไม่พ้นเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเธอกับเขาอาจจะเป็นคนร้ายที่ขโมยสร้อยเพชรไปก็ได้ อีกทั้งยังเดินหนีออกจากงานมาแบบนี้อีก
“ใครจะกล้ากับฉัน?” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และแน่นอนว่าออเดียน่าเห็นว่าทุกคนไม่ใช่กล้าแม้แต่จะทักท้วงในตอนที่เขาพาเธอออกมา
“ก็... พวกเขายังหาสร้อยเพชรนั่นไม่เจอเลยนะคะ”
“จะไปช่วยหาไหมล่ะ ผมไม่ห้ามนะ” คำพูดราวกับกำลังกวนประสาท แต่สีหน้ายังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิมจนออเดียน่าไปต่อไม่ถูก
“ปะ...เปล่าสักหน่อยค่ะ” เธอรีบปฏิเสธพลางก้มหน้างุดหนีสายตาของอีกฝ่าย
“ถ้างั้นก็ตามมา” เขาไม่พูดเปล่า แต่ยังดึงข้อมือของเธอให้รีบเดินตามเขาไปอีกด้วย ขายาวสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะก้าวเท้าตามเขาแทบไม่ทัน
ปึก!
“โอ๊ย!” ศีรษะโหม่งเข้ากับแผ่นหลังกว้างของคนด้านหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ โซเรนหยุดชะงักลงอย่างกะทันหันพลางหันมาเหลือบมองเธอเล็กน้อย แล้วยกยิ้มที่มุมปาก
“ขอโทษที” คำขอโทษแบบขอไปทีทำให้ออเดียน่าได้แต่ลูบหัวของตัวเองป่อย ๆ ก่อนจะเดินตามโซเรนต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รู้ดีว่าเขาจงใจจะแกล้งเธอ
มาเฟียหนุ่มมุ่งตรงกลับไปยังจุดจอดเฮลิคอปเตอร์บนเรือที่ตอนนี้มีลูกน้องของเขากำลังยืนเรียงกันรออยู่ก่อนหน้าแล้ว ออเดียน่ามองทุกอย่างด้วยความงุนงง
“คุณจะไปไหนคะ”
“ไม่ใช่แค่ผม แต่คุณก็ด้วย”
“ฉันด้วย?”
“คุณต้องไปกับผม หวังว่าคุณแม่ของคุณคงจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังหมดแล้วนะ” คำพูดของเขาทำให้ออเดียน่าไม่กล้าปฏิเสธ เพราะไม่มั่นใจว่าธีร่าตกลงอะไรไว้กับเขาและบอกอะไรที่เป็นความจริงกับเธอบ้าง
“รีบไปเถอะ” ร่างบางถูกดันให้เข้าไปนั่งด้านในเฮลิคอปเตอร์ตามด้วยมาเฟียหนุ่มที่ขึ้นตามมาทีหลัง เสียงของใบพัดที่เริ่มหมุน ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นสูงกระทั่งเริ่มบินออกห่างจากเรือสำราญ
ออเดียน่าเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยความคิดมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว ธีร่าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเธอเอาไว้เลยสักนิดและมันทำให้เธอไม่มั่นใจว่าเขากำลังหลอกเธอหรือว่าธีร่ากันแน่ที่ไม่พูดความจริง...
กริ๊งงง! นาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะบริเวณหัวเตียงสั่นกระดิ่งส่งเสียงรัวต่อเนื่องกันจนคนที่กำลังนอนหลับสบายสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกเอาไว้พลางถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความหงุดหงิดปนโล่งอกที่เป็นเสียงของนาฬิกา“คุณผู้หญิงคะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้วนะคะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนเอ่ยขึ้น แม้ฟังดูจับใจความได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ออเดียน่าก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ในไม่ช้าร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไร้ท่าทีขี้เกียจหรืองอแงไม่อยากตื่น อาจเพราะเธอเคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานพิเศษอยู่บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยแล้วออเดียน่าหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้ ดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้งให้กับความคิดที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวรีบออกมายังห้องอาหารทันที โดยมีมาเฟียหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ“วิเวียนเคยทำอาหารไทยอยู่หลายอย่าง ถ้าอยากกินอะไรก็บอกกับวิเวียนแล้วกัน” เขาเอ่ยแนะนำหญิ
“ว้ายยย!” จังหวะเดียวกับที่ออเดียน่ากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ ถึงมันจะปกปิดเอาไว้ได้ทั้งตัวแต่ก็อดตกใจที่มาเฟียหนุ่มเปิดประตูโผงผางเข้ามาในตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ “...” ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดอะไรก็พลันรีบถอยกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ออเดียน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้านนอก ร่างสูงโปร่งยังคงเก็บอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดจนดูแทบไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในหัวของเธอกำลังผุดขึ้นมาราวกับเห็ด แต่แม้ว่าจะอยากคุ
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนก็ทิ้งให้เธอนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว สมองยังคงครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปหามารดาที่กำลังรอคอยให้เธอกลับไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมืดไปหมดทั้งแปดด้าน หรือบางทีเธออาจจะต้องทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา ค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกอีกมากมายที่ตีกันไม่หยุดทำให้ออเดียน่าจำต้องฝืนข่มตาหลับอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย กระทั่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านกระจกใสที่มักจะถ่ายทอดบรรยากาศที่สวยงามให้คนด้านในชื่นชมทุกเวลา ร่างบางนอนขดอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน ซึ่งก่อนที่เธอจะนอนหลับก็จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ไม่เคยปรากฏวางอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่งในบริเวณโซฟา เว้นเสียแต่ว่ามีใครบางคนเอามันมาให้เธอ ชายเจ้าของใบหน้าสงบนิ่งยังคงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่เมื่อคืนยับยู่ยี่เล็กน้อย ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้นไปเหนือข้อมือพลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กับร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังสบตากับคนที่กำลังพยายามจะดิ้นหนีจากแขนแกร่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ“คุณควรจะปล่อยฉันก่อนต่างหาก”“หึ งั้นเธอก็ควรจะเชื่อฟังฉันสิ”“ฉันเป็นคนที่จะฆ่าคุณนะ จะให้ฉันเชื่อฟังคุณได้ยังไงกัน” ออเดียน่าประชดกลับแทน การกระทำของเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะจับได้ว่าโดนหลอกเลยสักนิด ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กำลังจะจัดการกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองเลยสักนิด“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันจะทำให้เธอยอมเชื่อฟังได้ไหม” จบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ออเดียน่ารีบถอยหนีไปจนติดริมฝั่งหน้าต่าง เว้นระยะห่างจากมาเฟียหนุ่มเอาไว้ราวกับรังเกียจเขาโซเรนแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางดื้อรั้นแต่ยังคงแฝงไปด้วยความกลัวของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอและหันไปส่งสายตาให้คนขับรถพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงสองคนเจ้าของใบหน้าหวานผล็อ
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ออเดียน่าต้องเดินทางไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องกำจัด หากแต่เธอกลับยิ่งงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เลยสักนิดเฮลิคอปเตอร์จอดลงบนตึกดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คาดว่าน่าจะเป็นตึกแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ จากที่ได้ยินโซเรนคุยกับลูกน้องคร่าว ๆ“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธออดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงหันไปถามคนตัวสูงที่กำลังมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยสักอย่างเขาหยุดชะงักพลางหันกลับมามองเธออีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของเจ้าตัวอย่างชัดเจนจนออเดียน่าเริ่มหวั่นใจแทน“ออเดียน่า” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ฝ่ามือเรียวกำหมัดเอาไว้แน่นพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้“คะ? คุณพูดว่าอะไรคะ” เธอทวนถามซ้ำอีกครั้ง ดวงตากลมโตแอบสั่นไหวเบา ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนกริมฝีปากเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางสบตากับเธออย่างจงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรี
เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกันเสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว“สองร้อยล้านบาท”“สองร้อยห้าล้านบาท”“สองร้อยสิบล้านบาท”การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมี