ยี่สิบนาที
หลังจากคุยกันไม่ลงตัวและเขากับผมก็จ้องตากันอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่าให้เวลาผมในการเตรียมตัวยี่สิบนาที หลังจากที่ผมดื้อดึงบอกว่าตัวเองไม่มีที่ไป เขาทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วออกคำสั่งนั้นออกมา ถึงแม้ว่าผมจะงงๆ แต่ก็ยังคงทำตามที่เขาสั่งอย่างมีความหวัง รีบวิ่งแจ้นกลับเข้าไปในห้องนอน เก็บเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อผ้า แต่ถึงแม้ว่าผมจะเลือกแล้วว่าอันไหนจำเป็นต้องเอาไปด้วย ทว่ามันก็ดูจะล้นกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ของผมอยู่ดี
ผมจัดการรูดซิปปิดกระเป๋าเมื่อตรวจทานทุกอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว จากนั้นก็รีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานผมก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ตัวเปียกหมาดๆ เพราะเช็ดยังไม่แห้งสนิทดี เพียงไม่กี่นาทีผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ผมใส่เสื้อเชิ้ตคอจีนสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขายาวสีครีมและลากกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากห้อง
“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมบอกเขาแบบนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มองผมด้วยซ้ำ เพราะเขาเอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ แต่จริงๆ เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขานั่นแหละ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว
ทว่าพอเขาได้ยินเสียงของผม เขาก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาให้ความสนใจ เขามองผมตั้งแต่หัวจดเท้า มองผมเหมือนที่เขามองตอนที่ผมเปิดประตูให้เมื่อเช้า เห็นเขามองแบบนั้นผมเลยก้มมองตัวเองบ้าง ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกตรงไหน ผมก็แต่งตัวเรียบร้อยดีนี่นา ซิปก็รูด กระดุมก็ติดทุกเม็ด
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง เราเลยประสานสายตากัน จากนั้นเขาก็กระแอมออกมาเบาๆ แล้วลุกจากโซฟา เดินออกไปที่ประตูโดยไม่ได้พูดอะไร
ผมยังไม่รู้ว่าเขาจะพาผมไปทิ้งไว้ไหน แต่ก็ยอมลากกระเป๋าเดินตามเขาออกไปอย่างง่ายๆ เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ให้แสงสว่างกับผมในตอนนี้ได้ ในช่วงที่ชีวิตของผมมืดมน ถึงแม้ว่าผมกับเขาจะเพิ่งรู้จักและพบเจอกันเป็นครั้งแรกก็เถอะ
ผมเดินตามเขาออกมาจากลิฟต์หลังจากที่มันพาเราสองคนมาถึงชั้นล่าง เขาเดินนำโดยที่ผมหอบกระเป๋าเดินตามต้อยๆ โดยไม่ปริปากบ่น เรื่องมันมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงผมเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่ที่แน่ๆ คือผมไม่มีที่จะซุกหัวนอน เพราะบ้านถูกขายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน
“เอ่อ คุณครับ เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ?” ผมถามเขาขณะที่เดินตามเขาไปยังลานจอดรถที่อยู่ใต้คอนโดฯ
เขาหันมามองผมแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็สาวเท้าเดินต่อไปจนกระทั่งเขาไปหยุดอยู่ที่รถหรูคันหนึ่ง
“อ่า...คงรวยจริงๆ สินะ”
เขายืนอยู่ข้างรถซูเปอร์คาร์สีดำมันปราบ จ้องมาทางผมที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้เดินตามไป ก็คนมันตื่นเต้นนี่นา เกิดมายังไม่เคยนั่งรถราคาแพง ยี่ห้อหรูแบบนี้มาก่อน
“มาสิคุณ ผมมีธุระต้องไปที่อื่นอีกนะ”
“อ่า ครับ ขอโทษครับ จะไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ” ผมตอบรับแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาคนเรียก
พอผมเข้าไปใกล้ตัวรถเขาก็เปิดประตูแล้วก้มตัวเข้าไปในรถ ก่อนจะยืดตัวออกมาพร้อมกับหน้ากากอนามัยสีดำ มันถูกยื่นส่งมาให้ผม ผมมองแบบงงๆ ไม่ได้รับมาในทันที แต่พอเขาเลิกคิ้วพร้อมกับสายตาทิ่มแทงผมเลยร้องอ๋อในใจ
ช่วงนี้โรคโควิดกำลังระบาดแต่ผมแม่งรีบร้อนจนลืมใส่แมส แถมยังเดินชิลๆ เข้าไปในลิฟต์ เดินเฉิดฉายออกมาจากลิฟต์โต้งๆ
อ่า แต่ไม่เป็นไรนะ ผมฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว
“ขอบคุณครับ ผมลืมไปเลย” ผมว่าแบบนั้นพร้อมยิ้มแห้งๆ ก่อนรับแมสสีดำมาใส่เอาไว้ แต่จังหวะที่จะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ เขาก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง
สเปรย์ฆ่าเชื้อถูกฉีดพ่นมาอย่างไม่ให้ตั้งตัว จนผมหน้าเหวออยู่ภายใต้หน้ากากสีดำ โชคดีหน่อยที่เขายังใจดี ไม่ฉีดสเปรย์มาตอนที่ผมยังไม่มีอะไรป้องกันใบหน้าและจมูกกับปาก
“ขอโทษที แต่คุณไม่ป้องกันตัวเองเลย” เขาว่าเสียงเรียบแล้วแทรกตัวเข้าไปในรถ ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ ครู่หนึ่งถึงได้แทรกตัวเข้าไปนั่งในรถของเขาบ้าง
อืม…รถหรู ออฟชั่นมันเจ๋งดีจริงๆ
คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วนั่งตัวเกร็ง กวาดตามองรอบๆ รถขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปจากที่จอดรถใต้คอนโดฯ
“เอ่อ จะพาผมไปไหนเหรอครับ” ผมถามหลังจากที่นั่งรถมาได้สักพัก แล้วรถก็ขับพาออกมาจากแหล่งแออัด ถนนโล่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะกำลังมุ่งหน้าสู่เขตปริมณฑล
“ไปบ้านผม ผมจะให้คุณไปอยู่ที่นั่นกับผมก่อนก็แล้วกัน ระหว่างที่ผมให้คนเข้าไปรีโนเวทห้องใหม่”
ผมกลืนน้ำลายลงคอหลังจากได้ยินคำตอบ ความรู้สึกของผมตอนนี้มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงบ้าง ความรู้สึกสับสน วุ่นวายตีกันยุ่งไปหมด แต่การที่เขาจะให้ผมไปอยู่ที่บ้านของเขามันจะดีเหรอ
ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วถามออกไป “ให้ผมไปอยู่ด้วยมันจะดีเหรอครับ”
“ทำไมล่ะ คุณบอกเองนี่ว่าไม่มีที่ไปไม่ใช่เหรอ?” เขาตอบโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าผม เพราะกำลังตั้งใจขับรถ รถของเขามันพุ่งมาก พุ่งจนผมนึกกลัว กลัวว่าจะได้ไปเจอหน้ายมบาลก่อนจะได้ไปถึงบ้านของเขา
ผมกำสายเบลท์ที่อกเอาไว้แน่น “แต่ว่า...ผมเกรงใจ ความจริงคุณให้ผมอยู่ที่คอนโดฯ ก็ได้นะ แล้วถ้าช่างจะเข้าไปก็แค่โทรบอกผม เดี๋ยวผมจะออกไปอยู่ข้างนอกเอง ถ้าพวกเขากลับไปแล้ว ผมค่อยกลับห้องก็ได้”
เอาจริงๆ ตอนนี้ผมเริ่มกลัวเขาขึ้นมาแล้วนะ ก่อนหน้านี้ที่เออออตามเขาก็เพราะว่าผมสติแตกอยู่ แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งผมก็เริ่มคิดได้แล้ว คิดได้ว่าผมไม่ควรมากับคนแปลกหน้าง่ายๆ แบบนี้ แล้วที่บอกว่าจะพาผมไปอยู่ที่บ้านน่ะ เอาจริงๆ ไม่มีใครที่ไหนใจดีกับคนแปลกหน้าแบบนี้หรอกถ้าไม่หวังผลประโยชน์ และผมก็คิดว่าผมไม่มีประโยชน์อะไรจะให้เขาด้วย นอกจากว่าเขาจะเอาผมไปขาย
คิดมาแล้วผมก็เบิกตาโพลง หันไปมองหน้าเขาด้วยความกระวนกระวาย คงไม่ใช่ว่าเขาจะเอาผมไปขายจริงๆ หรอกใช่ไหม...?
“มองหน้าผมแบบนั้นทำไมครับ คิดอะไรแปลกๆ อยู่หรือไง”
“อ่า...ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดอะไรแปลกๆ นะ!”
ผมกลับมานั่งเครียดต่อหลังจากที่ตอบเขาไปแบบนั้น แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรร ผ่านประตูอลังการของโครงการและป้อมยามเข้ามาลึกพอควร คะเนด้วยสายตาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้น่าจะมีบ้านไม่เกินยี่สิบหลัง แล้วแต่ละหลังก็อยู่ห่างกันมากพอประมาณ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ทรงโมเดิร์น มีรั้วรอบขอบชิดและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนตัวกว้างขวาง
รถจอดนิ่งสนิทหลังจากเลี้ยวเข้ามาภายในเขตตัวบ้าน บ้านของเขาต้นไม้เยอะชะมัด
เขานำลงไปก่อนหลังจากดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว ผมที่ชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายแล้วก็ต้องตามลงไปเพราะว่าเขามาเคาะกระจกเรียก
กระเป๋าเสื้อผ้าของผม ผมกอดมันเอาไว้แน่นขณะที่เดินตามเจ้าของบ้านเข้ามาด้านใน ผมกวาดตามองไปรอบๆ บ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น มันเอ่อ...แบบว่า ดูหรูหราสมฐานะของเขามากๆ ให้ตายเหอะ แล้วพอมาคิดๆ ดูแล้ว บ้านของเขาก็หลังใหญ่และสวยขนาดนี้ แล้วเขาไปซื้อบ้านขนาดกะทัดรัดของผมทำไมกันนะ
“นั่งสิคุณ กระเป๋าเสื้อผ้าน่ะวางลงก่อนก็ได้” เขาบอกหลังจากที่พาเดินมาถึงห้องรับแขก ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ แต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย
ผมเดินไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ยาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เบาะมันนิ่มก้นมากๆ แค่นั่งลงไปก็รู้สึกสบายแล้ว จนผมลืมความกลัวและปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับความนุ่มของมันชั่วขณะ
ผมวางกระเป๋าไว้ที่พื้นข้างๆ เท้า ขณะที่เจ้าของบ้านเดินหายเข้าไปในครัว แล้วกลับออกมาพร้อมน้ำเปล่าสองแก้ว เขายื่นหนึ่งในสองแก้วนั้นให้ผม จากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง ก่อนจะถอดแมสสีดำที่ปิดบังใบหน้าและป้องกันเชื้อโรคออก ผมเลยทำตามเขาบ้าง ถอดแมสสีดำออกพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อที่อกด้านซ้ายแล้วเงยหน้าขึ้นมา
อ่า...แสบตาจัง
ผมกะพริบตาถี่รัว ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันอัตโนมัติ ลมหายใจของผมมันติดขัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนต้องแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง แล้วตั้งสติไม่ให้หลงเตลิดไปกับภาพลวงตาที่อยู่เบื้องหน้า
ต้องขอบอกตามตรงเลยว่า ผู้ชายคนนี้หล่อมากจริงๆ หล่อลากไส้อย่างกับดารานายแบบ
“มองอะไรขนาดนั้นครับ ดื่มน้ำก่อนสิ”
“…” ผมไม่รู้จะตอบยังไงเพราะถูกจับได้ซึ่งๆ หน้าว่าเสียมารยาท เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำในแก้วอึกๆ จนหมดแก้วภายในเวลาอันรวดเร็ว จะบ้าตาย ทำไมใจผมต้องเต้นแรงด้วยเนี่ย ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเคยเจอคนหน้าตาดีระดับพระเอกเป็นครั้งแรกซะหน่อย
“ที่ผมให้คุณมาอยู่ที่นี่ กรุณาอย่าคิดเป็นอื่นนะ ผมก็แค่สงสารเห็นว่าคุณไม่มีที่ไป”
“อ๋อครับ ผมไม่คิดอะไรอยู่แล้ว” ผมตอบกลับในทันทีหลังจากเขาพูดจบ
เขายักไหล่ มองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปาก “อ้อเหรอครับ ผมแค่กลัวว่าคุณอาจจะคิดว่าผมพาคุณมาทำมิดีมิร้าย หรืออาจจะถึงขั้นพามาขายน่ะ”
ผมหน้าแดง หูร้อนเพราะความอาย ทำไมเขาถึงรู้ล่ะว่าผมคิดอะไรอยู่ หรือว่าตอนนั้นหน้าผมมันฟ้องว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ถึงผมจะคิด ผมก็จะไม่ยอมรับหรอกนะและจะเถียงออกไปอย่างข้างๆ คูๆ ด้วย
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย”
“หึหึ ไม่ได้คิดก็ดีแล้วล่ะครับ เพราะผมไม่ได้มีอาชีพนั้นอยู่แล้ว” เขาขยับตัวปรับท่านั่ง เอาขายาวๆ ที่ยกขึ้นไขว่ห้างลง แล้วเอนตัวพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ
“อ่า…” เขาหล่อเป็นบ้าเลยให้ตายสิครับ
เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าผมมองตาไม่กะพริบ ทำให้ผมได้สติแล้วกระแอมออกมาเบาๆ เก้อเขิน จะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบแก้กระดากก็ไม่ได้ เพราะว่าผมกินหมดแล้ว จะขอใหม่ก็อายเลยได้แต่กะพริบตาปริบๆ เหมือนคนโง่อยู่อย่างนั้น เอาจริงๆ ผมเป็นคนนิสัยเสียอย่างหนึ่งนะ
คือผมน่ะแพ้ทางให้คนหล่อ...!!!
“ที่ผมให้คุณมาอยู่ที่นี่ ผมไม่ได้ให้คุณมาอยู่เฉยๆ หรอกนะ แต่ผมมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง ผมจะให้คุณมาทำงานเป็นเมดให้ผม มาคอยดูแลบ้าน ทำความสะอาด รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า ทิ้งขยะ คุณต้องซักเสื้อผ้า รีดผ้าเอง เพราะผมไม่ชอบส่งซัก ไม่ชอบให้เสื้อผ้าไปปะปนกับเสื้อผ้าของคนอื่น ว่าไง คุณโอเคกับข้อเสนอของผมไหม?”
“หา? อะ อะไรนะครับ” ก็รู้อยู่แล้วแหละว่าไม่ได้ให้มาอยู่ฟรีๆ ถึงมันจะเกินความคาดหมายไปหน่อย เกินกว่าสิ่งที่ผมเดาสุ่มมั่วๆ ไปมากก็เหอะ แต่ให้ผมมาเป็นแม่บ้านเนี่ยนะ จะบ้าเหรอ!!!
“ก็ตามที่ผมบอกนั่นแหละ พอดีว่าเมดคนก่อนหน้านี้เขาติดโควิด รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่กว่าจะกลับออกมาก็คงอีกนาน แล้วผมก็คงไม่มีเวลาไปรอเขาขนาดนั้น ดังนั้นก็เลยต้องหาคนใหม่ คุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อนระหว่างที่คุณหาที่ไป ผมมีค่าจ้างให้เป็นรายเดือน ที่พักฟรี ส่วนอาหารการกิน คุณก็ทำเอาเองหรือจะออกไปซื้อก็ได้แล้วแต่คุณเลย แต่ถ้าคุณทำก็อย่าลืมทำเผื่อผมด้วย แล้วถ้าจะซื้อก็ซื้อมาเผื่อผมด้วย แต่ไม่ต้องทำมื้อเช้าเผื่อผมนะ ผมไม่กินข้าวเช้า”
ผมฟังสิ่งที่เขาสาธยายออกมายาวเหยียดพลางกลืนน้ำลายลงคอ
สรุปแล้วทั้งหมดทั้งมวลคือผมได้งานใหม่แล้ว คือแม่บ้านเหรอครับ
“ดะ เดี๋ยวก่อนนะ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะทำ”
เขาหัวเราะในลำคอ มองหน้าผมด้วยแววตาเรียบนิ่ง “อันนั้นก็แล้วแต่คุณนะ ผมไม่บังคับเพราะผมคงช่วยคุณได้แค่นี้ ถ้าคุณไม่ทำงานนี้ก็มีคนอื่นทำ คนตกงานเยอะแยะนะคุณที่อยากได้งานทำ คิดดูให้ดีๆ ล่ะ”
แล้วเขาก็ลุกไปจากโซฟา หายเข้าไปในห้องห้องหนึ่งทางปีกขวาของบ้าน ทิ้งผมไว้กับความมึนงงที่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตต่อดี
“ไอ้ฟูจิ ฟูจิช่วยกูด้วย” ผมพึมพำถึงเพื่อนสนิทคนเดียวที่มี แล้วเอาโทรศัพท์ออกมากดโทรหามันในทันที
รออยู่นานกว่าคนปลายสายจะยอมรับสายของผมได้
[เออ ว่าไงมึง โทรมามี’ไร รีบๆ พูดเลยทำงานอยู่]
“ฟูจิมึงช่วยกูด้วยนะ ช่วยกูด้วย” ผมกรอกเสียงลนลานไปตามสาย ไอ้ฟูจิเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่างกว่าจะตอบกลับมา
[ช่วยอะไร เรื่องงานน่ะ กูกำลังให้พี่ไทยเขาดูให้อยู่ ตำแหน่งมันยังไม่ว่าง มึงช่วยรออย่างใจเย็นได้ไหมเนี่ยโย]
“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น” ผมตอบไปพลางสั่นขาด้วยอาการร้อนรนไปด้วย ตอนนี้มันสับสนไปหมด
[ไม่ใช่เรื่องนี้ แล้วเรื่องไหนอีกล่ะโย] ฟูจิมันทำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ ผมก็พอจะเข้าใจมันแหละ
“ไอ้ฟลุ๊คมันเอาบ้านกูไปขาย จิ ไอ้เหี้ยนั่น มันเอาบ้านกูไปขายแล้ว ฮึก!” ผมร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
ไอ้ฟูจิมันนิ่งไป ก่อนถอนหายใจออกมาเสียงดังจนก้องอยู่ในหู [กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าไอ้เหี้ยนั่นมันไว้ใจไม่ได้ มึงเคยฟังกูบ้างไหมโย เคยฟังกูไหม?]
อ่า...ใช่แล้ว ผมไม่เคยฟังสิ่งที่เพื่อนเตือนเลย เพราะหลงมัวเมาไปกับคำพูดหวานๆ ของคนที่บอกรักผมผ่านโทรศัพท์อยู่ทุกวัน
“ฮึก ขอโทษ กูก็ไม่คิดว่าแม่งจะเหี้ยขนาดนี้”
[แล้วนี่มึงอยู่ไหน? บอกมากูจะไปรับ ยังอยู่คอนโดฯ ใช่ไหม?] น้ำเสียงห่วงใยของฟูจิทำให้ผมน้ำตาร่วงหนักยิ่งกว่าเดิม รู้สึกขอบคุณแต่ก็ไม่อยากเป็นภาระให้เพื่อนอยู่ดี เพราะว่าฟูจิมันอยู่กับพี่แดนไทย แล้วห้องที่อยู่ด้วยกันก็เป็นห้องของพี่แดนไทย ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพวกเขาขนาดนั้น
“เอ่อ กู คือว่ากูย้ายออกมาแล้ว เจ้าของคนใหม่เขาจะให้คนเข้าไปรีโนเวท” ผมบอกเสียงแผ่ว
[เฮ้อ แล้วนี่มึงอยู่ไหน? มีที่ไปหรือไง แล้วเงินค่าขายบ้านล่ะ ได้แบ่งมาหรือเปล่า]
ผมส่ายหน้า ตอบกลับไปแค่เสียงร้องไห้
[เหี้ยเอ้ย แล้วแบบนี้จะทำยังไงล่ะโย ให้กูไปรับไหม? บอกมาสิวะว่าอยู่ที่ไหน?]
“เอ่อ มะ ไม่ต้องๆ ไม่ต้องมารับหรอก พอดีว่ากูได้งานทำแล้ว และเขาก็มีที่อยู่ที่กินให้ มึงไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ผมพูดไปร้องไห้ไป แต่ก็ต้องกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ “จะ จิ ถ้าแบบว่า…ถ้ากูอยากร้องไห้ กูโทรหามึงได้ไหม?”
[...เฮ้อ โย กูเพื่อนมึงไหม? มึงอยากร้องไห้ อยากหัวเราะ อยากด่าใคร หรือว่ามึงชอบใคร อยากระบายอะไรก็โทรมาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เข้าใจไหมหมาน้อยโย]
“ฮืออออ ฟูจิ กูรักมึงนะฮึก!”
ผมกดวางสายพลางเช็ดน้ำตาออกลวกๆ แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา เจ้าของบ้านก็เข้ามาอยู่ในกรอบสายตาของผมแล้ว
“มะ มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ” ผมถามเขาแล้วรีบเช็ดน้ำตาให้แห้ง
เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับพนักโซฟาแล้วจ้องหน้าผมนิ่งๆ “คุณชอบร้องไห้เหรอ?”
ผมขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า “ผมเปล่า ใครที่ไหนจะชอบร้องไห้ล่ะ”
“เหรอ? แต่ผมเห็นคุณร้องอยู่ตลอดเลยนะ อย่างน้อยๆ วันนี้ก็สองครั้งแล้วที่ผมเห็น”
ผมได้แต่เม้มปากเมื่อเขาพูดความจริง
“สรุปแล้วคุณจะทำงานที่นี่ใช่ไหม?”
ผมพยักหน้าเพราะปฏิเสธอะไรไม่ได้แล้ว หนึ่งเลยคือไม่มีที่ไป สองก็คือไม่มีที่ไปอีกนั่นแหละ
“ถ้างั้นก็ตามผมมา ผมจะพาไปดูห้องพัก” เขาไม่ได้หมุนตัวออกไปในทันที แต่จ้องผมไม่ว่างตาจนผมต้องรีบคว้ากระเป๋าเสื้อผ้ามาถือไว้ แล้วลุกขึ้นยืนนั่นแหละเขาถึงได้ก้าวขายาวๆ นั้นออกเดิน
เจ้าของบ้านหรือก็คือนายจ้างคนใหม่ของผม เขาพาผมเดินมาที่หลังบ้านซึ่งถัดมาจากห้องครัวและห้องซักรีด
“นี่เป็นห้องพักของคนงานคนก่อนๆ ข้าวของข้างในคุณใช้ได้ทั้งหมด เพราะเป็นของที่ผมซื้อ ส่วนห้องน้ำ คุณต้องออกไปใช้ข้างนอก เพราะที่นี่ไม่มีห้องน้ำในตัวให้ คุณพอใจไหม?”
ผมมองไปรอบๆ ห้องพลางถอนหายใจ มันก็พออยู่ได้แหละถึงมันจะเล็กและดูคับแคบไปหน่อย แต่ก็มีของใช้ให้ครบครัน ไม่ว่าจะตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง เตียงนอนและ เอ่อ...พัดลมเพดานหนึ่งตัว
“ครับ” ผมตอบไปแค่นั้น เพราะไม่รู้จะตอบอะไรอีก ถึงแม้จะอยากขอแอร์สักตัวแต่มันคงเป็นไปไม่ได้
“ดี ถ้างั้นมาคุยเรื่องค่าจ้างกัน” เขายืนอยู่หน้าประตูห้อง ส่วนผมเดินมาวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากฟูกและหมอนเก่าๆ หนึ่งใบ
“เอ่อ ไม่ต้องก็ได้ครับ คุณเคยให้คนเก่าเท่าไหร่ก็ให้ผมเท่านั้นแหละ แต่ว่าผม...” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง มองหน้าหล่อๆ ของเขาแล้วเม้มปาก
“คุณติดปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”
“เอ่อ ไม่ๆ ผมไม่ได้มีปัญหา เพียงแต่ว่าผมอยากได้ผ้าปูที่นอน ผ้าห่มกับหมอนใบใหม่ ใบนี้มันเหลืองแล้ว ผมคงเอาหัวไปหนุนไม่ลง”
สีหน้าของเขาเหมือนอยากจะหัวเราะแต่ก็เรียบเฉยในเวลาต่อมา
“ก็ได้ เดี๋ยวผมจะพาออกไปซื้อ จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จก็ออกไปหาผมก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็ทำท่าจะผละจากไป แต่ผมก็ไวกว่ารีบวิ่งไปดักหน้าของเขาเอาไว้ เพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ หรือลืมว่านัดกับผมไว้แล้วออกไปข้างนอก
“ไปตอนนี้เลยก็ได้ครับ เสื้อผ้าค่อยกลับมาจัดทีหลังก็ได้”