Chapter 3
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เกียร์ เพลงเกรงใจ เดี๋ยวเพลงกลับพรุ่งนี้” ใครจะไปกล้านั่งรถเกือบค่อนวันไปกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันล่ะ ถึงพี่เกียร์จะหล่อมาก..เอ่อ ไม่สิ โคตรหล่อ ถึงเขาจะไม่ได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัย แต่ติดอันดับหนุ่มฮ็อต มีฐานแฟนคลับพอๆกับพี่ไคโรและพี่ออโต้เพื่อนสนิทของเขา ที่สำคัญค่าน้ำมันที่ต้องเติมจนไปถึงเชียงใหม่นั่นก็เป็นปัญหาสำคัญ เงินติดตัวที่มีเพียงหนึ่งพันห้าร้อยบาทบวกเงินในบัญชีอีกสองร้อยห้าสิบ ค่าน้ำมันรถซุปเปอร์ไปกลับเชียงใหม่นี่ไม่ธรรมดาสมกับราคาของรถแน่ๆ แค่คิดฉันก็ขยาดขอนั่งรถโดยสารประจำทางไปดีกว่า ช้าหน่อยแต่ก็ประหยัดไปหลายเท่าตัว
“งั้นเพลงขอตัวนะคะ” ฉันใช้มือปาดน้ำตาอีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บกระเป๋าซากโน้ตบุคมือสองที่ยับเยินจนไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกขึ้นสะพายไหล่
“พี่จะไปเที่ยวเชียงใหม่พอดี เพลงก็ติดรถไปลงบ้านไง” พี่เกียร์ยังคงยืนกรานจะให้ฉันไปกับเขาให้ได้ ฉันก็ไม่เข้าใจเหตุผลของเขาเท่าใดนัก ประเด็นหลักคือต้องแชร์ค่าน้ำมันนี่สิ
“ขอบคุณนะคะ ถ้าพี่เกียร์จะไปเที่ยวอยู่แล้ว เพลงต้องออกค่าน้ำมันไหม?” ฉันอยากทำความตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางตอนนี้เลยดีกว่า เกิดถึงบ้านมาเรียกเก็บเงินค่าน้ำมัน ฉันคงไม่มีให้เขาแน่ๆ
“อ๋อ..” คนข้างๆลากเสียงยาวคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ว่าแต่..เข้าใจเรื่องอะไรล่ะ?
“เพลงบอกตรงๆนะคะ เพลงออกค่าน้ำมันช่วยพี่เกียร์ได้แค่พันเดียว”
“ไม่ต้องออกสักบาท พี่จะไปหาสับปะรดเมืองเหนือมาทำโปรเจคจบพอดี ไปกันเลยละกัน” พี่เกียร์สรุปเองและออกรถทันทีโดยที่ฉันไม่ทันได้ตัดสินใจ แค่ไม่ต้องออกค่าน้ำมันฉันก็รู้สึกสบายใจแถมยังนั่งรถหรูแอร์เย็นๆไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร ทั้งคนขับยังหล่อล่ำน่าปล้ำขนาดนี้ คุ้มแสนคุ้ม..ต้องคิดอะไรให้มากความ แต่ก็อย่างว่าพอเจอแอร์เย็นๆฉันก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มและเผลอหลับในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เบาะรถพี่เกียร์นี่นอนสบายแถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฉันขยับตัวเบียดไปจนชิดคนขับอย่างไม่รู้ตัว
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาตรงหน้า ฉันกระพริบตาถี่ๆปรับสายตาเพื่อรับกับความสว่างที่บอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว
‘สบายจัง นึกว่านั่งรถจะปวดหลัง รถราคาแพงมันดีอย่างนี้เอง’
“ตื่นแล้วเหรอ? หิวรึเปล่า แวะกินโจ๊กข้างทางดีไหม?” เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากที่ใกล้ๆ มันใกล้มากจนนึกว่าพี่เกียร์ต้องกระซิบที่ข้างหูแน่ๆ
“ดีค่ะ เพลงหิว” ท้องฉันเริ่มร้องโครกครากด้วยความหิวโหย ฉันเป็นคนที่กินเก่งแต่ไม่เคยอ้วน ไม่รู้กินแล้วมันไปโตที่ไหน ว่าแต่เสียงพี่เกียร์มันใกล้มาก..อย่าบอกนะว่า ใช่แล้ว!! ใบหน้าของฉันแนบอยู่บนหน้าอกพี่เกียร์ ฉันรีบสปริงตัวกลับมานั่งตัวตรงบนเบาะตัวเองด้วยความอับอาย แสดงว่าฉันนอนซบอกเขามาตลอดทาง กรี้ดดด... น่าอายที่สุด ฉันหลุบตาต่ำมองเท้าตัวเอง แอบได้ยินเสียงคนข้างๆหัวเราะเบาๆ ราวๆสิบนาทีพี่เกียร์ก็ขับรถเข้ามาถึงตัวเมืองเชียงใหม่
“ร้านไหนดี ร้านไหนเด็ดครับ” ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมหันมาถาม พี่เกียร์กดยิ้มมุมปากจนเห็นลักยิ้มที่แก้มของเขา ละลายเลยฉัน..ใจเหลวไปหมด โอ้ย..หล่อ เป็นบุญของฉันแท้ๆที่ได้มีโอกาสนั่งรถมากับหนุ่มฮ็อตของมหา’ลัย
“ร้านโจ๊กแม่รำพึงค่ะ เลี้ยวขวาซอยข้างหน้า” ฉันบอกทางด้วยความมั่นใจเพราะเชียงใหม่คือถิ่นของฉัน พี่เกียร์ขับไปตามทางที่ฉันบอกจนไปเจอร้านโจ๊กซึ่งอยู่ในซอยแคบๆ มันเป็นร้านเล็กๆ ที่มีที่นั่งเพียงสามโต๊ะเท่านั้น ร้านนี้เป็นร้านโจ๊กเจ้าประจำของฉัน อร่อย ราคาย่อมเยาและที่สำคัญป้ารำพึงให้เยอะแบบไม่หวงเครื่องจนแทบล้นชาม นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ฉันเลือกร้านนี้ ก็ร้านอื่นให้น้อยกินไม่อิ่ม ฉันไม่ได้เป็นคนตะกละนะ
“พี่เกียร์เอาอะไรคะ?” พอเราได้ที่นั่งที่ว่างเพียงโต๊ะเดียวฉันก็เอ่ยถามเขา
“พิซซ่าหน้าฮาวาเอียน” ใบหน้าหล่อเหลาพูดหน้าตาย เขากดยิ้มมุมปากนิดนึง ทำเอาหัวใจของฉันเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ นานๆทีจะได้ใกล้ชิดหนุ่มหล่อละมั้ง เลยไม่ยอมหายตื่นเต้นซะที เพลงเอ้ย!!
‘เห็นหล่อๆแบบนี้ พี่เกียร์ก็กวนนะเนี่ย’
“ใส่ไข่ไหมคะหรือธรรมดา” ฉันไม่สนใจในสิ่งที่เขาตอบก่อนหน้านี้ ถามขึ้นอีกครั้ง ก็คนมันหิวไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงใครหรอก
“แล้วพิเศษใส่ใจหรือใส่ไข่” ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่เกียร์ที่ชอบทำหน้านิ่งๆต่อหน้าคนอื่นจะมีมุมที่พูดอะไรแบบนี้ด้วย
“ป้าคะ ใส่ไข่สองค่ะ” ฉันตะโกนบอกป้ารำพึงที่ยืนอยู่หลังโจ๊กหม้อใหญ่ หญิงวัยกลางคนที่ยังคงเค้าความสวยในชุดพื้นเมืองพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มกลับมาให้ ไม่นานนักโจ๊กร้อนๆก็มาเสิร์ฟสองที่พร้อมปาท่องโก๋ ฉันฉีกมันเป็นชิ้นๆลงในถ้วยตัวเองจากนั้นจึงตักเข้าปาก
‘อืม..อร่อยเหมือนสมัยมัธยมเลย’ ทว่าคนตรงหน้ากลับนั่งมองถ้วยโจ๊กตัวเองแบบครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“พี่ไม่กินขิง” คนหล่อๆต้องมีอาหารที่ไม่ชอบสินะ แบบเวลาลงในโปรไฟล์ สิ่งที่ไม่ชอบคือขิง ฉันอมยิ้มพลางตักขิงในถ้วยพี่เกียร์ลงในถ้วยตัวเอง
“เพลงกินให้เองค่ะ”
“ชอบกินขิงเหรอเรา?” พี่เกียร์ยอมกินโจ๊กที่ฉันตักขิงออกให้
“ไม่ค่ะ” ฉันตอบพลางยิ้มจนเห็นฟันทุกซี่ คนตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
“อ้าว?”
“แต่เพลงชอบกินทุกอย่างเลยค่ะ” ฉันก็เหมือนคนทั่วๆไป อะไรอร่อยๆฉันก็ชอบกินหมดแหละ ไม่ถึงสองนาทีโจ๊กในถ้วยฉันก็เกลี้ยง ไม่ได้สงวนท่าทีต่อหน้าหนุ่มหล่อๆเลยสักนิด เพราะฉันถือคติที่ว่ากินข้าวอิ่มท้องมองผู้ชายอิ่มทิพย์ ซึ่งก่อนจะมองผู้ชายเราต้องอิ่มท้องไว้ก่อน..ว่าแต่โจ๊กถ้วยเดียวฉันยังไม่อิ่มเลย จะสั่งอีกพี่เกียร์จะหาว่าฉันเป็นคนตะกละไหมนะ
“กินหมูสับกับตับให้หน่อย” เขาตักของที่บอกลงในถ้วยของฉันพร้อมกับไข่ที่เขายังไม่ได้กินแถมยังมีเนื้อโจ๊กอีกด้วย โอเค ถ้ามีคนตักอาหารให้เราไม่ควรปฏิเสธ ยิ่งผู้ชายหน้าตาดีแล้วด้วย
“พี่เกียร์กินน้อยจัง ปาท่องโก๋ก็ไม่กิน” คาดว่าคงจะรักษารูปร่างแหละ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อก่อนพี่เกียร์เป็นอดีตแชมป์มวยสากลสมัครเล่น
“กินเยอะๆจะได้ตัวสูงๆ พี่นึกว่ามากับเด็กประถม” เขากดยิ้มมุมปาก มือหนาขยี้ผมฉันคล้ายกับจะเอ็นดู นอกจากฉันจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กแล้ว ยังหน้าเด็กอีก คนที่ไม่รู้จักต่างพากันคิดว่าฉันเป็นเด็กมัธยมกันทั้งนั้น
“โห พี่เกียร์ ความสูงของผู้หญิงหยุดตั้งแต่มอปลายแล้วป่ะ” ฉันยู่หน้าให้คนตรงหน้า
“แล้วแม่อยู่โรงพยาบาลไหนล่ะ”
“โรงพยาบาลประจำจังหวัดค่ะ ยายบอกว่าอาจจะได้ผ่าตัดตอนบ่าย” ฉันโทรคุยกับยายล่าสุด กระดูกข้อศอกของแม่ผิดรูปต้องทำการผ่าตัดเพื่อฝังเหล็กดามไว้ข้างใน
“เดี๋ยวเพลงสั่งโจ๊กไปฝากแม่กับยายก่อนนะคะ” ยายคงกำลังเฝ้าแม่ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาจไม่มีเวลาออกมาหาซื้ออาหาร ฉันจึงขอให้พี่เกียร์แวะซื้อน้ำ กระดาษทิชชูและของใช้จำเป็นไปด้วย
พอไปถึงโรงพยาบาลฉันก็เข้าไปเยี่ยมแม่ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยรวม เพราะห้องพิเศษต้องมีค่าใช้จ่ายที่เบิกจากบัตรทองไม่ได้
“พี่เกียร์ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณและทำการตอบแทนโดยการเลี้ยงอาหารเช้าที่เขาพยายามจะแย่งจ่ายแต่ดันพกมาแค่บัตรเครดิต แน่นอนว่าร้านไม่รับ พี่เกียร์ยังดึงดันจะจ่ายค่าอาหารหนึ่งร้อยบาทผ่านแอพธนาคาร ซึ่งป้ารำพึงก็ยังอยากรับเงินสดอยู่ดี ฉันจึงรีบส่งเงินให้เจ้าของร้านและดึงพี่เกียร์ออกจากร้านทันที
“กลับตอนไหนน่ะเรา มีเรียนรึเปล่า?” ฉันได้กลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นมิ้นท์จางๆจากตัวของเขา ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมดูอ่อนเพลียเหมือนคนอดนอน ก็ต้องไม่ได้สิ..เขาขับมาทั้งคืนโดยมีฉันนอนหลับข้างๆตลอดคืนเช่นกัน แถมยังไปนอนซบอกให้เขาขับรถยากไปอีก
“เพลงว่าจะอยู่จนกว่าแม่จะกลับไปพักฟื้นที่บ้านค่ะ หลังผ่าตัดหมอบอกว่าไม่เกินสองวันก็กลับบ้านได้ เพลงแชทไปบอกเพื่อนๆแล้วค่ะ” วันนี้เป็นวันศุกร์คงขาดเรียนแค่วันเดียว เย็นวันอาทิตย์ฉันน่าจะได้เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯตอนเช้าก็คงจะเข้าเรียนเลย
“ประมาณสองวันใช่ไหม?”
“ค่ะ พี่เกียร์ขับรถดีๆนะคะ” ฉันยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าอีกครั้ง ช่างเป็นสองวันที่ดีจริงๆ ได้นั่งรถหรูแถมคนขับยังหล่อมาก เหมือนอยู่ในความฝันแล้วกำลังจะตื่นขึ้นมาจากฝันที่ดีที่สุด
“พี่มีธุระจะทำที่นี่พอดี ถ้าเพลงจะกลับทักมาหาพี่ละกัน เผื่อพี่ยังอยู่เชียงใหม่” พี่เกียร์ส่งคิวอาร์โค้ดเพื่อแอดไลน์ยื่นมาตรงหน้าฉัน ฉันแอดไลน์เขาไปแบบงงๆ ระหว่างเรามันต้องมีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกเหรอ?
“งั้นเพลงเข้าไปหาแม่ก่อนนะคะ”
“แล้วเจอกันนะ” พี่เกียร์บอก แต่คงไม่ได้เจอหรอกเพราะตอนกลับฉันตั้งใจจะนั่งรถโดยสารประจำทางกลับ แค่นี้ก็รบกวนเขามากพอแล้ว..
Special You’re my world.“เกียร์วันนี้ไปกินเหล้ากัน?” ออโต้เอ่ยถาม วันนี้เป็นวันศุกร์คืนแฮงเอาท์สินะ แต่ว่าผมต้องไปดูที่เพื่อจะทำโกดังสินค้าของป๊านี่นา“ขอไปดูที่ให้ป๊าก่อน แล้วจะตามไป” ผมตอบ“เกียร์ ขอไปด้วยนะ ไม่ได้เอารถมา” เอมิหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้น“ก็บอกว่าจะแวะไปดูที่ก่อน ที่ในซอยเปลี่ยวด้วย ไม่กลัวเหรอ?” ผมอ้างไปข้างๆคูๆ เหตุผลสำคัญก็น่าจะเพราะวันนี้เอารถคันโปรดมา กะว่าดูที่เสร็จจะแวะไปเปลี่ยนรถที่บ้านก่อน จากนั้นก็อาบน้ำและตามไปสมทบที่ผับอีกที“อ้างว่ะ มึงไม่อยากให้กูนั่งรถคันโปรดของมึง” เพื่อนสาวเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ผมได้ทุนจากป๊าทำธุรกิจเกี่ยวกับค่ายมวยและพวกโกดังเก็บสินค้า ป๊าให้ผู้ช่วยมาดูแลกิจการช่วยผมอีกทีจนเริ่มประสบการณ์จึงค่อยๆปล่อยให้ผมทำมันด้วยตัวเอง ถามว่าหวงรถไหม? ก็ไม่รู้เหมือนกัน รถคันนี้เป็นรถคันแรกที่ซื้อมันมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจริงๆ ผมไม่ค่อยได้ขับมันเลย จะเอาออกมาขับบางวันที่รู้สึกเบื่อๆ อย่างเช่นวันนี้ ไอ้ออโต้นั่งไถไอจีพลางส่งมือถือให้ผมดูรูป ในภาพนั้นเป็นผู้ชายยืนหันหลังสูบบุหรี่ที่ริมระเบียงในคอนโดของเนเน่ ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นผมแถมน้อง
Chapter 29ก่อนวันแต่งงานพี่เกียร์พาฉันขับรถออกมาจากบ้าน เพื่อจะมาดูบ้านใหม่ที่เจ้าตัวอุบไว้ไม่ยอมพาฉันมาสักที ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นความลับอะไรนักหนา เขาขับรถไปเรื่อยๆ เลี้ยวเข้าซอกซอยที่ฉันไม่คุ้นเคย ทว่าพอถึงจุดหมายก็ทำให้ฉันประหลาดใจขึ้นมาทันที นั่นก็เพราะว่ามันคือที่แรกที่ฉันบังเอิญเจอกับเขาในซอยเปลี่ยว แต่ซอยที่ว่าก็เริ่มมีบ้านสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือว่าร้านรวงต่างๆจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมในวันที่เราเจอกันสักนิด บ้านที่ว่าก็สร้างอยู่บนจุดที่ฉันเอาโน้ตบุคฟาดหลังพี่เกียร์“พี่เกียร์ เว่อร์อีกแล้วนะ สร้างตรงจุดเกิดเหตุเลย อย่าบอกนะโน้ตบุคเครื่องนั้นใส่กรอบตั้งในตู้โชว์ในบ้าน” ฉันทำทีพูดปนขำหรือกลบเกลื่อนความดีใจจนขอบตาเริ่มมีน้ำตามาคลอที่ขอบตาด้วยความตื้นตัน ที่พี่เกียร์จำรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆที่เกี่ยวกับฉันไว้หมดทุกอย่าง“จริง พี่ใส่กรอบใสไว้เป็นที่ระทึก..เอ้ย!! ที่ระลึก” ว่าที่เจ้าบ่าวยิ้มกว้าง ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามยิ่งดูดีเข้าไปอีกห้าร้อยสองเท่า ใครจะไม่อวยหลัวตัวเองบ้างล่ะ“พี่อยากให้เพลงรู้ว่า ความรักของเราเริ่มที่ตรงไหน แล้วมันก็จบลงที่ตรงนี้” มือหนาคว้ามือของฉันไป
Chapter 28 ‘Will you marry me?’ ข้อความนี้มัน..ฉันยืนนิ่งอ่านป้ายนี้อยู่นานพลางนิ่งคิดไปสักพัก..แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจกับตัวเอง“พี่เอี้ยงคะ พร็อบของนิยายพี่วิเวียนเหรอคะ?” ชื่อเซ็ทหนังสือของนักเขียนรุ่นพี่คือเซ็ทเจ้าสาวจำยอม สำนักพิมพ์ลายลักษณ์อักษรเล่นใหญ่จริงๆ มีการขอแต่งงานด้วย ฉันหันไปยิ้มแบบแซวๆให้พี่วิเวียน อยากใส่ชุดสโนว์ไวท์ดีนัก ไม่เข้ากับธีมของบูทเลย“นี่เพลงไม่เข้าใจจริงๆเหรอ?” พี่เอี้ยงกับพี่วิเวียนทำหน้าเหวอหน่อยๆ“เอาเลยค่ะพี่วิเวียน แต่งเลยค่ะ ไหนคะเจ้าบ่าว” ฉันเล่นไปตามน้ำเพราะดูท่ากิจกรรมของงานมันก็สนุกดีเหมือนกัน น่าจะมีว่าที่เจ้าบ่าวที่จ้างมาแสดงละครด้วยอย่างแน่นอน“โอ้ย..วิงเวียน” เจ้าของสำนักพิมพ์หันไปรำพึงรำพันกับนักเขียนเจ้าประจำในสังกัด“วิเวียนค่ะพี่เอี้ยง”“ฉันรู้สึกปวดหัววิงเวียนจริงๆ คนที่จ้างเราเค้าจะจ่ายค่าจ้างให้ไหมเนี่ย” พี่เอี้ยงเริ่มกุมขมับพลางปรับ ทุกข์กับพี่วิเวียนต่อ “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ เพลงตกข่าวอะไรไปไหม?” ฉันเริ่มจะงุนงงหน่อยๆเพราะไม่มีใครยอมเฉลยเลยว่ากิจกรรมงานแจกลายเซ็นท์มันเป็นรูปแบบไหนกันแน่ ตอนนี้ฉันในชุดกึ่งเจ้าสาวทำตัวไม่ถูกจริง
Chapter 27“พี่เกียร์คะ อาทิตย์หน้าเพลงจะไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีแจกลายเซ็นท์ด้วยนะ คือเพลงจะบอกว่าเพลงดังมากนะคะ” ฉันพูดปนขำอวยตัวเองหน่อยๆ งานนี้ฉันได้รับเชิญเพราะรู้จักกับพี่เอี้ยงที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ลายลักษณ์อักษร แล้วนิยายของฉันก็ตีพิมพ์กับที่นั่นเกือบห้าเล่มแล้ว ทว่างานประจำที่ฉันทำจริงๆก็คือเปิดสำนักพิมพ์ร่วมกันกับช่อม่วงและโรส โดยมีพี่เกียร์กับพี่ไคคือผู้สนับสนุนหลักจนทำให้ความฝันเล็กๆของสาวๆเป็นจริงขึ้นมาได้“ดังแล้วจะลืมพี่ไหมนะ” พี่เกียร์ยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลึก ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมที่เปลือยท่อนอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามทำเอาหัวใจของฉันสั่นไหว หายใจติดๆขัดๆขึ้นมาทันที ดาเมจทำลายล้างของท่านพี่ช่างสูงนัก คำว่าลืมถูกตัดออกไปจากสารบบเพราะในหัวของฉันมีแต่คำว่าเกียร์เต็มไปหมด บ้าจริง!!“ไม่ตอบ? แสดงว่าลืม” ริมฝีปากหยักได้รูปลากไล้ไปตามลาดไหล่ที่โผล่พ้นชุดเดรสสีหวานของฉันเพียงบางเบา หากแต่มันทำให้ขนอ่อนฉันลุกชูชันขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน“พี่เกียร์ไม่ทำรอยนะคะ นี่เพื่อนก็ล้อยันลูกบวชแล้วค่ะ” ฉันพยายามผลักใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราจางๆอย่างไม่จริงจังนัก“จะได้ไม่ใส่เสื้อคอกว้า
Chapter 26“เพลงๆๆ เหลนรหัสแกโคตรจี๊ดเลย” เสียงของมิ้นท์ทำให้ฉันวางมือจากการเขียนนิยาย มองไปตามมือของเพื่อนรักที่ชี้ไปยังสนามหน้าตึกอักษรศาสตร์ ซึ่งกำลังมีการรับน้องกันอย่างคึกคัก“คนไหนอ่ะมิ้นท์” ฉันมองเด็กๆปีหนึ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างมากหน้าหลายตา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครคือเหลนรหัสตัวเองที่มิ้นกล่าวถึง เพราะตอนเลือกพี่รหัสฉันไม่ได้อยู่ร่วม เนื่องจากติดธุระต้องไปย้ายของเข้ามาอยู่คอนโดที่ใกล้มากขึ้น เรียกได้ว่าใกล้จนอยู่แค่หน้ามหา’ลัยได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะพี่เกียร์เรียนจบและกำลังเริ่มเปิดบริษัทรับสร้างบ้านกับกลุ่มเพื่อนๆ นั่นก็คือพี่ไค พี่ออโต้และพี่เอมิ จึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกที่จะรับส่งฉันมาเรียน เรื่องขับรถพี่เกียร์ก็สั่งห้าม เพราะเดือนที่แล้วฉันถอยรถชนกับประตูรั้วหน้าคอนโด พี่เกียร์กลัวว่าฉันจะเกิดอุบัติเหตุจึงซื้อคอนโดหน้ามหา’ลัยให้ฉันซะเลย แค่เพียงเดินข้ามถนนไม่ถึงห้านาทีก็ถึงตึกเรียน รวดเร็วและปลอดภัยมากๆ“น้องเจนท์ไง คนสูงๆขาวๆอ่ะ หล่อใสออร่ามาเลย งื้อ..” มิ้นท์มองไปที่กลุ่มเด็กปีหนึ่งแล้วทำตาปรอยๆชวนฝัน ฉันมองเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะประจำของกลุ่ม ไม
Chapter 25“พี่เกียร์คะ เพลงไปด้วยจะดีเหรอคะ?” ฉันถามแฟนหนุ่มเป็นรอบที่ร้อยสองถ้วน เมื่อพี่เกียร์บอกว่าจะพาไปงานวันเกิดของคุณยายจงจิต ฉันจินตนาการว่าที่นั่นต้องมีแต่แขกผู้หลักผู้ใหญ่ เด็กกะโปโลอย่างฉันอาจจะดูไม่เหมาะสมกับงานก็เป็นได้“ยายพี่อยากให้เพลงไปนะ ท่านย้ำแล้วย้ำอีก ไปพอเป็นพิธีละกัน ถ้าเพลงอึดอัดพี่จะพาออกมา” คนตัวสูงบีบมือฉันเบาๆคล้ายจะส่งผ่านกำลังใจ“ได้ไงล่ะคะ พี่เกียร์เป็นหลานแท้ๆ จะหนีออกมาแบบนั้นไม่ได้ค่ะ เพลงจะพยายามอยู่ให้ได้นะคะ” ฉันตอบเอาใจพี่เกียร์ แค่อยู่ให้จบงานฉันต้องทำได้“ของขวัญของเพลง มันโอเคไหมคะ เพลงกลัวคนอื่นว่า ทำไมให้ของที่ไม่มีราคาค่างวด” ฉันห่อกระถางบอนสีที่ยายฉันส่งมาจากเชียงใหม่ด้วยกระดาษสีหวานพร้อมกับผูกริบบิ้นให้ดูดีขึ้นมาหน่อย ฉันโทรไปขอต้นบอนสีจากแม่เพราะคุณยายของพี่เกียร์กำลังสะสมพันธุ์ไม้ชนิดนี้ แล้วไอ้ต้นบอนสีก็มีราคาตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักแสนเลยทีเดียว แล้วฉันก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เสียด้วย ฉันไม่รู้หรอกว่าต้นไหนมีราคาถูกต้นไหนมีราคาแพง แค่มองว่ามันสวยก็พอ‘ต้นนี้ยายเราฝากให้พ่อเกียร์ ว่าที่หลานเขยในอนาคต’‘เดี๋ยวนะคะแม่ ตอนนี้เป็นแค่แฟน ไม่รู