(ปราง)
สวัสดีฉันชื่อปราง ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปี4 วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย เดือนหน้าก็ต้องไปฝึกงานแล้ว ฉันมีเวลาพักผ่อนสมองหนึ่งเดือนหลังจากสอบเสร็จ แต่พักแค่สมองนั้นแหละแต่ร่างกายยังต้องใช้งานเหมือนเดิม เพราะฉันยังต้องไปทำงานอยู่เหมือนเดิมเพื่อส่งตัวเองเรียนให้จบ ในช่วงที่เรียนจบมัธยมแรกๆถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่เรียนจบก็ได้รับข่าวร้ายว่าพ่อกับแม่ของฉันท่านไม่ได้อยู่กับฉันแล้ว ท่านจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในระหว่างที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด ทำให้ฉันต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองส่งตัวเองเรียน แต่ก็ยังดีมีบ้านที่ฉันเคยอยู่กับท่านเป็นบ้านที่เราอยู่ด้วยกันพ่อแม่ลูก แต่ตอนนี้มีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่อยู่บ้านหลังนี้พร้อมกับเงินเก็บและเงินประกันหนึ่งก้อนที่พวกท่านทำเอาไว้ซึ่งฉันไม่เคยต้องการสักนิดมันเทียบไม่ได้เลยกับการที่ฉันต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีพวกท่านอยู่ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงต้องใช้ชีวิตต่อไปและต้องใช้มันอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ฉันตั้งใจว่าจะเอาเงินพวกนั้นออกมาใช้เมื่อจำเป็นและใช้ในยามฉุกเฉินเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นที่ต้องใช้จ่ายฉันก็หาเอาโดยการทำงานพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียนและวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ในเรื่องที่แย่ก็ยังมีเรื่องดีๆอยู่บ้าง คือการได้พบมีนเรารู้จักกันตอนปีหนึ่ง เราเรียนสาขาเดียวกันและมีนก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันสนิทด้วยที่สุด ฐานะของมีนกับฉันต่างกันมากแต่มีนก็ไม่เคยรังเกียจฉันรวมถึงพ่อแม่ของมีนด้วย ท่านเอ็นดูฉันเหมือนลูกของพวกท่านอีกคนหนึ่ง และคืนนี้ฉันก็มีนัดกับมีนที่ผับแห่งเพื่อฉลองสอบเสร็จและได้ที่ฝึกงานถึงจะเป็นคนละที่กันก็ตาม
ตึกๆ ตึกๆตึกๆ
“ปรางงงงงง” เสียงมีนเพื่อนของหญิงสาวตะโกนเรียกชื่อเธอมาแต่ไกลจนทำให้นักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นหันมองตามเสียงของมีน
“มีอะไรมีน แล้วแกจะตะโกนเสียงดังทำเนี้ย อายคนอื่นเขา” หญิงสาวถามเพื่อนที่วิ่งตะโกนเรียกชื่อเธอเสียงดังมาแต่ไกลปรางได้แต่พูดปรามเพื่อนให้เบาเสียงเพราะรู้สึกเขินอายกับสายตาที่ผู้คนมองมา เธอไม่ชอบเลยที่เป็นเป้าสายตาของคนอื่นแบบนี้
“โอเค ขอพักหายใจก่อนเหนื่อยมาก” มีนหอบหายใจ หลังจากวิ่งมาหยุดอยู่บริเวณที่เพื่อนเธออยู่
“แล้วใครบอกให้แกวิ่งมาล่ะ เดินมาก็ได้ไหม มานั่งพักก่อน” หญิงสาวเอ็ดเพื่อน และยิ้มขำท่าทางของเพื่อนสาวตรงหน้า
“ฉันหายเหนื่อยแล้ว คือฉันจะบอกว่าอย่าลืมนะคืนนี้ที่นัดกันไว้” มีนพูดเตือนความจำหญิงสาวไม่ใช่ว่าเพื่อนขี้ลืมแต่เพราะเพื่อนของเธอนั้นมักจะเบี้ยวนัดเธอเสมอถ้าหากช่วยไปสถานที่เที่ยวกลางคืน
“ไม่ลืม เรื่องแค่นี้แกเดินมาก็ได้จะวิ่งมาทำไมให้เหนื่อย สองทุ่มเจอกัน งั้นฉันไปนะ ส่วนแกก็กลับคอนโดดีๆล่ะ” หญิงสาวกล่าวลาเพื่อนก่อนทั้งสองจะแยกกันกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวสำหรับการฉลองคืนนี้
“โอเค คืนนี้เจอกัน ถ้าเทฉันล่ะคอยดู จะตามถึงบ้านเลย” ก่อนแยกกันมีนไม่วายพูดคาดโทษเพื่อนตัวเองเพราะกลัวว่าจะโดนเทอีกเหมือนครั้งก่อนๆที่ผ่านมา แต่ถ้าครั้งนี้เบี้ยวเธออีกจะตามถึงบ้านอย่างที่พูดไว้แน่นอน
(ปวีร์)
สวัสดีครับทุกคนผมชื่อปวีร์หรือวีร์แต่ชื่อเล่นผมจะให้แค่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเท่านั้นที่เรียกได้ส่วนคนอื่นไม่มีสิทธิเรียกชื่อนี้ของผม ตอนนี้ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับตกแต่งภายในซึ่งธุรกิจนี้เป็นของผมเองไม่เกี่ยวกับที่บ้าน ผมเริ่มทำตั้งแต่ผมยังเรียนไม่จบทำควบคู่กับการเรียนและดูแลกิจการของที่บ้าน
จนตอนนี้ธุรกิจของผมเป็นบริษัทออกแบบภายในระดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ไม่ง่าย กับการที่จะได้รับความไว้ใจและเป็นที่ยอมรับของลูกค้าก็ต้องใช้เวลาร่วมปี ผมทำงานเยอะมากจนเพื่อนและครอบครัวก็ต่างว่าผมบ้างาน ซึ่งผมก็ไม่เถียงหรอกว่าไม่จริง มันเป็นอย่างที่ทุกคนพูดทุกอย่าง ผมทุ่มเทให้กับงานมากจนพ่อแม่กลัวว่าผมจะไม่มีเมียมีลูก เพราะอายุของผมก็เข้าเลยสามไปแล้วแต่ผมยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนสักทีเรียกได้ว่าเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวผลเลยดีกว่า จะมีก็แต่ปลดปล่อยบ้างตามภาษาหนุ่มโสดแต่ก็นั้นแหละครับ ความสัมพันธ์จบที่เตียงจ่ายเงินแล้วก็แยกย้าย ส่วนเพื่อนของผมพวกนั้นก็มีลูกมีเมียกันหมดแล้วก็จะเหลือผมนี่แหละที่ยังไม่มีกับเขา แต่ผมก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไร ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมาทำงานตามปกติทุกวันที่ทำงานเสร็จแล้วก็กลับคอนโดน้อยครั้งที่จะกลับไปนอนบ้านเพราะบ้านกับที่ทำงานไกลกันพอสมควร
แต่วันนี้เป้าหมายของผมหลังจากเลิกงานไม่ใช่กลับคอนโดแต่เป็นสถานบันเทิงแห่งหนึ่งกลางใจเมือง เพราะเมื่อสามวันที่แล้วหนึ่งในเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยโทรมานัดไปฉลองให้กลับลูกคนที่สามของมัน ฉลองตั้งแต่ลูกคนแรกจนคนที่สาม และคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะโทรมาย้ำผมอีกรอบแน่นอนมันกลัวผมเบี้ยวนัดมันจะตาย
5 นาทีผ่านไป
เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูดังขึ้นหน้าจอแสดงชื่อไอซ์เพื่อนของประธานหนุ่ม มือหนาเอื้อมมือไปหยิบพร้อมกดรับสาย
“ฮัลโหล เพื่อนรัก คืนนี้มึงอย่าลืมนัดกูนะเว้ย” เสียงปลายสายดังออกมาจากมือถือเครื่องหรูทันทีที่ประธานหนุ่มเอาโทรศัพท์แนบหู
“เออๆกูไม่ลืมหรอกน่า มึงนี่ก็ย้ำจัง” ประธานหนุ่มตอบกลับเพื่อนไปด้วยน้ำเสียงปนรำคาญแต่ไม่ได้จริงจังมากนัก เพราะเพื่อนของเขาโทรมาย้ำเขาเรื่องนี้ทุกวันแทบจะสามเวลาหลังอาหาร
“ก็กูกลัวมึงไม่มานี่ ครั้งที่แล้วมึงก็ไม่มา ออกมาเจอเพื่อนบ้างก็ได้ แม่งทำแต่งานเงินที่มึงหามาจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้วเพื่อน เมียก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี” เพื่อนของประธานหนุ่มบ่นด้วยน้ำเสียงเอื้อมละอาให้กับความบ้านงานเพื่อนและเบี้ยวนัดเพื่อนอยู่เสมอ
“เดี๋ยวกูไปพวกมึงก็เห็นเอง ทำอย่างกับผู้หญิง โตจนลูกสามแล้ว” ประธานหนุ่มเอ็ดเพื่อนไม่จริงจังมากเพราะเขารู้นิสัยของเพื่อนเป็นอย่างดีว่าเพื่อนเป็นคนขี้เล่น
“แค่นี้ก็ต้องดุด้วยหรือคะท่านประธานขา แต่อย่างน้อยกูก็มีเมียมีลูกว่ะ มึงไม่คิดอยากมีบ้างว่ะ มันดีนะเว้ย ที่แบบเรากลับมาจากทำงานเหนื่อยได้เห็นหน้าลูกเมีย แม่งจากที่เหนื่อยๆก็หาย ” เพื่อนของประธานหนุ่มพูดจีบปากจีบคอผ่านทางโทรศัพท์ให้เพื่อนตนได้หมั่นไส้เล่น และบอกข้อดีของการมีครอบครัว
“ไร้สาระ แค่นี้นะกูจะทำงานต่อ” ประธานหนุ่มตัดบทเพื่อนตัวเองด้วยการวางสายแต่ก่อนวางก็มิวายที่เพื่อนตนนั้นจะกำชับนัดคืนนี้
“เรื่องของมึงแล้วกัน แต่คืนนี้อย่าลืมนะเว้ยมาด้วยนะมึง ลูกคนที่สามของกูเลยนะ” ว่าเสร็จประธานหนุ่มก็กดวางสายทันทีโดยไม่รอให้ปลายสายพูดต่ออีก แต่ก็อดขำกับความขี้อวดลูกของเพื่อนไม่ได้ที่เพื่อนของเขามีลูกคนที่สามแล้ว แต่เขาไม่แม้แต่จะมีแฟนกับเขาเลยสักคนเพราะวันๆมัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาที่จะไปสนใจใครเพราะนอกจากงานของตนที่เยอะจนล้นมือทำคนเดียวแทบไม่ไหว แล้วแบบนี้จะให้เขาเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟนแค่มีเวลานอนกับกินข้าวก็ดีแค่ไหนแล้วทุกวันนี้
ก็อย่างว่าเป็นลูกคนโตของบ้านก็อย่างนี้แหละทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อธุรกิจของที่บ้านเขาเยอะเสียจนไม่รู้ว่าจะหาใครที่ไว้ใจได้เข้ามาช่วยทำ ไหนจะบริษัทที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองกับมือของเขาอีก แล้วอีกอย่างพ่อเขาก็เริ่มมีอายุมากขึ้นทุกวันก็อยากให้ท่านได้พักผ่อน ส่วนน้องชายก็จะให้ขึ้นมาบริหารช่วยก็ไม่ยอมบอกอยากเป็นเลขาช่วยงานพี่เขาก็พอและยังมีบอกอีกว่าแค่นี้ก็เหมือนขึ้นมาช่วยเขาบริหารแล้วเพราะงานบางส่วนเขาก็มอบหมายให้น้องชายดูแลและตัดสินใจเองทั้งหมด เขาเชื่อว่าน้องชายของเขาสามารถทำได้และจะทำมันออกมาดีเช่นกัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่ไม่ว่าจะยกเหตุผลอะไรมาอ้างเขาก็จะไม่ยอม เลขาเขาหาใหม่ได้ไม่มีปัญหาหรอกแต่จะให้รู้งานเท่าน้องชายก็คงยากและต้องใช้เวลาฝึกอีกเยอะกว่าจะรู้ใจเขาเท่าน้องชายของเขาแต่คนเราฝึกกันได้เขาเชื่ออย่างนั้น
ส่วนเรื่องของหัวใจก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแต่ที่ตอนนี้เขายังไม่มีใครเพราะเขาแค่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจและอยากอยู่ด้วยก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่เขาเจอเธอคนนั้นแล้วเขาจะไม่มีวันปล่อยเธอเด็ดขาด
ช่วงเที่ยงของวันปรางทิพย์นั่งเล่นอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพียงลำพังเพราะสามีและลูกคนโตออกไปทำงานกันส่วนสองแฝดก็ไปเรียน เธอจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอย่างเหงาๆเพราะตั้งแต่มีลูกเธอก็ไม่ได้ทำงานอีกเลย “ม๊าขา อยู่ไหมคะ”ปริมลูกสาวคนเดียวของบ้านตะโกนเรียกมารดามาตั้งแต่อยู่หน้าบ้านจนกระทั่งเข้ามาถึงภายในตัวบ้าน “ม๊าอยู่ที่ห้องนั่งเล่นลูก”ปรางทิพย์ขานตอบลูกสาวปริมเมื่อได้ยินเสียงมารดาดังมาจากห้องนั่งเล่นก็รีบวิ่งเข้าไปหามารดาทันทีปรางทิพย์เห็นว่าลูกสาววิ่งหน้าตั้งตาตื่นก็ตกใจนึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้น “ปริมมีอะไร เกิดอะไรขึ้น แล้วนี่ทำไมกลับมาเร็วไม่มีเรียนเหรอคะ”ปรางทิพย์รัวคำถามใส่ลูกสาวที่วันนี้บอกว่ามีเรียนเลิกสี่โมงเย็นแต่นี่พึ่งบ่ายสองทำไมกลับมาเร็ว “อาจารย์ยกคลาสค่ะ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ เพราะมีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นอีกค่ะ”ปริมพูดด้วยความตื่นตระหนกราวกับเ
เช้าวันใหม่แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนของสองสามีภรรยาที่นอนกอดกันไม่ยอมตื่นลมแอร์ปะทะร่างกายทำให้ต้องกระชับกอดกันให้แน่นขึ้นเพราะความเย็นของแอร์ ปวีร์ขยับเปลือกตาค่อยๆลืมตาปรับแสงที่มากระทบตาเมื่อปรับได้แล้วก็หันไปมองภรรยาคนสวยที่นอนหลับอยู่ในอ้อมกอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนความสวยไม่เคยเลือนหายเขายังคงหลงใหลร่างกายนี้ไม่เคยเปลี่ยน เมื่อได้สัมผัสก็ต้องการที่จะสัมผัสมากขึ้นทุกครั้งตอนนี้ก็เช่นกัน ปรางทิพย์ที่อยู่ในชุดนอนเดรสสายเดี่ยวเนื้อผ้าซาตินลื่นมือทำให้เมียของเขาน่าสัมผัสมากขึ้นอีกเท่าตัวปวีร์จับตัวภรรยาคนสวยให้นอนราบกับที่นอนและเริ่มซุกไซ้ไปตามซอกคอไล่เลียระดมจูบไปตามซอกคอทำให้เกิดเป็นรอยจ้ำแดงระเรื่อที่คอ มือหนาเลื่อนไปบีบขย้ำหนาอกอวบนิ้วแกร่งสะกิดยอกประทุมถันที่ชูชันอีกข้างก็เลื่อนลงไปที่กลีบกุหลาบงาม ปวีร์พรมจูบไล่ลงมาจนถึงกลีบกุหลาบงามมือหนาถอดกางเกงในของปรางทิพย์ออกและเลิกชายกระโปรงขึ้นลิ้นร้อนไล่เลียไปตามรอยแยกนิ้วแกร่งสอดเขาไปในร่
20 ปีผ่านไป ตอนนี้ลูกของประธานหนุ่มและภรรยาโตเป็นหนุ่มเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดทุกคนแล้ว ปริ๊น หรือ ปรินทร์ อัศวภัทชกุล ลูกชายคนโตของปวีร์และปรางทิพย์ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปีสี่ ปริ๊นเริ่มเข้ามาช่วยงานพ่อตั้งแต่ขึ้นมหาลัยเพราะอยากช่วยงานพ่อแต่ช่วงนี้ก็เริ่มที่จะเข้ามาทำมากขึ้นส่วนเด็กแฝดทั้งสองคนก็เรียนมหาลัยที่เดียวกับพี่ชายท้องที่สองเธอได้แฝดชายหญิงซึ่งสมใจพ่อเขานั้นแหละ “หนูวันนี้โทรบอกลูกๆแล้วใช่ไหมว่าให้เข้ามาทานข้าวที่บ้าน” ท่านประธานวัย54แต่ยังดูดีเหมือนคนวัย30ต้นๆ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านเอ่ยถามภรรยาที่ยังสวยไม่เปลี่ยนตั้งแต่วันแรกที่เจอกันถึงแม้จะอายุเลขสี่แล้วก็ตาม “โทรบอกแล้วค่ะ เดี๋ยวก็คงจะมากัน” “ครับ แล้วนี่หนูทำอะไรอยู่ครับ”ปวีร์เดินมานั่งข้างภรรยาโอบเอวไว้หลวมและเอ่ยถาม “ นั่งดูอะไรไปเรื่อยค่ะ ว่าแต่ช่วงนี้งานเยอะเหรอคะ”
1 เดือนผ่านไปอ๊วกๆ อ๊วกๆ อ๊วกๆ เสียงโก่งคออาเจียนของประธานหนุ่มดังขึ้นอย่างนี้มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วหญิงสาวบอกให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไปบอกแต่ว่าไม่เป็นอะไรอาจจะเป็นผลมาจากการทำงาน “เฮียไหวไหมคะ ไปหาหมดเถอะนะ”หญิงสาวคะยั้นคะยอให้สามีไปหาหมอเพราะเป็นห่วงกลัวว่าสามีจะเป็นโรคร้ายแรง “เฮียไม่เป็นอะไรจริงๆครับ”ประธานหนุ่มพูดแล้วเอามือลูบหัวหญิงสาวให้คลายกังวล “ตะ...” “ป๊าม๊าเสร็จยังครับ เดี๋ยวพี่ปริ๊นไปเรียนสายนะ”ลูกชายตัวแสบเปิดประตูวิ่งเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู “พี่ปริ๊นครับ ไม่เสียงดังนะครับป๊าไม่สบายอยู่นะ”หญิงสาวบอกลูกชายให้เบาเสียงลง “ป๊าไม่สบายเหรอครับ งั้นม๊าอยู่ดูแลป๊านะครับ เดี๋ยวพี่ปริ๊นให้อากิตต์ไปส่ง”เด็กชายที่มีความคิดโตเกินเด็กวัยเดียวกันหันไปมองหน้าพ่อและพูดบอ
“ป๊า/ม๊าครับ พี่ปริ๊นมาแล้ว”เสียงเด็กชายเรียกพ่อกับแม่เข้าดังขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองกำลังเดินมาในโรงเรียน ประธานหนุ่มและหญิงสาวขับรถมารับลูกชายหลังเลิกงานทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงเจ้าแสบดังมาแต่ไกลเรียกพวกเขาทำให้ประธานหนุ่มและหญิงสาวหันหน้ามองกันและยิ้มให้กับความน่ารักของลูกชาย “เป็นไงครับ มาเรียนวันแรกมีเพื่อนหรือยังครับ แล้วนี่ดื้อกับคุณครูหรือเปล่า”หญิงสาวย่อตัวตัวลงให้เสมอกับลูกชายและยกมือขึ้นลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู “วันนี้พี่ปริ๊นไม่ดื้อครับ ไม่เชื่อถามคุณครูได้เลย”เด็กชายพยายามหาพยานเพื่อยืนยันว่าตนนั้นไม่ได้ดื้อ “พี่ปริ๊นดื้อไหมคะ คุณครู”หญิงสาวลุกขึ้นและส่งลูกชายไปให้สามีก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้ลูกของเธออยู่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง “พี่ปริ๊นไม่ดื้อเลยค่ะ เข้ากับเพื่อนในห้องได้ทุกคน โดยเฉพาะน้องเกลค่ะพี่ปริ๊นชอ
“พี่ปริ๊นครับลูก ตื่นได้แล้วครับ วันนี้ไปโรงเรียนวันแรกหนูจำไม่ได้เหรอลูก” คุณม๊าคนสวยเดินขึ้นมาปลุกลูกชายวัยสองขวบที่วันนี้เป็นวันแรกที่ลูกของเธอต้องไปเรียนวันแรกตอนบอกเรื่องโรงเรียนลูกชายของเธอดีใจกระโดดโลดเต้นยกใหญ่ แต่ทำไมคนที่ดีอกดีใจที่จะได้ไปเรียนถึงกลับไม่ยอมตื่นเสียที “พี่ปริ้นครับ ตื่นได้แล้วลูกเดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ”คุณม๊าคนสวยไม่ลดความพยายามที่จะปลุกลูกชาย “ม๊าครับ พี่ปริ๊นยังอยากนอนอยู่เลย”เด็กชายงอแงไม่อยากตื่นและซุกหน้าลงหมอนหลับต่อแอดดดด “เอ้า ทำไมพี่ปริ๊นยังนอนอยู่ล่ะครับ ไหนว่าไปเรียนวันแรกไง”ประธานหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องลูกชายก็เห็นเมียนั่งมองลูกชายนอนหลับไหนว่าขึ้นมาปลุกแต่ทำไมเจ้าตัวแสบยังนอนอุตุอยู่ “ม๊าปลุกแล้ว แต่เจ้าตัวไม่ยอมตื่นบอกว่ายังอยากนอนอยู่เลย สงสัยอาหารเช้าของโปรดคงต้องเททิ้งแล้วสิ”หญิงสาวทำทีพูดว่าจะเอาของโปรดที่ลู