"แบบนี้หมายความว่ายังไงเราต้องคุยกันให้เคลียร์ก่อนไหมสกาว" "ก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องเคลียร์ พี่ก็ใช้ชีวิตบนโลกนีี้ไปสิ"
Узнайте большеเกิดอะไรขึ้น !!
เสียงเอ๊ะอะโวยวายตั้งขึ้นตรงทางเดินหนีไฟของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในต่างประเทศ "คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!" เสียงผู้หญิงโวยวายขึ้นทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับหมอหนุ่ม "ผมทำอะไรครับ" ผมถามยัยแก่แว่นหนาเตอะด้วยความสับสน เพราะอยู่ ๆ เธอก็มาโวยวายและต้องการเจอผม "ไอ้คุณหมอ!! นี่แก แก" เสียงร้องของหญิงไวกลางคนดังขึ้นพร้อมกับเอามื้อชี้หน้าคุณหมอทักษ์ด้วยความโมโหและโกรธมาก "หึ แกอะไรครับผมอยู่ของผมดี ๆ แล้วนะ ป้าเป็นอะไรมากไหม อยู่ ๆ ก็มาเอ๊ะอะโวยวายรบกวนคนไข้และหมอคนอื่น ๆ" มนุษย์ป้าอีกแล้วสินะเจอแต่ละวันผมแทบจะอัดพารา เป็นตัน ๆ แล้วมั้ง สงสัยหน้าที่การงานผมคงยุ่งไม่พอ "ไอ้คนสารเลว แก ๆ แกทำหลานฉันท้อง!!" "นี่! ป้าถ้าจะกล่าวหากันลอย ๆ แบบนี้ผมฟ้องได้นะครับ" ผมบอกคนที่มาเรียกร้องโวยวาย ทันที ตึก ๆ ตึก หลังจากที่ผมพูดจบก็มีเด็กผู้หญิงรีบวิ่งเข้ามาทันที และำยายามลากแขนคนที่มากล่าวหาผมออกไป "ยะ..ยาย พอเถอะนะ นะคะ ถือว่ากาวขอร้อง" เธอสงสายตาอ้อนวอนไปให้ยัยป้าคนนั่น "ได้ยังไงฮะ มันทำแกท้องก็ต้องรับผิดชอบ!!" คนเป็นยายบอกกล่าวกับหลานสาวอย่างไม่ยินยอม ผมฟังบทสนทนาพวกนี้อย่างใจเย็นแม้จะโกรธและโมโหมากแค่ไหนผมก็ต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้เพื่อหน้าที่การงานในอนาคต "ยายพอเถอะนะ นะคะกาวขอร้องละ นะยายนะ เขาไม่ใช้คนทำสักหน่อยยาย ยายเข้าใจผิดแล้วเรากลับกันเถอะนะ" ผมมองเธอที่ขอร้องป้าที่มาหาเรื่องผม น้ำตาเธออาบนองเต็มสองแก้ม "อึก ขะ..ขอโทษคุณหมอด้วยนะคะยายหนูคงเขาใจผิดนะคะ" ฉันยิ้มทั้งน้ำตากล่าวขอโทษคนตรงหน้าทันทีเพราะไม่อยากยุ่งไม่อยากให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เรื่องที่ฉันเป็นคนก่อเอาไว้เอง "ไม่เป็นไร แต่คราวหลังอย่ากล่าวหาใครมั่ว ๆ อีก" ผมบอกกับเธอ ก่อนจะหันไปจ้องมองและบอกกับป้าหรือยายของเธอที่หันมาสบตาผมโดยแววตานั้นเหมือนจะแข็งกร้าวและเคลือบแค้น "เหอะ เป็นหมอซะเปล่าแต่ไร้จรรยาบรรณน่ารังเกียจ" หลังจากที่ยายของผู้หญิงคนนี้พูดจบเธอก็เดินออกไปทันที "หนูขอโทษด้วยนะคะคุณหมอ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ" ฉันรีบกล่าวขอโทษเขาทันทีและรีบวิ่งตามคุณยายของตัวเองที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโกรธมากด้วย บ้าน "เหอะแกก็เหมือนกันยัยกาว เป็นสาวเป็นนางปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายเอาจนท้อง ที่ฉันพรำสั่งพรำสอนมานี้ไม่คิดจะจำเลยใช่ไหม" คุณยายบ่นให้ฉันตั้งแต่โรงพยาบาลยันตอนนี้อยู่บ้านก็ยังว่าให้ไม่หยุด "คุณยายคะ~" ฉันเรียกยายอย่างคนสำนึกผิด "เสียงดังเอ๊ะอ่ะอะไรกันครับเนี่ย" พี่สกายเดินเข้ามาสวมกอดคุณยายที่กำลังโมโหให้ฉันอยู่ "ก็น้องสาวแกนะสิ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว ฉันสอนมาตั้งเท่าไหร่สุดท้ายก็จนได้ ถ้ารู้ว่าโตมาจะทำตัวแบบนี้ฉันไปเสียแรงพร่ำสอนจนปากจะฉีกหรอกนะยะ" "คุณยายครับคนเราก็ผิดพลาดกันได้นิครับ อย่าไปซ้ำเติมน้องมันเลยนะครับ" พี่สกายพยายามออดอ้อนคุณยายเพื่อที่จะได้เลิกบ่นให้ฉัน "ตั้งใจนะสิไม่ว่า รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานอยู่แล้วยังจะไปเสนอตัวให้ไอ้คนไร้จรรยาบรรณนั่นอีก! เหอะ!!" เห้อสุดท้ายก็วนมาเรื่องนี้จนได้ให้ตายสิ "ก็กาวยังไม่พร้อม" ฉันบอกออกไปตามความจริง " ไม่พร้อม ไม่พร้อม แต่แกท้องนี้นะยัยสกาว!" โอเคฉันไม่ควรอธิบายอะไรสินะ "พรุ่งนี้แกเก็บของเลยเราจะกลับไปอยู่เมืองไทย!" "แต่คุณยายคะ~" "ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นแหละ ส่วนตาสกายเรียนอยู่นี้แหละใกล้จบแล้วนิ" และผู้กำหนดชีวิตเราสองคนก็คงจะมีแค่คุณยายนี้แหละ ส่วนคุณพ่อคุณแม่แทบจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวชีวิตของลูกอย่างพวกเราเลย โรงพยาบาล "คุณหมอคะท่าน ผอ. เรียกพบค่ะ" นางพยาบาลสาวเดินเข้ามาบอกหมอทักษ์เมื่อช่วงเวลาพักพอดี "ครับ เดี๋ยวผมไป" หลังจากรับคำคุณหมอหนุ่มก็เริ่มนวดขมับตัวเอง . . ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล (ห้อง ผอ.ผู้บริหารระดับสูง) แอ๊ด~ เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้คนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมองหลานชายตัวเอง "สวัสดีครับท่าน ผอ." ผมทักท้ายคุณอาไปตามมารยาท "ไงเรา นั่งก่อนสิทักษ์ อามีเรื่องจะคุยด้วยแล้วก็อยากเจอเราพอดี ทำไมไม่กลับบ้านบ้างหื้อ พ่อแม่นายคิดถึงจะแย่รู้ไหมมาบ่นให้อาฟังทุกวันเลย" ผมฟังอาที่บอกกับผม แต่ผมไม่ค่อยได้สนใจหรอกครับ ปกติพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ผมอยู่แล้วจะมาคิดถึงอะไรเอาปานนี้ "ไหนอาบอกมีเรื่องจะคุยไงครับ ผมฟังอยู่" ผมบอกกลับไปเพราะไม่อย่างเฉไฉไปเรื่องอื่น ตอนนี้ผมโฟกัสที่เรื่องงานและเรื่องของตัวเองเป็นหลัก "โอเค ๆ อาอยากให้เราย้ายไปทำงานสาขาที่ไทยนะเราจะสะดวกหรือเปล่า ทางที่ดีลองปรึกษาพ่อกับแม่นายดูก่อนก็ได้นะทักษ์ อาไม่รีบ แต่ขอคำตอบภายในครึ่งปีนี้นะ" ผมฟังอาทิวเขา อยู่เงียบ ๆ และคิดตาม ก็ดีผมเบื่อที่นี้เต็มทนวัน ๆ มีแต่คนไข้ปราสาท มาวุ่นวายไม่เลิก "ผมโตแล้วคับอาผมตัดสินใจเองได้ ทำไมต้องให้ผมปรึกษาพ่อแม่ด้วยทำอย่างกับอยู่ให้ปรึกษาอย่างนั่นแหละ" ผมพูดจาประชดออกไป แต่มันก็คือเรื่องจริง พ่อแม่ของคนอื่นผมไม่รู้หรอกครับ แต่สำหรับผม พ่อกับแม่ไม่เคยมีเวลาให้ ช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของผมก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา ผมไม่โกรธไม่เกลียดที่พวกเขาไม่มีเวลาให้ ผมเลยเลือกที่จะเรียน หนัก ๆ เพื่อที่จะไม่มีเวลาว่างมาคิดวุ่นวายหรือน้อยใจพวกท่านเช่นกัน "เฮ้อ~ เรานี้นะเอาเถอะ ๆ ตามใจ ตัดสินใจอย่างไรก็บอกอาอีกทีละกัน นี้ก็จะบ่ายแล้วทานอะไรมาหรือยังละ จะออกไปกินข้าวกับอาไหม" ทิวเขาถามหลานชายด้วยความเอ็นดูแม้ว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้จะไม่ค่อยว่างตามที่หลานชายบอก จริง ๆ นั่นแหละไม่รู้จะวางมือเรื่องธุรกิจได้ตอนไหน "ไม่ดีกว่าครับผมขอตัว ผมทานมาแล้วเดียวจะมีเคสด่วนเข้ามาด้วย ผมไปทำงานก่อนแล้วกัน ไปละครับคุณอาสวัสดีครับ" พูดจบผมก็เดินออกจากห้องทันทีโดยไม่สนใจอะไรเลย เพราะมีเคสด่วนเข้ามาจริง ๆ นั่นแหละ . . ภายในห้องของทิวเขา "ไงละพี่ชาย ฮ่า ๆ ฮ่า ละเลยหน้าที่ดีนักลูกไม่สนใจเลย สมน้ำหน้า ฮ่า ๆ ฮ่า" ทิวเขาว่าและหัวเราะให้พี่ชายอย่างสะใจ เพราะเขาเคยเตือนพี่ชายกับพี่สะใภ้ตัวเองไปหลายครั้งแล้ว จนเหนื่อยจะพูดจะเตือน "เอ่อกูรู้แล้วไม่ต้องซ้ำเติมมึงนี่แม่ง สมเป็นน้อง เห-ี้ยของกูจริง ๆ นะซ้ำเติมกูเก่งเหลือเกิน" ทิวทัศน์ว่าให้น้องชายตัวเองทันที เพราะเขาได้ยินสิ่งที่ลูกชายตัวเองพูดทุกอย่าง หลังจากนี้คงวางแผนกับภรรยาเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ลูกชายให้มากกว่านี้อีกหน่อย “ถึงจะไม่ใช่คนดีมาก แต่งานนี้ผมช่วยพี่แล้วนะครับ โอนด้วยห้าล้าน” และนี้แหละคือตัวตนของ ผอ.โรงพยาบาลชื่อดังในต่างแดน หน้าเงินขูดรีดกับพี่น้อง “เป็นการขูดรีดที่เลือดเย็นมากรู้ตัวหรือเปล่าทิวเขา” พี่ชายสายเลือดเดียวกันแทน ๆ ยังขูดรีดเงินตรากันขนาดนี้ไม่อยากจะคิด ว่าใครมาขอความช่วยเหลือจากมันยอดจะไม่ทวีคูณไปเป็นสิบ ๆ เท่าเลยเหรอ “รู้น่า ก็ช่วยไม่ได้พี่ไม่ใส่ใจลูกตัวเอง อ่ะนะนี้ผมก็บวกค่าเลี้ยงดูไปแล้วนะยังไม่ถึงครึ่งเลยนะเนี่ย บวกเพิ่มอีกสักนิดดีไหมน๊า~” ทิวเขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและแววตาเจ้าเล่ห์ตามภาษาน้องชายใจบาป “พอ ๆ เลิกคิดล้างผลานพี่ชายตัวเองได้แแล้ว รวยก็ รวย โรงบาลก็มีตั้งสองสาขาจะเอาเงินจากพี่ทำอะไรเยอะแยะทิวเขา” เงินแค่ไม่กี่ล้านเขาไม่ได้งกหรอกนะแต่เหตุผลของน้องชายนี่สิอยากจะรู้เหมือนกัน “ถามได้ก็เอามาไว้เป็นค่าสินสอดให้น้องสะใภ้พี่ในอนาคตไง อย่าลืมละว่าผมยัังหาเมียไม่ได้เพราะใคร ชิน่าหมั่นไส้ชะมัดเลย” ทิวเขายังคงมองพี่ชายด้วยแววตาทะเล้นและเจ้าเล่ห์ตามฉบับน้องรักเหมือนเดิม อม้เรื่องราวในอดีตจะไม่สามารถย้อนกลับไปได้และก็ลืมไม่ได้เช่นกัน “ทิวเขา พี่เคยขอร้องนายแล้ววไม่ใช้เหรอว่าอย่าพูดเรื่องนี้อีก” ทิวทัศน์เรียกน้องชายเสียงเข้มขึ้นมาทันที แล้วใครมันจะไปรู้เล่าว่าภรรยาของเขาจะเป็นอดีตคนรักของน้องชาย “ขอโทษ ขอโทษก็คนมันลืมตัวใครบอกให้พี่ถามจี้กันเล่า โอนมาก็้พอเดียวจะไปเกลี่ยกล่อมหลานให้ละกัน” ทิวเขารีบบอกพี่ชายไปทันทีเพราะตัวเขาเองพอนึกถึงเรื่องนี้ที่ไรก็เผลอหลุดปากลืมตัวตลอดเลย “อืม ๆ ช่างเถอะเดียวพี่โอนเข้าบัญชีแกเลยละกันไปละ” ทิวทัศน์ พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันทีเพราะเขานัดกับ ภรรยาเอาไว้แล้ว หลังจากที่พี่ชายออกไปเพียงไม่นานข้อความแจ้งเตือนการโอนเงินก็ดังขึ้นมาทันที ทิวเขามองด้วยความพึ่งพอใจกับจำนวนเงินเกินจากที่ขอไป หระตุกพี่ชายนิด ๆหน่อย ๆ ก็ได้คาสัมมาคุณมาสองเท่าแบบเก๋ ๆ ตามสไตล์คนล่อและฉลาด บนตึกแผนกสูนติ “คุณหมอคะมาพอดีเลยมีเคสผ่าคลอดด่วนค่ะคุณหมอปากมดลูกคุณแม่เปิดแต่เด็กไม่ยอมกลับหััว ทางญาติคนไข้เซ็นเอกสารเรียบร้อยค่ะรอคุณหมอทำการผ่าคลอด” ผู้ช่วยพยาบาลรีบพูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่เห็็นหมอทักษ์ กลับเข้ามาในแผนกแล้ว “โอเคอุปกรณ์พร้อมแล้วใช้ไหมครับ คนไข้ต้องการผ่าแบบไหนบล็อคหลังหรือดมยา” ผมถามพยาบาลผู้ช่วยที่คุณอาส่งมาให้ค่อยช่วยงานทันทีที่กลับเข้ามาในตึกแผนกที่ประจำอยู่ในที่สุดจดหมายตอบรับการเข้าฝึกงานเป็นนักศึกษา Extern ของสถานพยาบาลแห่งรัฐในกรุงเทพฯ "ในที่สุดพวกเราก็ใกล้จบแล้วสินะ" หนูนาสวมกอดเพื่อนก่อนจะเดินทางเพื่อไปเตรียมตัวเขารับการฝึกงานเป็นปีสุดท้ายของการเรียนแพทย์ "อืมโชคดีที่มีพวกแกค่อยพยุงให้ผ่านช่วงเวลาที่สอบกับอาจารย์ใหญ่" สกาวยิ้มมองเพื่อน ๆ ที่ต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองกันแล้ว "เดินทางปลอดภัยนะแกถึงแล้วคอลสายมาด้วยเข้าใจไหม" หนูนาเข้ามาสวมกอดเพราะเพื่อนสาวจะต้องไปฝึกงานไกลกว่าคนอื่น ๆ ในคลาสเรียน กรุงเทพมหานคร "ไงเราจะเข้าฝึกงานวันไหน" พี่สกายถามฉันทันทีที่เจอหน้าเพราะฉันให้พี่ชายมารับกลับไปหาสุดหล่อกับสุดสวย "วันจันทร์หน้ามีเวลาพักอีกสามวันขอกลับไปฟัดเจ้าแฝดให้ชื่นใจก่อนนะคะ" สกาวสวมกอดพี่ชายก่อนจะพากันเดินออกจากสนามบิน "หิวไหมพี่ว่าเราแวะหาอะไรกินก่อนไหม หรือจะไปกินที่บ้าน" สกายถามด้วยความเป็นห่วงน้องสาว "ไม่หิวกินมาแล้วค่ะ กลับบ้านเลย" สกาวตอบพี่ชายของเธอก่อนจะไถ่โทรศัพท์เล่น และดูความเคลื่อนไหวอัพเดทสถานะของคุณหมอ อดีตแฟนของเธอ จะว่าอดีตเลยก็ไม่ได้เพราะเธอกับเข้ายังไม่ได้จบกันจริง ๆ "เฟียสกับซีเฟีย โตไวมากเลย
หลังจากวันนั้นการเรียนของสกาวและเพื่อน ๆ ก็เรียกได้ว่าล้มลุกคลุกคลานกันเลยทีเดียว "แกจะฝึกงานตอนไหนเหรอ" ข้าวปุ้นหันมาถามเพื่อนสาวที่กำลังแต่งหน้าอย่างมีสมาธิตอนนี้ทุกคนกำลังจบหลักสูตรและสาว ๆ แต่ละคนเรียกได้ว่าเป็นสาวร้อนแรงแห่งคณะแพทยศาสตร์ "ยังไม่รู้กำลังดู ๆ อยู่เหมือนกันคงจะเรียนจบก่อนค่อยฝึกมั้ง" สกาวตอบทั้งยังกำลังลงสีลิปสติกของพี่ชายที่กำลังเริ่มลงทุนสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง "เหรอ ดีจังแกเลือกลงเองแต่ฉันนี้สิโคตรเซ็ง" หนูนาทำหน้าบึ้งหลังจากได้ระบายความอัดอั้นในใจออกมาให้เพื่อน ๆ ได้ฟัง "ทำไมไหนเล่ามา" ข้าวปั้นที่ปรึกษาที่ดีของเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเรื่องไหนรวมถึงเรื่องหัวใจด้วย "พ่อฉันนะสิชอบบงการชีวิตไม่ชอบเลย ที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปเป็น อีสเทอร์ ที่เดียวกับพวกแกคงไม่ได้แล้วนะ พ่อฉันจับลงฝึกกับลูกเพื่อนเขา เซ็ง ๆ เซ็ง" หนูนาทั้งบ่นทั้งทำหน้าบึ้งและไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยอมรับ ชาตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ด้วยฝีมือคุณพ่อ "อ้าวงั้นก็เหงาแย่เลยไม่มีสาวฮอตประจำกลุ่ม" สกาวมองเพื่อนอย่างเห็นใจเพราะเธอเข้าใจดี "โอ้ ๆ น๊าเพื่อนร๊าก" ข้าวปุ้นกอดแขนปลอบเพื่อนอย่างเห็นใจ "แล้ว
สกาวยังคงนั่งมองคนที่เสนอแผนการนิ่งอย่างไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะเธอไม่ได้สนใจแค่ฟังเฉย ๆ "ตกลงไหม" เรย์ถามขึ้นหลักจากบอกเล่าแผนการของตัวเองจบลงในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น "แล้วทำไมไม่ไปจ้างนักแสดงหรือดาราละ ไม่มีเวลามาเล่นอะไรแผลง ๆ ด้วยหรอกนะคะ" สกาวนั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเต็มทน "มีแค่ช่วยกับช่วยเท่านั้น" คนที่ทำทีมาดเข้มตั้งแต่ที่แรกกับลังเข้าสู่โหมดบังคับเธออยู่ซึ่งเธอไม่ชอบ "เฮ่อ ครั้งเดียวนะคะฉันบอกคุณไปแล้วนะว่าฉันรีบหากเล่นไม่สมจริงก็อย่ามาโทษกันละ" คุณแม่ลูกสองหงุดหงิดกับการที่ถูกบังคับแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี "อืม" เรย์ที่ยิ้มอย่างพึงพอใจและจ้องมองสีหน้าอารมณ์ของคนที่ตนเองบีบบังคับแล้วรู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของตัวเองไม่น้อย กรุงเทพมหานคร เครื่องบินที่ถูกบังคับด้วยลูกน้องผู้ชำนาญของเรย์ก็ลงจอดที่สนามบินต้นทางอย่างปลอดภัย "เริ่มงานคืนนี้อย่าให้ต้องรอ" สกาวมองคนที่พูดแล้วเดินผ่านไหล่เธอไปอย่างคนเร่งรีบทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้มากกับคนที่มีอำนาจเหนือกว่าตัวเอง "ชิ อย่าให้ต้องรอ" ร่างบางเลียนแบบและพูดตามเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไปอีกทางเพื่อไปเยี่ยมแฟนหนุ่มที่ตกลงคบหากั
การเริ่มต้นใหม่มันไม่ง่ายอยากที่คิดแหะ ความคิดถึงยังคงอยู่ภายในใจ ซีเฟีย และ เฟียส อยู่ในการดูและของพี่ชายคุณยายหายไปเลยหลักจากสร้างเรื่องวุ่น ๆ ให้หลานสาวต้องเสียน้ำตาคุณหมอก็ยังคงคอยห่วงใยเธอทั้งยังค่อยช่วยเลี้ยงเจ้าแฝดให้เพราะพี่สกายโทรมารายงานเธอ ส่งรูปคนเป็นแฟนเธอเข้ามาให้เห็นทุกครั้งที่เขาเข้าไปหาเด็ก ๆ "สกาวคิดอะไรอยู่เหรอ" นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งคณะแพทยศาสตร์ เพื่อนใหม่ของเธอเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งเหม่อใจลอย "ตกใจหมดเลยข้าวปุ้นมาไม่ให้สุ้มให้เสียงหัวใจจะวายตาย" สกาวมองเพื่อนใหม่อยากคาดโทษชอบผลุบ ๆ โผล่ ๆ มาให้ตกใจทำเอาเธอขวัญเสียหมด "เอ้า ก็เห็นนั่งเหม่อใจลอยคิดถึงใครอยู่เหรอจ๊ะ" ข้าวปุ้นมองเพื่อนสาวคนใหม่ของเธอ เพราะเธอสอบติดคณะแพทย์เพียงคนเดียวของโรงเรียนมัธยมปลาย ส่วนเพื่อน ๆของเธอก็สอบติดคณะอื่น ๆ เช่นกัน "ไม่บอกหรอก" สกาวทำเป็นไม่สนใจเพื่อนสาวคนสวยของเธอก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือไปหยิบข้าวกล่องที่ข้าวปุ้นเตรียมมาอย่างเนียน ๆ โดยเจ้าของข้าวกล่องนั้นเอาแต่สนใจโทรศัพท์ "เฮ้! ไปอดไปอยากมาจากที่ไหนเนี่ย" ข้าวปุ้นมองข้าวกล่องของตัวเองที่ถูกฉกไปด้วยมือของเพื
สองวันต่อมา จะบอกว่ามาทั้งครอบครัวก็คงไม่ถูกเพราะมีเพียงยายของเธอพี่ชายและแฟนของพี่ชายเท่านั้น ส่วนพ่อกับแม่ก็คงจะเห็นงานสำคัญกว่าลูกเสมอ เธอเริ่มชินชาไปแล้ว "ไหนเหลนยายอยู่ไหน" คนที่เปิดประตูห้องพักเข้ามาโดยไม่เคาะรีบสาวเท้าเดินเข้ามาในห้องมองหาเหลนตัวน้อยทันทึ "ชิทำไมเขาอยู่ในนี้ละ" เหมือนเห็นคุณหมอที่เธอเคยมีปากเสียงด้วยกำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่ก็หันหน้าไปถามหลานสาวทันที "คุณยาย" สกาวเรียกยายนีน่าเสียงเบาเธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องราวระหว่างเขากับเธอยังไงดีให้คุณยายเข้าใจ "ตอบยายมาทำไมตานี่ถึงมาอยู่ในนี้ ทั้งยังมาอุ้มเหลนยายอีก" คุณยายนีน่าอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังหมอทักษ์และเหลนน้อยในวงแขนของชายหนุ่ม "คือหนูกับพี่หมอตกลงคบกันค่ะ" สกาวบอกคุณยายของเธอทั้งลุ้นไปด้วยเพราะเกรงว่าคุณยายจะโกรธเธอ "เหอะ" คุณยายนีน่าไม่มีคำที่จะพูดออกมาในตอนนี้เพราะกำลังเห่อเหลนตัวน้อยทั้งสองคน เดินเอาไปแยกเด็กน้อยในอ้อมแขนหมอทักษ์มาอุ้มเอง "ส่งเหลนฉันมาสิ" คนที่ยืนประจันหน้ากันคนที่อายุอย่างคุณยายนีน่าก็ยังเกลียดเขาอยู่พร้อมแค่ด่าเขาไปด้วย ถามว่าด่าแล้วจำได้ไหมคุณยายได้เคยจำเพราะเน
"อะแฮ่ม" เสียงของสกายดังขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดูใส่ใจกันมากกว่าคนไข้กับคุณหมอ "อ้าวพี่สกายว่างมาเยี่ยมน้องด้วนเหรอคะ" สกาวทำหน้าเหมือนสงสัยทั้งยังปั้นหน้าทำงอนใส่พี่ชายแท้ ๆ ของเธออีกด้วย "เอ๊ะ..มากับใครคะเนี่ย" สกาวมองหน้าบุคคลที่นั่งข้าง ๆ พี่ชายเธอหน้าตาสาวสวยคนนั้นดูคุ้น ๆ เหมือนเธอเคยไปเจอที่ไหนมานะจำไม่ได้แต่ก็ช่างมันเถอะ "น้ำครับ" หมอทักษ์ไม่สนใจบทสนทนาของพี่น้องแต่ก็ฟังพวกเขาพูดคุยกันและยื่นแก้วน้ำให้เธอ "เด็ก ๆ ละคะ" สกาวถามเขาทั้งยังไม่ได้มองไปข้างเตียงอีกฝังของตัวเองเพราะในห้องมันเงียบมาก "อยู่ตรงนั้นครับยธงหลับอยู่เลย" หมอทักษ์ชี้ไปตรงข้างเตียงอีกฝั่งให้เธอได้หันไปมอง "ขี้เซา" สกาวมองลูก ๆ ของเธอทั้งแอบบ่นออกมาเล็กน้อยพอหมอทักษ์ได้ยินก็ยิ้ม "เหมือนแม่" บอกกับเธอที่ยังคงจับตามองลูกแฝดโดยไม่ได้สนใจพี่ชายตัวเองเลย และคนเป็นพี่อย่างสกายก็ไม่คิดจะเย้าแหย่หรือวุ่นวายกับน้องสาวมากนัก "ไม่เหมือนสักหน่อย" เธอมองเด็กน้อยด้วยความสุขจนล้นหัวใจ "อีกสองวันคุณยายจะเดินทางกลับมาเตรียมตัวให้พร้อมด้วยละ" สกายพูดขึ้นหลังจากที่น้องสาวเขาได้นอนพักผ่อนอีกครั้ง "เตรี
Комментарии