เฟิ่งหรั่นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ร้านเครื่องประดับ กำลังจะนำเครื่องประดับชิ้นใหม่มาวางขายที่ร้าน ด้วยเพราะร้านเครื่องประดับนี้ขายสินค้าแต่เฉพาะสตรีชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เครื่องประดับมีค่าจำนวนมากย่อมเป็นที่สนใจของสตรีชั้นสูง หญิงสาวจึงชวนเฟิ่งอี้และจิงเจียวออกมาซื้อเครื่องประดับด้วยกัน
ตลาดใหญ่ในเมืองหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ เนื่องจากการกลับมาของลู่เฟยหลงพร้อมกับชัยชนะเหนือจงโจว เหล่าสตรีชั้นสูงซึ่งเป็นบรรดาบุตรีของขุนนางทั้งหลายต่างก็ออกมาเที่ยวเล่นในเมือง ด้วยเพราะพวกนางสืบทราบมาว่าองค์รัชทายาทลู่เฟยหลงมักชอบออกมาดื่มสุรากับทหารองครักษ์คนสนิทที่หอสุราเป็นประจำ
เฟิ่งหรั่นเดินเลือกซื้อเครื่องประดับมาใหม่จากหลากหลายร้านที่มาเปิดใหม่ แต่ทว่าก็ไม่มีร้านใดที่ถูกใจนางเท่าร้านใหญ่ในเมืองหลวงอีกแล้ว
หญิงสาวเดินเลือกเครื่องประดับในร้านใหญ่ไปเรื่อยๆ จนเจอปิ่นหยกที่ถูกใจ ปิ่นหยกนี้ประดับด้วยไข่มุกราตรีงดงามยิ่งนัก เฟิ่งหรั่นหยิบปิ่นหยกสีเขียวเพียงหนึ่งเดียวในร้านขึ้นมาเชยชม เช่นเดียวกับเฟิ่งอี้เดินเข้ามาหาพี่สาวชื่นชมความงดงามของปิ่นหยกหายากชนิดนี้
“งามจังเลยเจ้าค่ะพี่หญิง ข้าไม่เคยเห็นปิ่นหยกที่ใดงดงามมาก
จริงๆ” เฟิ่งอี้หมายจะเอื้อมมือเข้าไปสัมผัส แต่ทว่าเสียงของเจ้าของร้านทำให้เฟิ่งหรั่นต้องวางปิ่นนั้นลงที่เดิม เฟิ่งอี้ชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“แม่นางผู้นี้ท่านช่างตาถึงยิ่งนัก ปิ่นนี้เป็นปิ่นที่งดงามมาก นำเข้ามาจากดินแดนมองโกล สั่งทำพิเศษจากช่างที่มีชื่อเสียงของมองโกลเชียวนะขอรับ” ชายชราเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวน
“พี่หญิง เราซื้อกันดีหรือไม่เจ้าคะ ปิ่นนี้งดงามมากหากท่านใส่ไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ ท่านจะต้องงดงามสะดุดตามากแน่ๆ เจ้าค่ะ” เฟิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม นางอดเสียดายปิ่นปักผมอันงดงามนั้นไม่ได้จริงๆ
“ไม่เหมาะสมนัก ปิ่นนี้เชื้อพระวงศ์ในวังต่างใช้กัน เราเป็นแค่บุตรสาวขุนนาง จะใส่ของที่มีค่ามากกว่าฮองเฮากับไทเฮาได้อย่างไร งานคืนนี้ไทเฮา ไท่เฟยและฮองเฮาต่างเสด็จมาร่วมด้วย อย่าทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย” เฟิ่งหรั่นกล่าวเตือนสติผู้เป็นน้องสาว เฟิ่งอี้ยังเด็กนัก นางยังไม่รู้จักดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
“ท่านอ๋องเก้า” เฟิ่งอี้กล่าวเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็น
รอยยิ้มของลู่อ๋องที่ยิ้มตอบนาง นางย่อกายคำนับอย่างนอบน้อมพร้อมผู้เป็นพี่สาวและจิงเจียว
“ถวายพระพรเพคะท่านอ๋อง” เฟิ่งหรั่นเอ่ยเสียงหวาน ใบหน้างดงามเงยขึ้นมาเล็กน้อยสบกับสายตาคมปลาบของอ๋องหนุ่มเบื้องหน้านาง หัวใจของนางพลันเต้นระรัวทุกครั้งที่ได้สบตากับนัยน์ตาคมปลาบคู่นี้ รูปโฉมอันหล่อเหลาของลู่อ๋องทำให้สตรีครึ่งค่อนเมืองไม่น้อย ปรารถนาที่จะเป็นพระชายาเคียงกาย แต่ว่ายามเขายืนเคียงข้างองค์รัชทายาทลู่เฟยหลง ความ
โดดเด่นของลู่เฟยหลงกลับมีมากกว่ายิ่งนัก
“เถ้าแก่ ข้าซื้อปิ่นนี้” ลู่อ๋องวางถุงเงินไว้เบื้องหน้า ก่อนจะหยิบปิ่นหยกเมื่อสักครู่ที่เฟิ่งหรั่นหยิบขึ้นมา พอดีกับสายตาของลู่เฟยหลงที่เห็นเข้า เดิมทีเขาตั้งใจมาร้านนี้เพื่อหาซื้อปิ่นหยกที่งดงามที่สุดให้กับเฟิ่งหรั่น แต่สุดท้ายกลายเป็นลู่อ๋องที่ตัดหน้าเขาไปอย่างน่าเสียดาย
รองแม่ทัพองครักษ์ซ่งเข้าใจความนัยจากสายพระเนตรขององค์รัชทายาทดี แต่เพลานี้ทุกคนต่างรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเฟิ่งหรั่นและลู่อ๋องดีว่าเป็นอย่างไร ทุกคนต่างเล่าลือกันว่านางคือสตรีในดวงใจของลู่อ๋องและอาจกลายเป็นว่าที่พระชายาเอกในอีกไม่นานนี้ คิดแล้วเห็นใจองค์รัชทายาทยิ่งนัก เฝ้ามองนางมาเนิ่นนานแต่กลับไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้นับตั้งแต่กลับมาจากจงโจว
“ถวายพระพรองค์รัชทายาท” สายตาของเฟิ่งหรั่นที่เหลือบมองเห็นลู่เฟยหลง นางหลุบสายตาลงแล้วย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมดังเดิม กำปิ่นเงินที่หมายอยากมอบให้นางเอาไว้ด้านหลังตนเอง
“ไม่ต้องมากพิธี...” ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆ เนื่องจากเขาแต่งกายออกมาอย่างเรียบง่าย จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา เช่นเดียวกับลู่อ๋องที่ไม่ชอบความวุ่นวาย
“ไม่ทราบว่าเสด็จพี่จะทรงมา ข้าจะได้ชวนท่าน”ลู่อ๋องกล่าวอย่างมี
น้ำใจ แต่ลู่เฟยหลงกลับรู้สึกว่าถ้อยคำนั้นแฝงไปด้วยความเหยียดหยัน แต่ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจคำกล่าวของลู่อ๋องนัก
“ข้าเพียงแวะผ่านมา ขอตัวก่อน” ลู่เฟยหลงกล่าวด้วยสีพระพักตร์
เรียบเฉย ก่อนจะได้ยินเสียงของลู่อ๋องสนทนากับนางในดวงใจ
“จริงสิ หรั่นหรั่น ข้าได้ยินว่าคืนนี้เจ้าตั้งใจรำต้อนรับการกลับมาของเสด็จพี่ ข้าอดชมเจ้าในชุดร่ายรำไม่ได้นัก” ลู่อ๋องเอ่ยเสียงหวาน เขาหยิบปิ่นขึ้นมาก่อนจะบรรจงปักที่มวยผมของนาง จิงเจียวยิ้มยินดีกับภาพที่เห็น
เฟิ่งหรั่นยิ้มด้วยความเขินอาย “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง...”
หัวใจของลู่เฟยหลงพลันหล่นลงไปที่ตาตุ่ม ลู่อ๋องปักปิ่นให้นางก็เท่ากับประกาศให้รู้กันว่าน้องชายต่างมารดานั้นจองนางเอาไว้ แต่รอยยิ้มอันยินดีของนางช่างเจ็บปวดใจของเขายิ่งนัก ชายหนุ่มเดินหันหลังกลับมาโดยไม่หันกลับไปมองรอยยิ้มนั้นอีกเลย รอยยิ้มที่เขาปรารถนาอยากเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว แต่คงไม่มีวันได้มาครอบครอง
เฟิ่งอี้กับเฟิ่งหรั่นเดินทางกลับมาถึงจวนในเพลาไม่นาน ความงดงามของปิ่นหยกที่ปักบนมวยผมของบุตรสาวคนโต ทำให้เฟิ่งฮูหยินยิ้มจนแก้มปริมองปิ่นปักผมที่ปักอยู่บนศีรษะของบุตรสาวอย่างชื่นชม ปิ่นปักผมนี้งดงามสะดุดตายิ่งนัก
ยิ่งได้ทราบว่าลู่อ๋องซื้อให้กับนางหัวใจของผู้เป็นมารดาก็ยิ่งปลื้มปริ่ม ลู่อ๋องเป็นบุรุษที่งดงามหล่อเหลา อีกทั้งยังมากด้วยความสามารถไม่แพ้ลู่เฟยหลงผู้เป็นรัชทายาทเลยสักนิด หากลู่อ๋องมีวาสนาเกิดเป็นโอรสของไทเฮาเกรงว่าตำแหน่งรัชทายาทคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
“ท่านอ๋องทรงประทานปิ่นปักผมให้พี่หญิงเช่นนี้ ข้าล่ะนึกอิจฉาพี่หญิงไม่ได้จริงๆ” เสียงของบุตรีอนุภรรยาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ระหว่างที่เฟิ่งอี้กำลังเดินทางกลับเรือนของตนด้วยความรู้สึกบางอย่าง
‘เฟิ่งเจาหรง’ บุตรีของอนุภรรยาลำดับที่หนึ่งเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ขณะที่กำลังโบกพัดไปมาด้วยท่าทีอ่อนช้อยปนเยาะเย้ย
เฟิ่งอี้ชะงักฝีเท้าหันไปมองเฟิ่งเจาหรงด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมมองข้าเช่นนั้นเล่าน้องเล็ก?” เฟิ่งเจาหรงแสร้งขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย นางรู้ดีว่าในใจของเฟิ่งอี้คงกำลังโหมกระหน่ำด้วยไฟโทสะเป็นแน่ หากปลุกปั่นให้นางเกิดโทสะขึ้นมา ดีไม่ดีคนที่จะได้ไปร่วมงานเลี้ยงค่ำคืนนี้แทนอาจจะเป็นนางก็ได้ นางอยากมีวาสนาเข้าวังหลวงแบบเฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้ที่เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่บ้าง
เฟิ่งอี้ยกยิ้ม “แล้ววาจาของพี่หญิงรองเล่า ปากหวานก้นเปรี้ยวเสียขนาดนี้ ไม่แปลกใจนักที่มารดาเป็นได้แค่อนุ ส่วนตัวเอง...”
หล่อนแสร้งยกยิ้มแล้วมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างดูหมิ่นดูแคลนด้วยสายตาเหยียดหยาม
“เจ้าว่าข้าหรือ?” ท่าทีที่เต็มไปด้วยโทสะของเฟิ่งเจาหรงทำให้เฟิ่งอี้สะใจยิ่งนัก นางเดินเข้ามาหมายจะจัดการสั่งสอนน้องสาวต่างมารดา ต่อให้เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่ อย่าคิดว่านางจะกลัวง่ายๆ
“มารดาก็ไพร่ ข้าไม่แปลกใจนักพี่หญิงรองถึงได้มีกิริยาเยี่ยงบ่าวไพร่ในจวน วันๆ เอาแต่เดินไปทั่วจวนอย่างไม่มีจุดหมาย ทำตนเช่นนี้วาสนาก็คงมีได้แค่นี้ล่ะ ดีไม่ดีก็คงอยู่คนเดียวในจวนจนร้างตาย!” วาจาอันเฉียบคมของเฟิ่งอี้เสียดแทงทะลุหัวใจของคนฟังยิ่งนัก เฟิ่งเจาหรงยืนกำหมัดตัวสั่นเทิ้ม
ด้วยความโกรธ หากทำให้เฟิ่งอี้โกรธขึ้นมาเกรงว่ามารดาคงถูกฮูหยินใหญ่รังแกอีกเป็นแน่
เฟิ่งอี้ยกยิ้ม เฟิ่งเจาหรงก็แค่ดีแต่ปากเท่านั้น ไม่มีวันเอาชนะใครเขา
ได้หรอก “เก่งแต่ปากแบบนี้ และปากดีนินทาใครต่อใครไปทั่ว ระวังเถิดจะ
ตายก่อนอายุขัย!”
ได้ต่อว่าเฟิ่งเจาหรงก็ราวกับระบายโทสะในใจออกไปจนหมด ความร้อนรุ่มในใจดั่งไฟสุมทรวงทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง ในเมื่อเฟิ่งเจาหรงคิดมาหาเรื่องนางก็รองรับโทสะของนางหน่อยเถิด!
เฟิ่งหรั่นนั่งเลือกอาภรณ์สำหรับการแสดงร่ายรำในคืนนี้ คืนนี้เป็นการเลี้ยงฉลองได้รับชัยชนะของแคว้นเหลียวเหนือจงโจว เหตุใดนางต้องคิดถึงสายตาของลู่เฟยหลงยามมองนางที่ร้านเครื่องประดับด้วยนะ สายตาที่เห็นนางได้รับปิ่นจากลู่อ๋องราวกับแฝงด้วยความน้อยใจและประกายโทสะ เหตุใดกัน...
หญิงสาวคิดไม่ตก นางพยายายามหาเหตุผลให้กับตนเอง แต่ก็คิดไม่ตกว่าเป็นเพราะเหตุใด แม้นางกับลู่เฟยหลงจะเคยพบเจอกันตั้งแต่เยาว์วัย แต่ด้วยอายุที่ห่างกันค่อนข้างมาก เขาอายุมากกว่านางถึงเจ็ดปี ในขณะที่ลู่อ๋องอายุห่างจากนางไม่มากนัก ทำให้นางกับเขาสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วและนิสัยของไท่เฟยที่ทรงเป็นมิตร ไม่ยากนักหากนางจะสนิทสนมกับลู่อ๋องได้อย่างรวดเร็ว
สายตายามที่ลู่อ๋องและลู่เฟยหลงมองนางนั้น ทำให้นางรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะอะไรกัน?
“ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะคุณหนู” จิงเจียวที่จับสังเกตท่าทีของผู้เป็นนายเอ่ย ขณะที่นางกำลังหวีผมให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ คุณหนูของนางไม่
เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย
เฟิ่งหรั่นได้สติ “ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ อย่าใส่ใจเลย”
จิงเจียวขมวดคิ้ว “ท่านกำลังโกหกข้าอยู่นะเจ้าคะ”
เวลาที่เฟิ่งหรั่นมีเรื่องอะไรภายในใจ นางมักจะไม่บอกกล่าวให้ใครทราบ แต่กับจิงเจียวที่รับใช้นางมานานมีหรือจะคาดเดาท่าทีไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ หากอีกฝ่ายมีเรื่องไม่สบายใจอันใดนางก็ไม่อยากให้ขบคิดเก็บปัญหาเอาไว้คนเดียว หากภายภาคหน้าเฟิ่งหรั่นได้เป็นพระชายาท่านอ๋อง การทำเช่นนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาห่างเหินได้
เฟิ่งหรั่นแสร้งโมโหใส่
“เจ้าจะมารู้ดีกว่าข้าได้อย่างไรจิงเจียว...”
จิงเจียวถอนหายใจ หากอีกฝ่ายไม่อยากบอกนางก็จะไม่เซ้าซี้ถาม
“เจ้าค่ะ ท่านไม่มีก็ไม่มี แต่หากมีเรื่องใดข้าก็พร้อมรับฟังและเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับท่านเสมอนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ภาระในจิตใจของเฟิ่งหรั่นยิ่งรู้สึกหนักอึ้งอยากระบายยิ่งนัก นางถามบ่าวคนสนิท
“เมื่อตอนที่อยู่ร้านเครื่องประดับ ข้ารู้สึกว่าสายตาขององค์รัชทายาทมองข้าแปลกๆ นะ เจ้าสังเกตหรือไม่” นางถามจิงเจียว จิงเจียวทำท่าทางขบคิด พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ร้านเครื่องประดับ
“แปลกอยู่นะเจ้าคะ แต่การกระทำของท่านอ๋องเก้านั้นแปลกยิ่งกว่า ทรงปักปิ่นให้คุณหนูเช่นนี้ แสดงว่าอีกไม่นานก็คงมีข่าวดีตามมา” จิงเจียวเอ่ยพลางอมยิ้มน้อยๆ การกระทำของลู่อ๋องในวันนี้ค่อนข้างชัดเจนยิ่ง
นัก แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม
“ข้าไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้ มีสตรีมากมายที่เหมาะสมกับท่านอ๋อง
เจ้าอย่าพูดไร้สาระเลย มาช่วยข้าแต่งตัวดีกว่า” นางเบี่ยงประเด็นทันที หญิงสาวมองตนเองในกระจกทองเหลือง จะเป็นอย่างที่นางรู้สึกหรือไม่นะ...
ลู่เฟยหลงกลับมาถึงตำหนักบูรพา เขานั่งอยู่ที่ศาลาริมสระในอุทยานตำหนักบูรพาอย่างเงียบๆ ฝ่ามือหนึ่งหยิบปิ่นเงินอันงดงามที่ซื้อมาจากร้านเครื่องประดับขึ้นมาควงเบาๆ ความรู้สึกในใจต่อผู้ที่เขาอยากมอบปิ่นนี้ให้มีมากเกินกว่าคำบรรยายใดๆ ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดลงบนปิ่นนี้ สายตาคมปลาบทอดมองไปยังสระบัวเบื้องหน้า ยามนี้ใกล้ยามสุริยะจะลับขอบฟ้าแล้ว
ซ่งหลานซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิท บัดนี้เขายืนอยู่ข้างๆ พระวรกายของผู้เป็นองค์รัชทายาท ท่าทีนิ่งสงบต่างจากท่าทีนิ่งขรึมดุดัน ทว่าบัดนี้กลับแผ่รัศมีของความอ่อนโยนออกมายามจ้องปิ่นปักผมสีเงินนั้น รองแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ลู่เฟยหลงหลงรักเฟิ่งหรั่นมานานแต่กลับไม่มีโอกาสได้บอกความรู้สึกกับนาง ยิ่งภาพเมื่อตอนกลางวันได้เห็นอนุชาต่างมารดาปักปิ่นให้นางแสดงออกอย่างชัดเจน ย่อมตอกย้ำความรู้สึกในใจของลู่เฟยหลงให้เจ็บแปลบยิ่งนัก
“รัชทายาท จะได้เวลางานเลี้ยงเริ่มแล้วนะพะยะค่ะ” รองแม่ทัพซ่ง
เตือนเบาๆ งานเลี้ยงฉลองต้อนรับนี้เป็นพระเสาวนีย์ของไทเฮาที่ต้องการต้อนรับพระโอรสองค์เล็กกลับมาหลังจากได้รับชัยชนะจากจงโจว แม้ว่าลู่เฟยหลงจะไม่ต้องการให้จัดงานแบบนี้อย่างสิ้นเปลือง แต่ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการแสดงของนางเพื่อเขา
แม้จะไม่ได้เป็นความต้องการของนาง แต่เขาก็ดีใจยิ่งนักที่จะได้เห็น
นางร่ายรำในวันสำคัญของเขาเช่นนี้
ลู่อ๋องเดินทางออกจากวังของตนเองมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง แม้ในใจเขาจะไม่ยินดีกับชัยชนะของลู่เฟยหลง แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเขาต้องการเห็นสีหน้าอันสิ้นหวังยามเห็นสตรีที่อีกฝ่ายหมายปองสนิทสนมกับตนเอง สายตาของลู่อ๋องปราดมองเพียงครู่หนึ่งตั้งแต่ที่ร้านเครื่องประดับก็รู้แล้วว่าพี่ชายต่างมารดานั้นคิดเช่นไรกับเฟิ่งหรั่น
แม้ว่าเฟิ่งหรั่นจะมีความงามเป็นหนึ่งในแผ่นดินแคว้นเหลียว แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าเขานั้นถูกใจนาง แต่หาใช่หน้าตาที่งดงามของนางไม่ แต่เป็นฐานอำนาจของครอบครัวนางที่จะหนุนนำเขาในอนาคต ลู่เฟยหลงต้องออกรบบ่อยๆ ไม่มีเวลาสนใจงานราชกิจในเมืองหลวงมากนัก จึงมีเพียงเขาและใต้เท้าเฟิ่งเท่านั้นที่คอยออกช่วยว่าราชการอยู่บ่อยๆ ข้างพระวรกายของฝ่าบาท
คนอย่างลู่อ๋องมีสตรีไม่ขาดกาย แต่ทว่ากลับไม่มีสตรีนางใดที่จะเป็น
ฐานอำนาจหนุนหลังให้เขากลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้เลย ยกเว้นเฟิ่งหรั่นที่สามารถใช้อำนาจของตระกูลบิดาซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีและกุนซือคนสำคัญเป็นฐานอำนาจส่งเสริมเขาได้ พระมารดาของเขาซู่ไท่เฟยก็คงต้องการเช่นนี้เหมือนกัน
ลู่เฟยหลงชอบนางแล้วอย่างไร...นางงดงามแล้วอย่างไร สำหรับเขาฐานอำนาจในการหนุนหลังนั้นสำคัญที่สุด อย่างไรก็ต้องหาทางแต่งงานกับเฟิ่งหรั่นให้ได้ แล้วค่อยๆ หาทางควบรวมตระกูลของนางเป็นหนึ่ง
เดียวกับเขาเพื่อชิงราชบัลลังก์
ลู่อ๋องหรืออ๋องเก้าเดินทางมาถึงในวังหลวงก่อนเริ่มงานไม่กี่ชั่วยาม เขามุ่งตรงไปที่ตำหนักของซู่ไท่เฟยซึ่งเป็นพระมารดาของตน แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงไท่เฟย ในราชสำนักฝ่ายในซู่ไท่เฟยเป็นรองเพียงไทเฮาเท่านั้น แต่กลับไม่มีอำนาจใดสามารถเกลี้ยกล่อมให้เซียวฮองเฮากลายมาเป็นพรรคพวกฝ่ายตนเองได้เลย
“เสด็จแม่” ลู่อ๋องประสานมือก้มศีรษะคำนับมารดาอย่างนอบน้อม มีเพียงมารดาของเขาเท่านั้นที่เขาทำเช่นนี้ นอกนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับความจริงใจหรือความเคารพจากเขาแม้แต่น้อย
ซู่ไท่เฟยคลี่ยิ้มให้กับบุตรชาย พระนางทรงทราบเรื่องที่ลู่อ๋องปักปิ่นให้กับเฟิ่งหรั่นที่ร้านเครื่องประดับนั้นแล้ว หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับถูกลือลั่นไปในเพลาไม่กี่ชั่วยามว่าเฟิ่งหรั่นนั้น อาจกลายเป็นพระชายาเอกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งพระนางต้องการให้เป็นเช่นนั้น
“แม่ได้ยินเรื่องที่เจ้าปักปิ่นให้ธิดาใต้เท้าเฟิ่งแล้ว รวดเร็วเสียจริงนะ” ซู่ไท่เฟยยกยิ้มมุมปากหนึ่งข้างเช่นเดียวกับลู่อ๋อง
“ขอเพียงให้ได้แต่งงานกับนางก่อน ค่อยหาทางควบรวมตระกูลของนางให้มาสนับสนุนเรา” ลู่อ๋องเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มแฝงด้วยเลศนัยบนพระพักตร์หล่อเหลา รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารชั้นดีเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่เฟยหลงนั้นอยู่เบื้องหลังการชำระล้างมลทินให้เฟิ่งหรั่น มีแต่คนกล่าวเพียงว่าอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดาที่คอยหาหลักฐานมากมายร่วมสามปี จนได้หลักฐานว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายอดีตพระชายาเก้าจนถึงแก่ความตาย ก็คือขันทีคนสนิทของลู่อ๋อง แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคำถามมากมายที่ผู้คนต่างกล่าวขานกัน ว่าเป็นเพราะลู่อ๋องต้องหลงเสน่ห์ชายารององค์ใหม่เป็นแน่ เฟิ่งหรั่นยกยิ้มอย่างพึงใจ อย่างน้อยสามปีที่นางหายไปท่านพ่อท่านแม่ก็ยังคงทวงความยุติธรรมให้นางมาตลอด การกลับมาคราวนี้นางจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เคยถูกย่ำยีกลับคืนมา เปิดโปงความชั่วของพวกมันทั้งสองคนในชั่วพริบตานางย่อมทำได้ แต่หากทำเช่นนั้นศัตรูที่นางเคียดแค้นชิงชังจะตายง่ายไป นางต้องการแย่งชิงสิ่งที่พวกมันหมายปองให้มาอยู่แทบเท้านาง ในเมื่อเคยเป็นคนดีแต่กลับถูกคนชั่วหลอกใช้ นางก็ขอกลายเ
ไป๋ลู่หัวเสียอย่างยิ่ง หากนางทำสิ่งใดทำไมต้องมีคนมาขัดจังหวะนางตลอดเวลานะ! เซียนสาวหันมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนทางด้านหลัง นางยิ้มแหยๆ ให้กับจูเชว่อย่างอารมณ์ดี เขาอายุมากกว่านางหลายพันปีอีกทั้งยังเป็นคนที่คอยขัดขวางนางทุกเรื่องหากนางคิดอ่านสิ่งใด เขาทำตนราวกับตนเองมีเนตรทิพย์แดนสวรรค์ที่สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้ นางเกลียดยิ่งนัก! “เซียนที่ต้องทัณฑ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาแดนสวรรค์ และยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอชะตาเซียน เจ้าบังอาจฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไร?”จูเชว่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หากเขาไม่สะกดรอยมาเห็นนางเสียก่อน เกรงว่านางคงทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปแล้ว “แล้วท่านแม่ทัพเล่า มีเวลาว่างมากนักรึถึงมาตามจับผิดข้า คราวก่อนก็ครั้งนึงแล้ว ท่านตามติดข้าเป็นเงาเช่นนี้ คงมิใช่ทำร้ายอันใดกับข้าอยู่ใช่มั้ย?” พยัคฆ์สาวแสร้งเอ่ยปกปิดเรื่องราวของตน และได้ผล...แม้ว่าจูเชว่จะชอบขัดขวางนาง แต่ทว่าไม่เคยตาม
บริเวณลานประหาร ร่างบอบบางที่ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน สภาพร่างกายของนางอันบอบบางราวกิ่งหลิวเปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตจากทัณฑ์ทรมาน เส้นผมที่เคยถูกรวบเกล้าประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม บัดนี้กลับหลุดลุ่ยปรกใบหน้า ดวงตาที่เคยอ่อนหวานในยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ที่ไม่มีโอกาสได้มอบความตายคืนให้กับคนที่กระทำนาง ‘เฟิ่งหรั่น’ คือบุตรีของอัครมหาเสนาบดี นางผู้เปี่ยมด้วยรูปโฉมอันงดงามและอำนาจบารมีของบิดา วาสนาชีวิตที่เคยเป็นถึงพระชายาอ๋อง บัดนี้กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษประหารความผิดไม่น่าให้อภัย ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิดมองสภาพแวดล้อมรายรอบที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมสาปแช่งนาง นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเอง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวาสนาที่ตนเองเคยเป็นชายาของอ๋องเก้าบุรุษที่ยิ่งใหญ่ บัดนี้จะตกต่ำเป็นถึงนักโทษประหาร คิดแล้วช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่เฟยหลงลอบเดินออกมาทางด้านหลังตำหนัก ซึ่งเป็นช่องทางลับที่เขาแอบสร้างเอาไว้นานแล้ว ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ใช้ช่องทางลับนี้ ช่องทางลับที่แม้แต่ฝ่าบาทกับพระมารดาก็ไม่ทรงทราบ ซ่งหลานบอกเขาว่าเฟิ่งหรั่นถูกนำตัวไปขังในคุกใต้ดินที่มืดที่สุดของคุกหลวง คุกที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงตะวันสาดส่อง ชายหนุ่มลอบย่องเข้ามาเงียบๆ วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งเกินกว่าที่ทหารยามจะคาดเดาได้ เขานำห่อผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยเพื่อหวังจะโอบนางให้คลายความหนาวแล้วพาหนีออกจากคุกแห่งนี้ แต่ทว่าเขาต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเจอกับสตรีอีกหนึ่งนางกำลังตรงไปที่ห้องขังเฟิ่งหรั่น เฟิ่งอี้! ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสตรีตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด กำลังเดินอย่างแช่มช้ามิรู้ร้อนรู้หนาวอันใด กริยาท่าทางราวกับคนใจเย็นสุขุม ทั้งๆ ที่บิดาและมารดาของนางกำลังร้อนรนเพราะหาทางช่วยเฟิ่งหรั่น แต่นางคนนี้กลับมีท่าทีราวกับเบิกบานใจ
เฟิ่งหรั่นถูกคุมขังอยู่ในตำหนักหลายวัน ขณะที่ลู่อ๋องไม่สนใจความเป็นความตายของนาง เขากลับแต่งตั้งเฟิ่งอี้น้องสาวนางเป็นพระชายารอง ให้ดูแลงานทุกอย่างภายในวังอ๋องแทนนางที่ถูกคุมขังในตำหนัก แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง กงกงของวังหาได้เชื่อว่านางเป็นคนทรยศ จึงคอยลอบส่งข่าวสารผ่านจิงเจียวถึงแผนการของลู่อ๋อง “เจ้าคนชั่ว!” เฟิ่งหรั่นเปล่งวาจาด้วยบันดาลโทสะ ฝ่ามือบางที่เคยขาวผ่อง ตอนนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดเนื่องจากนางฟาดฝ่ามือของตนเองเข้ากับผนังกำแพงโดยไม่นึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด “พระชายาเพคะ” จิงเจียวมองนายของตนด้วยความสงสาร ทั้งหมดนั่นคือการใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้านายของนางไม่เคยกระทำตนออกนอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเป็นแผนการใส่ร้ายทั้งสิ้น ลู่อ๋องใส่ร้ายเจ้านายของนางจนต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้! “ข้าแต่งงานกับเขาก็เพื่อหวังช่วยเสริมฐานอำนาจให้เ
ในขณะที่ตำหนักหนึ่งกำลังบรรเลงบทเพลงรักอย่างเร่าร้อน ทางด้านตำหนักของเฟิ่งหรั่นกลับเงียบเหงายิ่งนัก หญิงสาวตื่นขึ้นมาในยามดึก เนื่องด้วยเพลานี้นางพักผ่อนจนพิษไข้สร่างลงไปมาก ด้านข้างกันนั้นมีจิงเจียวคอยช่วยตระเตรียมห่อยาและคอยเช็ดตัวให้กับนาง เฟิ่งหรั่นขยี้ตามองสรรพสิ่งรอบๆ กาย นางกลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่! ครั้งล่าสุดนางจำได้ว่าเฟิ่งอี้พานางไปเดินเล่นแถวๆ เขตตำหนักบูรพา จากนั้นนางก็เมามายจนสติเลือนรางจดจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ นางจำได้แค่เพียงว่ากลิ่นกายของบุรุษที่มิใช่ลู่อ๋อง และเสียงทะเลาะกันในขณะนั้นคล้ายกับว่าเป็นห้วงความฝัน แต่เป็นห้วงฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน “พระชายา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ ทรงนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด อีกหลายชั่วยามเพคะกว่าฟ้าจะสาง” จิงเจียวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พระชายาของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก นางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปลอบใจอย่างไรดี “ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย” เฟิ่งหรั่นกำลังจะก้าวขาลงจากเตียงแต่จิงเจียวปรามเอาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งเลยเพคะพระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องทรงมีคำสั่งกักบริเวณพระองค์เอา