Home / โรแมนติก / Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก / 02 - อดีตของเฟิ่งหรั่น

Share

02 - อดีตของเฟิ่งหรั่น

Author: WangFei
last update Last Updated: 2025-03-29 21:20:37

เฟิ่งหรั่นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ร้านเครื่องประดับ กำลังจะนำเครื่องประดับชิ้นใหม่มาวางขายที่ร้าน ด้วยเพราะร้านเครื่องประดับนี้ขายสินค้าแต่เฉพาะสตรีชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เครื่องประดับมีค่าจำนวนมากย่อมเป็นที่สนใจของสตรีชั้นสูง หญิงสาวจึงชวนเฟิ่งอี้และจิงเจียวออกมาซื้อเครื่องประดับด้วยกัน

          ตลาดใหญ่ในเมืองหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ เนื่องจากการกลับมาของลู่เฟยหลงพร้อมกับชัยชนะเหนือจงโจว เหล่าสตรีชั้นสูงซึ่งเป็นบรรดาบุตรีของขุนนางทั้งหลายต่างก็ออกมาเที่ยวเล่นในเมือง ด้วยเพราะพวกนางสืบทราบมาว่าองค์รัชทายาทลู่เฟยหลงมักชอบออกมาดื่มสุรากับทหารองครักษ์คนสนิทที่หอสุราเป็นประจำ

          เฟิ่งหรั่นเดินเลือกซื้อเครื่องประดับมาใหม่จากหลากหลายร้านที่มาเปิดใหม่ แต่ทว่าก็ไม่มีร้านใดที่ถูกใจนางเท่าร้านใหญ่ในเมืองหลวงอีกแล้ว

          หญิงสาวเดินเลือกเครื่องประดับในร้านใหญ่ไปเรื่อยๆ จนเจอปิ่นหยกที่ถูกใจ ปิ่นหยกนี้ประดับด้วยไข่มุกราตรีงดงามยิ่งนัก เฟิ่งหรั่นหยิบปิ่นหยกสีเขียวเพียงหนึ่งเดียวในร้านขึ้นมาเชยชม เช่นเดียวกับเฟิ่งอี้เดินเข้ามาหาพี่สาวชื่นชมความงดงามของปิ่นหยกหายากชนิดนี้

          “งามจังเลยเจ้าค่ะพี่หญิง ข้าไม่เคยเห็นปิ่นหยกที่ใดงดงามมาก

จริงๆ” เฟิ่งอี้หมายจะเอื้อมมือเข้าไปสัมผัส แต่ทว่าเสียงของเจ้าของร้านทำให้เฟิ่งหรั่นต้องวางปิ่นนั้นลงที่เดิม เฟิ่งอี้ชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

          “แม่นางผู้นี้ท่านช่างตาถึงยิ่งนัก ปิ่นนี้เป็นปิ่นที่งดงามมาก นำเข้ามาจากดินแดนมองโกล สั่งทำพิเศษจากช่างที่มีชื่อเสียงของมองโกลเชียวนะขอรับ” ชายชราเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวน

          “พี่หญิง เราซื้อกันดีหรือไม่เจ้าคะ ปิ่นนี้งดงามมากหากท่านใส่ไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ ท่านจะต้องงดงามสะดุดตามากแน่ๆ เจ้าค่ะ” เฟิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม นางอดเสียดายปิ่นปักผมอันงดงามนั้นไม่ได้จริงๆ

          “ไม่เหมาะสมนัก ปิ่นนี้เชื้อพระวงศ์ในวังต่างใช้กัน เราเป็นแค่บุตรสาวขุนนาง จะใส่ของที่มีค่ามากกว่าฮองเฮากับไทเฮาได้อย่างไร งานคืนนี้ไทเฮา ไท่เฟยและฮองเฮาต่างเสด็จมาร่วมด้วย อย่าทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย” เฟิ่งหรั่นกล่าวเตือนสติผู้เป็นน้องสาว เฟิ่งอี้ยังเด็กนัก นางยังไม่รู้จักดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร

          “ท่านอ๋องเก้า” เฟิ่งอี้กล่าวเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็น

รอยยิ้มของลู่อ๋องที่ยิ้มตอบนาง นางย่อกายคำนับอย่างนอบน้อมพร้อมผู้เป็นพี่สาวและจิงเจียว

          “ถวายพระพรเพคะท่านอ๋อง” เฟิ่งหรั่นเอ่ยเสียงหวาน ใบหน้างดงามเงยขึ้นมาเล็กน้อยสบกับสายตาคมปลาบของอ๋องหนุ่มเบื้องหน้านาง หัวใจของนางพลันเต้นระรัวทุกครั้งที่ได้สบตากับนัยน์ตาคมปลาบคู่นี้ รูปโฉมอันหล่อเหลาของลู่อ๋องทำให้สตรีครึ่งค่อนเมืองไม่น้อย ปรารถนาที่จะเป็นพระชายาเคียงกาย แต่ว่ายามเขายืนเคียงข้างองค์รัชทายาทลู่เฟยหลง ความ

โดดเด่นของลู่เฟยหลงกลับมีมากกว่ายิ่งนัก

          “เถ้าแก่ ข้าซื้อปิ่นนี้” ลู่อ๋องวางถุงเงินไว้เบื้องหน้า ก่อนจะหยิบปิ่นหยกเมื่อสักครู่ที่เฟิ่งหรั่นหยิบขึ้นมา พอดีกับสายตาของลู่เฟยหลงที่เห็นเข้า เดิมทีเขาตั้งใจมาร้านนี้เพื่อหาซื้อปิ่นหยกที่งดงามที่สุดให้กับเฟิ่งหรั่น แต่สุดท้ายกลายเป็นลู่อ๋องที่ตัดหน้าเขาไปอย่างน่าเสียดาย

          รองแม่ทัพองครักษ์ซ่งเข้าใจความนัยจากสายพระเนตรขององค์รัชทายาทดี แต่เพลานี้ทุกคนต่างรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเฟิ่งหรั่นและลู่อ๋องดีว่าเป็นอย่างไร ทุกคนต่างเล่าลือกันว่านางคือสตรีในดวงใจของลู่อ๋องและอาจกลายเป็นว่าที่พระชายาเอกในอีกไม่นานนี้ คิดแล้วเห็นใจองค์รัชทายาทยิ่งนัก เฝ้ามองนางมาเนิ่นนานแต่กลับไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้นับตั้งแต่กลับมาจากจงโจว

          “ถวายพระพรองค์รัชทายาท” สายตาของเฟิ่งหรั่นที่เหลือบมองเห็นลู่เฟยหลง นางหลุบสายตาลงแล้วย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมดังเดิม กำปิ่นเงินที่หมายอยากมอบให้นางเอาไว้ด้านหลังตนเอง

          “ไม่ต้องมากพิธี...” ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆ เนื่องจากเขาแต่งกายออกมาอย่างเรียบง่าย จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา เช่นเดียวกับลู่อ๋องที่ไม่ชอบความวุ่นวาย

          “ไม่ทราบว่าเสด็จพี่จะทรงมา ข้าจะได้ชวนท่าน”ลู่อ๋องกล่าวอย่างมี

น้ำใจ แต่ลู่เฟยหลงกลับรู้สึกว่าถ้อยคำนั้นแฝงไปด้วยความเหยียดหยัน แต่ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจคำกล่าวของลู่อ๋องนัก

          “ข้าเพียงแวะผ่านมา ขอตัวก่อน” ลู่เฟยหลงกล่าวด้วยสีพระพักตร์

เรียบเฉย ก่อนจะได้ยินเสียงของลู่อ๋องสนทนากับนางในดวงใจ

          “จริงสิ หรั่นหรั่น ข้าได้ยินว่าคืนนี้เจ้าตั้งใจรำต้อนรับการกลับมาของเสด็จพี่ ข้าอดชมเจ้าในชุดร่ายรำไม่ได้นัก” ลู่อ๋องเอ่ยเสียงหวาน เขาหยิบปิ่นขึ้นมาก่อนจะบรรจงปักที่มวยผมของนาง จิงเจียวยิ้มยินดีกับภาพที่เห็น

          เฟิ่งหรั่นยิ้มด้วยความเขินอาย “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง...”

          หัวใจของลู่เฟยหลงพลันหล่นลงไปที่ตาตุ่ม ลู่อ๋องปักปิ่นให้นางก็เท่ากับประกาศให้รู้กันว่าน้องชายต่างมารดานั้นจองนางเอาไว้ แต่รอยยิ้มอันยินดีของนางช่างเจ็บปวดใจของเขายิ่งนัก ชายหนุ่มเดินหันหลังกลับมาโดยไม่หันกลับไปมองรอยยิ้มนั้นอีกเลย รอยยิ้มที่เขาปรารถนาอยากเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว แต่คงไม่มีวันได้มาครอบครอง

         

          เฟิ่งอี้กับเฟิ่งหรั่นเดินทางกลับมาถึงจวนในเพลาไม่นาน ความงดงามของปิ่นหยกที่ปักบนมวยผมของบุตรสาวคนโต ทำให้เฟิ่งฮูหยินยิ้มจนแก้มปริมองปิ่นปักผมที่ปักอยู่บนศีรษะของบุตรสาวอย่างชื่นชม ปิ่นปักผมนี้งดงามสะดุดตายิ่งนัก

          ยิ่งได้ทราบว่าลู่อ๋องซื้อให้กับนางหัวใจของผู้เป็นมารดาก็ยิ่งปลื้มปริ่ม ลู่อ๋องเป็นบุรุษที่งดงามหล่อเหลา อีกทั้งยังมากด้วยความสามารถไม่แพ้ลู่เฟยหลงผู้เป็นรัชทายาทเลยสักนิด หากลู่อ๋องมีวาสนาเกิดเป็นโอรสของไทเฮาเกรงว่าตำแหน่งรัชทายาทคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

          “ท่านอ๋องทรงประทานปิ่นปักผมให้พี่หญิงเช่นนี้ ข้าล่ะนึกอิจฉาพี่หญิงไม่ได้จริงๆ” เสียงของบุตรีอนุภรรยาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ระหว่างที่เฟิ่งอี้กำลังเดินทางกลับเรือนของตนด้วยความรู้สึกบางอย่าง

          ‘เฟิ่งเจาหรง’ บุตรีของอนุภรรยาลำดับที่หนึ่งเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ขณะที่กำลังโบกพัดไปมาด้วยท่าทีอ่อนช้อยปนเยาะเย้ย

          เฟิ่งอี้ชะงักฝีเท้าหันไปมองเฟิ่งเจาหรงด้วยความไม่พอใจ

          “ทำไมมองข้าเช่นนั้นเล่าน้องเล็ก?” เฟิ่งเจาหรงแสร้งขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย นางรู้ดีว่าในใจของเฟิ่งอี้คงกำลังโหมกระหน่ำด้วยไฟโทสะเป็นแน่ หากปลุกปั่นให้นางเกิดโทสะขึ้นมา ดีไม่ดีคนที่จะได้ไปร่วมงานเลี้ยงค่ำคืนนี้แทนอาจจะเป็นนางก็ได้ นางอยากมีวาสนาเข้าวังหลวงแบบเฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้ที่เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่บ้าง

          เฟิ่งอี้ยกยิ้ม “แล้ววาจาของพี่หญิงรองเล่า ปากหวานก้นเปรี้ยวเสียขนาดนี้ ไม่แปลกใจนักที่มารดาเป็นได้แค่อนุ ส่วนตัวเอง...”

          หล่อนแสร้งยกยิ้มแล้วมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างดูหมิ่นดูแคลนด้วยสายตาเหยียดหยาม

          “เจ้าว่าข้าหรือ?” ท่าทีที่เต็มไปด้วยโทสะของเฟิ่งเจาหรงทำให้เฟิ่งอี้สะใจยิ่งนัก นางเดินเข้ามาหมายจะจัดการสั่งสอนน้องสาวต่างมารดา ต่อให้เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่ อย่าคิดว่านางจะกลัวง่ายๆ

          “มารดาก็ไพร่ ข้าไม่แปลกใจนักพี่หญิงรองถึงได้มีกิริยาเยี่ยงบ่าวไพร่ในจวน วันๆ เอาแต่เดินไปทั่วจวนอย่างไม่มีจุดหมาย ทำตนเช่นนี้วาสนาก็คงมีได้แค่นี้ล่ะ ดีไม่ดีก็คงอยู่คนเดียวในจวนจนร้างตาย!” วาจาอันเฉียบคมของเฟิ่งอี้เสียดแทงทะลุหัวใจของคนฟังยิ่งนัก เฟิ่งเจาหรงยืนกำหมัดตัวสั่นเทิ้ม

ด้วยความโกรธ หากทำให้เฟิ่งอี้โกรธขึ้นมาเกรงว่ามารดาคงถูกฮูหยินใหญ่รังแกอีกเป็นแน่

          เฟิ่งอี้ยกยิ้ม เฟิ่งเจาหรงก็แค่ดีแต่ปากเท่านั้น ไม่มีวันเอาชนะใครเขา

ได้หรอก “เก่งแต่ปากแบบนี้ และปากดีนินทาใครต่อใครไปทั่ว ระวังเถิดจะ

ตายก่อนอายุขัย!”

          ได้ต่อว่าเฟิ่งเจาหรงก็ราวกับระบายโทสะในใจออกไปจนหมด ความร้อนรุ่มในใจดั่งไฟสุมทรวงทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง ในเมื่อเฟิ่งเจาหรงคิดมาหาเรื่องนางก็รองรับโทสะของนางหน่อยเถิด!

          เฟิ่งหรั่นนั่งเลือกอาภรณ์สำหรับการแสดงร่ายรำในคืนนี้ คืนนี้เป็นการเลี้ยงฉลองได้รับชัยชนะของแคว้นเหลียวเหนือจงโจว เหตุใดนางต้องคิดถึงสายตาของลู่เฟยหลงยามมองนางที่ร้านเครื่องประดับด้วยนะ สายตาที่เห็นนางได้รับปิ่นจากลู่อ๋องราวกับแฝงด้วยความน้อยใจและประกายโทสะ เหตุใดกัน...

          หญิงสาวคิดไม่ตก นางพยายายามหาเหตุผลให้กับตนเอง แต่ก็คิดไม่ตกว่าเป็นเพราะเหตุใด แม้นางกับลู่เฟยหลงจะเคยพบเจอกันตั้งแต่เยาว์วัย แต่ด้วยอายุที่ห่างกันค่อนข้างมาก เขาอายุมากกว่านางถึงเจ็ดปี ในขณะที่ลู่อ๋องอายุห่างจากนางไม่มากนัก ทำให้นางกับเขาสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วและนิสัยของไท่เฟยที่ทรงเป็นมิตร ไม่ยากนักหากนางจะสนิทสนมกับลู่อ๋องได้อย่างรวดเร็ว

          สายตายามที่ลู่อ๋องและลู่เฟยหลงมองนางนั้น ทำให้นางรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะอะไรกัน?

          “ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะคุณหนู” จิงเจียวที่จับสังเกตท่าทีของผู้เป็นนายเอ่ย ขณะที่นางกำลังหวีผมให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ คุณหนูของนางไม่

เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย

          เฟิ่งหรั่นได้สติ “ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ อย่าใส่ใจเลย”

          จิงเจียวขมวดคิ้ว “ท่านกำลังโกหกข้าอยู่นะเจ้าคะ”

          เวลาที่เฟิ่งหรั่นมีเรื่องอะไรภายในใจ นางมักจะไม่บอกกล่าวให้ใครทราบ แต่กับจิงเจียวที่รับใช้นางมานานมีหรือจะคาดเดาท่าทีไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ หากอีกฝ่ายมีเรื่องไม่สบายใจอันใดนางก็ไม่อยากให้ขบคิดเก็บปัญหาเอาไว้คนเดียว หากภายภาคหน้าเฟิ่งหรั่นได้เป็นพระชายาท่านอ๋อง การทำเช่นนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาห่างเหินได้

          เฟิ่งหรั่นแสร้งโมโหใส่

          “เจ้าจะมารู้ดีกว่าข้าได้อย่างไรจิงเจียว...”

          จิงเจียวถอนหายใจ หากอีกฝ่ายไม่อยากบอกนางก็จะไม่เซ้าซี้ถาม

          “เจ้าค่ะ ท่านไม่มีก็ไม่มี แต่หากมีเรื่องใดข้าก็พร้อมรับฟังและเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับท่านเสมอนะเจ้าคะ”

          เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ภาระในจิตใจของเฟิ่งหรั่นยิ่งรู้สึกหนักอึ้งอยากระบายยิ่งนัก นางถามบ่าวคนสนิท

          “เมื่อตอนที่อยู่ร้านเครื่องประดับ ข้ารู้สึกว่าสายตาขององค์รัชทายาทมองข้าแปลกๆ นะ เจ้าสังเกตหรือไม่” นางถามจิงเจียว              จิงเจียวทำท่าทางขบคิด พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ร้านเครื่องประดับ

          “แปลกอยู่นะเจ้าคะ แต่การกระทำของท่านอ๋องเก้านั้นแปลกยิ่งกว่า ทรงปักปิ่นให้คุณหนูเช่นนี้ แสดงว่าอีกไม่นานก็คงมีข่าวดีตามมา” จิงเจียวเอ่ยพลางอมยิ้มน้อยๆ การกระทำของลู่อ๋องในวันนี้ค่อนข้างชัดเจนยิ่ง

นัก แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม

          “ข้าไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้ มีสตรีมากมายที่เหมาะสมกับท่านอ๋อง

เจ้าอย่าพูดไร้สาระเลย มาช่วยข้าแต่งตัวดีกว่า” นางเบี่ยงประเด็นทันที หญิงสาวมองตนเองในกระจกทองเหลือง จะเป็นอย่างที่นางรู้สึกหรือไม่นะ...

          ลู่เฟยหลงกลับมาถึงตำหนักบูรพา เขานั่งอยู่ที่ศาลาริมสระในอุทยานตำหนักบูรพาอย่างเงียบๆ ฝ่ามือหนึ่งหยิบปิ่นเงินอันงดงามที่ซื้อมาจากร้านเครื่องประดับขึ้นมาควงเบาๆ ความรู้สึกในใจต่อผู้ที่เขาอยากมอบปิ่นนี้ให้มีมากเกินกว่าคำบรรยายใดๆ ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดลงบนปิ่นนี้ สายตาคมปลาบทอดมองไปยังสระบัวเบื้องหน้า ยามนี้ใกล้ยามสุริยะจะลับขอบฟ้าแล้ว

          ซ่งหลานซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิท บัดนี้เขายืนอยู่ข้างๆ พระวรกายของผู้เป็นองค์รัชทายาท ท่าทีนิ่งสงบต่างจากท่าทีนิ่งขรึมดุดัน ทว่าบัดนี้กลับแผ่รัศมีของความอ่อนโยนออกมายามจ้องปิ่นปักผมสีเงินนั้น รองแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ลู่เฟยหลงหลงรักเฟิ่งหรั่นมานานแต่กลับไม่มีโอกาสได้บอกความรู้สึกกับนาง ยิ่งภาพเมื่อตอนกลางวันได้เห็นอนุชาต่างมารดาปักปิ่นให้นางแสดงออกอย่างชัดเจน ย่อมตอกย้ำความรู้สึกในใจของลู่เฟยหลงให้เจ็บแปลบยิ่งนัก

          “รัชทายาท จะได้เวลางานเลี้ยงเริ่มแล้วนะพะยะค่ะ” รองแม่ทัพซ่ง

เตือนเบาๆ งานเลี้ยงฉลองต้อนรับนี้เป็นพระเสาวนีย์ของไทเฮาที่ต้องการต้อนรับพระโอรสองค์เล็กกลับมาหลังจากได้รับชัยชนะจากจงโจว แม้ว่าลู่เฟยหลงจะไม่ต้องการให้จัดงานแบบนี้อย่างสิ้นเปลือง แต่ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการแสดงของนางเพื่อเขา

          แม้จะไม่ได้เป็นความต้องการของนาง แต่เขาก็ดีใจยิ่งนักที่จะได้เห็น

นางร่ายรำในวันสำคัญของเขาเช่นนี้

          ลู่อ๋องเดินทางออกจากวังของตนเองมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง แม้ในใจเขาจะไม่ยินดีกับชัยชนะของลู่เฟยหลง แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเขาต้องการเห็นสีหน้าอันสิ้นหวังยามเห็นสตรีที่อีกฝ่ายหมายปองสนิทสนมกับตนเอง สายตาของลู่อ๋องปราดมองเพียงครู่หนึ่งตั้งแต่ที่ร้านเครื่องประดับก็รู้แล้วว่าพี่ชายต่างมารดานั้นคิดเช่นไรกับเฟิ่งหรั่น

          แม้ว่าเฟิ่งหรั่นจะมีความงามเป็นหนึ่งในแผ่นดินแคว้นเหลียว แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าเขานั้นถูกใจนาง แต่หาใช่หน้าตาที่งดงามของนางไม่ แต่เป็นฐานอำนาจของครอบครัวนางที่จะหนุนนำเขาในอนาคต ลู่เฟยหลงต้องออกรบบ่อยๆ ไม่มีเวลาสนใจงานราชกิจในเมืองหลวงมากนัก จึงมีเพียงเขาและใต้เท้าเฟิ่งเท่านั้นที่คอยออกช่วยว่าราชการอยู่บ่อยๆ ข้างพระวรกายของฝ่าบาท

          คนอย่างลู่อ๋องมีสตรีไม่ขาดกาย แต่ทว่ากลับไม่มีสตรีนางใดที่จะเป็น

ฐานอำนาจหนุนหลังให้เขากลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้เลย ยกเว้นเฟิ่งหรั่นที่สามารถใช้อำนาจของตระกูลบิดาซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีและกุนซือคนสำคัญเป็นฐานอำนาจส่งเสริมเขาได้ พระมารดาของเขาซู่ไท่เฟยก็คงต้องการเช่นนี้เหมือนกัน

          ลู่เฟยหลงชอบนางแล้วอย่างไร...นางงดงามแล้วอย่างไร สำหรับเขาฐานอำนาจในการหนุนหลังนั้นสำคัญที่สุด อย่างไรก็ต้องหาทางแต่งงานกับเฟิ่งหรั่นให้ได้ แล้วค่อยๆ หาทางควบรวมตระกูลของนางเป็นหนึ่ง

เดียวกับเขาเพื่อชิงราชบัลลังก์

          ลู่อ๋องหรืออ๋องเก้าเดินทางมาถึงในวังหลวงก่อนเริ่มงานไม่กี่ชั่วยาม เขามุ่งตรงไปที่ตำหนักของซู่ไท่เฟยซึ่งเป็นพระมารดาของตน แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงไท่เฟย ในราชสำนักฝ่ายในซู่ไท่เฟยเป็นรองเพียงไทเฮาเท่านั้น แต่กลับไม่มีอำนาจใดสามารถเกลี้ยกล่อมให้เซียวฮองเฮากลายมาเป็นพรรคพวกฝ่ายตนเองได้เลย

          “เสด็จแม่” ลู่อ๋องประสานมือก้มศีรษะคำนับมารดาอย่างนอบน้อม มีเพียงมารดาของเขาเท่านั้นที่เขาทำเช่นนี้ นอกนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับความจริงใจหรือความเคารพจากเขาแม้แต่น้อย

          ซู่ไท่เฟยคลี่ยิ้มให้กับบุตรชาย พระนางทรงทราบเรื่องที่ลู่อ๋องปักปิ่นให้กับเฟิ่งหรั่นที่ร้านเครื่องประดับนั้นแล้ว หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับถูกลือลั่นไปในเพลาไม่กี่ชั่วยามว่าเฟิ่งหรั่นนั้น อาจกลายเป็นพระชายาเอกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งพระนางต้องการให้เป็นเช่นนั้น

          “แม่ได้ยินเรื่องที่เจ้าปักปิ่นให้ธิดาใต้เท้าเฟิ่งแล้ว รวดเร็วเสียจริงนะ” ซู่ไท่เฟยยกยิ้มมุมปากหนึ่งข้างเช่นเดียวกับลู่อ๋อง

          “ขอเพียงให้ได้แต่งงานกับนางก่อน ค่อยหาทางควบรวมตระกูลของนางให้มาสนับสนุนเรา” ลู่อ๋องเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มแฝงด้วยเลศนัยบนพระพักตร์หล่อเหลา รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    72 - มังกรมิไร้หงส์

    กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    71 - ดั่งหงส์หวนคืน

    ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    70 - อรุณรุ่งแห่งวันใหม่

    คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    69 - จุดจบ (๒)

    อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    68 - จุดจบ (๑)

    นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    67 - แผนลอบสังหาร

    เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status