ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน
แคว้นเหลียว
แคว้นเหลียวเป็นหนึ่งในสี่แคว้นใหญ่แห่งแผ่นดินจงหยวน ปกครองด้วยราชวงศ์ลู่มานานหลายศตวรรษ และในยุคปัจจุบันที่แคว้นเหลียวเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด นำโดยการปกครองของลู่ฮ่องเต้และเซียวฮองเฮาและองค์รัชทายาทผู้เป็นพระอนุชาร่วมอุทรนามว่า ‘ลู่เฟยหรง’ องค์รัชทายาทผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพรบนำชัยชนะมาทุกสมรภูมิศึกและภายใต้การช่วยออกว่าราชการของลู่อ๋องอีกแรง
แม้ว่าจะมีสี่นักปกครองที่เก่งกาจ แต่กุนซือที่สำคัญประจำพระวรกายของฮ่องเต้คือใต้เท้าเฟิ่ง อัครมหาเสนาบดีคู่พระทัยตั้งแต่อดีตฮ่องเต้รัชกาลก่อนจวบจนรัชกาลปัจจุบัน เขามีบุตรสาวที่ทั้งงดงามและฉลาดปราดเปรื่องกับฮูหยินเอกนามว่า ‘เฟิ่งหรั่น’ ยอดบัณฑิตหญิงแห่งแคว้น ศาสตร์ความรู้ทั้งหกแขนงที่คุณหนูสกุลใหญ่ร่ำเรียนกัน นางสามารถร่ำเรียน
จนแตกฉานได้อย่างรวดเร็ว
ภายในจวนอัครมหาเสนาบดีเงียบสงบร่มรื่น เสียงบรรเลงพิณดังมาจากเรือนของคุณหนูใหญ่ของจวนอย่างเฟิ่งหรั่น หญิงสาวในชุดผ้าไหมปักดิ้นลวดลายงดงาม คอเสื้อขลิบด้วยลวดลายดุจปีกจักจั่นสีทองอ่อน กำลังนั่งดีด
บรรเลงพิณอย่างสบายใจท่ามกลางบรรยากาศของจวนอันร่มรื่น
“คุณหนูเจ้าคะ ชาอู่หลงเจ้าค่ะ” จิงเจียว สาวรับใช้คนสนิทวางถาดน้ำชาบนโต๊ะลายหินอ่อนอันประณีต มองดูเจ้านายของตนเองบรรเลงพิณอย่างเพลิดเพลิน
ใบหน้างดงามของเฟิ่งหรั่นเป็นความงดงามที่ได้จากธรรมชาติอย่างลงตัว ทั้งคิวเรียวที่โก่งดุจคันศร นัยน์ตากลมโตหวานประดุจผลท้อสุก ใบหน้างดงามที่ขาวนวลเปล่งปลั่งและงามยิ่งนักยามแสงอาทิตย์สาดส่องราวกับอาทิตย์อุทัย เรือนผมสีดำขลับที่ถูกรวบตึงครึ่งหัวและปล่อยสยายยาวกลางแผ่นหลัง แพขนตาที่หนางอนยาวตามธรรมชาติเมื่อเสริมกับเครื่องประทินโฉมยิ่งส่งเสริมให้นางงดงามชวนมองยิ่งนัก
ริมฝีปากแดงระเรื่อระบายยิ้มอ่อนๆ อย่างมีความสุขยามนางบรรเลงพิณจบลง ฝ่ามือเรียวยกชาอู่หลงขึ้นจิบเบาๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะมองสาวใช้คนสนิท
“ท่านพ่อเล่า?” นางถามถึงบิดาทันที
จิงเจียวยิ้มตอบ “นายท่านเดินทางเข้าวังตั้งแต่เช้าเจ้าค่ะ เห็นว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเรียกพบใต้เท้าเป็นการส่วนตัว”
แต่ไหนแต่ไรมาบิดาของนางเป็นถึงยอดกุนซือคู่พระวรกายของฮ่องเต้มาถึงสองรัชกาลด้วยกัน การที่ครั้งนี้ฝ่าบาททรงเรียกท่านพ่อของนางเข้าเฝ้าก็คงมีราชกิจสำคัญเป็นแน่ ถึงได้ทรงเรียกท่านพ่อของนางที่อายุมากแล้วเดินทางเข้าวังแบบเร่งด่วนเช่นนี้
“ได้ยินว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จยาตราทัพกลับมาวันนี้ หลังจากที่ได้รับชัยชนะเหนือจงโจวเจ้าค่ะ” จิงเจียวเอ่ย ประหนึ่งนางเป็นผู้ส่งสารคน
สำคัญของสกุล
เฟิ่งหรั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย คิ้วเรียวชนเข้าหากันเพียงนิด องค์รัชทายาทเสด็จทำศึกที่จงโจวนานนับปี วันนี้ทรงได้รับชัยชนะแล้วอย่างนั้นหรือถึงได้รีบกลับเมืองหลวงมาอย่างกะทันหัน
“พระอนุชากลับมาทั้งที ฝ่าบาทคงมีพระประสงค์จะตบรางวัลและจัดงานเลี้ยงฉลองได้รับชัยชนะเหนือจงโจวมาอย่างแน่นอน” เฟิ่งหรั่นกล่าว อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แม้ตนเองจะเคยเข้าไปในวังชั่วคราวเพราะต้องเข้าเฝ้าฮองเฮากับไทเฮา แต่ก็พบเห็นองค์รัชทายาทเพียงนับครั้งได้ และครั้งล่าสุดที่นางเจอเขาคือตอนที่เขากำลังจะไปออกรบที่จงโจว นางยังจำได้ไม่ลืมสายตาคมปลาบยามจดจ้องมาที่นาง สายตานั้นแฝงไปด้วยความนัยบางอย่างที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
แต่กับลู่อ๋อง พระอนุชาอีกองค์ของฮ่องเต้อันประสูติจากไท่เฟยซู่เจาอี๋ กลับมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับนางเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยสมัยเด็กนางมักตามมารดาไปถวายการรับใช้ไทเฮาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสได้พบกับลู่อ๋องหรืออ๋องเก้าจนกลายเป็นสหายกัน ยามที่เขาว่างจากราชกิจเมื่อใดเป็นต้องส่งคนมามอบของดีๆ มีค่าให้กับนางทั้งนั้นจนนางเกิดความรู้สึกประทับใจ
ยามที่บิดาของนางกำลังลำบากเพราะถูกฮ่องเต้ทรงตำหนิ ก็ได้ลู่อ๋องที่ช่วยเจรจาผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา ความสัมพันธ์ระหว่างนางและลู่อ๋องจึงพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ความสนิทสนมระหว่างนางกับลู่อ๋องเป็นที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งวังหลวง ว่านางอาจจะได้เป็นพระชายาเอกของอ๋องเก้าที่หญิงสาวมากมายทั่วแคว้นต่างหมายปอง
“พี่หญิง...” เสียงหวานของเฟิ่งอี้ดังขึ้น นางคือน้องสาวร่วมอุทรของ
เฟิ่งหรั่น ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันหลายส่วน แต่ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือแววตา เฟิ่งหรั่นมีแววตาที่สุขุมเยือกเย็น แฝงไปด้วยความหยิ่งยโสทะนงตน แต่กลับกันเฟิ่งอี้มีแววตาที่ซุกซน อ่อนหวาน ดูน่าค้นหานัก นางกับน้องสาวผู้นี้ต่างกันแค่เพียงนิดเดียวจริงๆ
“อี้เอ๋อร์” เฟิ่งหรั่นละมือจากพิณยิ้มอ่อนหวานให้กับน้องสาวที่มาเยือน
เฟิ่งอี้นั่งข้างๆ พี่สาวอย่างสนิทสนม “พี่หญิงทราบหรือยังเจ้าคะ วันนี้องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับมาจากจงโจว ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะจัดงานเลี้ยงที่วังคืนนี้”
เฟิ่งอี้อดตื่นเต้นดีใจแทนไม่ได้นัก เนื่องด้วยงานเลี้ยงในคืนนี้ครอบครัวของนางคือแขกพิเศษของฮ่องเต้ที่จะได้เข้าร่วมงาน หากเป็นเช่นนั้นแล้วนางคงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าลู่อ๋องเป็นแน่ ว่ากันว่าลู่อ๋องนั้นรูปโฉมงามสง่านัก นางที่เพิ่งกลับมาจากซีโจวแม้จะเคยพบลู่อ๋องในวัยเยาว์ แต่ตอนนี้นางอยากรู้นักว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง หล่อเหลาจนนางตกตะลึงเพียงใดกัน
“ตกลงว่าเจ้าอยากไปร่วมงานเลี้ยง หรือว่าอยากเจอท่านอ๋องกันแน่” เฟิ่งหรั่นขมวดคิ้วถาม น้องสาวของนางมักเป็นเช่นนี้เสมอ มีเรื่องดีใจอันใดก็ไม่เคยเก็บอาการเอาไว้ แต่กลับมาเล่าให้พี่สาวอย่างนางฟังทุกครั้ง
เสียงกระแอมไอของฮูหยินใหญ่ของจวนดังขึ้น สองสาวพี่น้องละจากการสนทนาลุกขึ้นยืนรับผู้เป็นมารดาที่เป็นฮูหยินเอกของจวนสกุลเฟิ่ง
“ท่านแม่” พวกนางทั้งสองย่อกายกล่าวคำนับมารดาพร้อมกัน
เฟิ่งฮูหยินนั่งลงข้างๆ เฟิ่งหรั่นกุมมือบุตรสาวคนโตอย่างอ่อนโยน
ท่ามกลางสายตาอันจับจ้องของเฟิ่งอี้ที่แฝงด้วยความรู้สึกบางอย่าง
“ท่านแม่มาพอดีเลยเจ้าค่ะ ลูกกับพี่หญิงกำลังคุยกันเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้อยู่เลย” เฟิ่งอี้กล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“พวกเจ้านี่ก็ตื่นเต้นเกินเหตุจริงเชียว รักษาหน้าท่านพ่อเจ้าบ้าง”เฟิ่งฮูหยินเอ็ดบุตรสาวคนเล็กเบาๆ เฟิ่งอี้สีหน้าเจื่อนลงเมื่อโดนมารดาตำหนิ
“ท่านแม่อย่าตำหนิน้องสาวเลยเจ้าค่ะ นางยังเด็ก นานๆ ทีจะมีงานเลี้ยงรื่นเริงแบบนี้ อีกทั้งองค์รัชทายาทได้รับชัยชนะกลับมาก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นธรรมดา อย่าตำหนิน้องเลยเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งหรั่นกล่าวกับมารดา นางส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับเฟิ่งอี้เป็นเชิงว่าอย่าตำหนิท่านแม่ในใจเลย
“งานเลี้ยงนี้มีแต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและครอบครัวชนชั้นสูงไปร่วมงานจำนวนมาก พวกเจ้าคิดทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงหน้าของท่านพ่อเจ้าให้มากๆ ยิ่งนายท่านมีศักดิ์เป็นถึงกุนซือและอัครมหาเสนาบดีด้วยแล้ว ยิ่งต้องทำตนให้สงบเสงี่ยม...” เฟิ่งฮูหยินกล่าวเตือนบุตรสาวทั้งสองด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะเฟิ่งอี้ที่นางเป็นห่วงมากกว่าใครๆ ทั้งหมด
ในบรรดาสตรีทั้งหมดของจวนอัครมหาเสนาบดีมีบุตรธิดาจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากอนุภรรยาทั้งสิ้น และแต่ละนางล้วนมีบุตรีที่ย่อมต้องการชิงดีชิงเด่นกับบุตรสาวของนางจำนวนมากเช่นกัน แต่ทว่าโชคดีนักที่
บุตรีทั้งสองเป็นที่โปรดปรานของฮองเฮาและไทเฮา จึงไม่ค่อยมีปัญหาที่จะให้พวกบุตรีอนุภรรยามาคอยชิงดีชิงเด่นได้
“เจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งอี้รับคำสีหน้าเจื่อน
“งานนี้ท่านอ๋องเก้าก็เสด็จด้วย พวกเจ้าเก็บอาการกันหน่อยล่ะ” เฟิ่งฮูหยินเตือนบุตรสาวทั้งสอง โดยเฉพาะบุตรสาวคนโตที่มีความสนิทสนม
กับลู่อ๋องมาตั้งแต่เยาว์วัย
เฟิ่งอี้กล่าวพลางกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อน
“ท่านแม่เจ้าค่ะ ท่านแม่คงต้องเป็นห่วงพี่หญิงมากกว่า นางสนิทสนมกับท่านอ๋องมากกว่าใครทั้งหมดอีกนะเจ้าคะ”
ไม่รู้ว่าเฟิ่งหรั่นคิดไปเองหรือไม่ ถ้อยคำของเฟิ่งอี้เมื่อสักครู่ราวกับประชดประชันนางเสียอย่างนั้น แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นพี่สาวจึงไม่อยากคิดมากกับวาจาอันเมื่อครู่ของผู้เป็นน้องสาวนัก เฟิ่งอี้นางยังเด็กมาก บางทีก็พูดโดยที่ไม่ทันได้ไตร่ตรองออกมาก็ได้
“ถ้าเช่นนั้นลูกกับอี้เอ๋อร์จะไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าคะท่านแม่” เฟิ่งหรั่นหันมาหาเฟิ่งอี้พร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ
เฟิ่งอี้กล่าวรับ “นั่นสิเจ้าคะท่านแม่...ไปกันเถิดพี่หญิง”
กองทัพของลู่เฟยหลงเดินทางมาถึงหน้าประตูพระราชวังหลวงแคว้นเหลียว หลังจากได้รับชัยชนะจากจงโจวเขาก็ไม่รีรอที่จะกรีธาทัพกลับมาเมืองหลวงทันที ด้วยตนเองไม่เห็นเหตุจำเป็นอันใดที่จะต้องลงหลักปักฐานตั้งค่ายทัพอยู่ที่นั่น แค่เพียงให้องครักษ์คนสนิททำหน้าที่ตรงนั้นแทนก็เพียงพอแล้ว เขาคิดถึงใครบางคนที่อยู่แคว้นเหลียว เกือบหนึ่งปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอนางเลย
คืนนี้ เขาจะได้เจอนางไหมนะ...
ทหารทั้งหมดนั่งคุกเข่าถวายบังคม เปิดทางให้ลู่เฟยหลงควบอาชาเข้าไปด้านในวังหลวง เหล่าบรรดานางกำนัลแรกรุ่นที่มองเห็นภาพองค์รัชทายาทผู้เป็นพระอนุชาในฮ่องเต้ ต่างก็ซ่อนรอยยิ้มเขินอายของพวกนางเอาไว้ ท่าทีงามสง่าไม่แพ้ท่านอ๋องเก้าขององค์รัชทายาททำให้พวกนางต่างไม่กล้าสบสายพระเนตรคมปลาบและพระพักตร์หล่อเหลายามควบอาชาอย่างผึ่งผายเช่นนี้
สายพระเนตรคมทอดมองออกไปยังเบื้องทิศตะวันออก สถานที่ตั้งของตำหนักคุนหนิงซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮาผู้เป็นพี่สะใภ้ ในแทบทุกวันนางในดวงใจของเขามักจะมาเข้าเฝ้าฮองเฮา เขาจากนางไปถึงหนึ่งปีเต็ม ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง
กงกงประจำพระองค์ของลู่ฮ่องเต้กุลีกุจอ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาลู่เฟยหลงที่อยู่บนอาชาสีดำตัวใหญ่ เขาคือรุ่ยกงกง หัวหน้าขันทีประจำวังหลวง
“องค์รัชทายาท ขอต้อนรับกลับพะยะค่ะ ฝ่าบาทกำลังเสด็จรอพระองค์อยู่ด้านในตำหนัก...” รุ่ยกงกงเอ่ยอย่างนอบน้อมพร้อมรอยยิ้มแสดงความจริงใจ
ลู่เฟยหลงพยักหน้าตอบเล็กน้อย เขาแทบกล่าววาจากับผู้คนนับคำได้ ชายหนุ่มกระโดดลงจากหลังอาชาสีดำแล้วส่งสายบังเหียนให้ทหารม้านำไปที่คอกม้าหลวง ตนเองจัดคอเสื้อให้เรียบร้อยดูดีก่อนจะเดินนำรุ่ยกงกงเข้าเฝ้าพระเชษฐา[1] ของตน
ตำหนักชิงเทียน
บัดนี้ลู่ฮ่องเต้กับเซียวฮองเฮา ซึ่งเป็นภรรยาคู่พระทัยกำลังสนทนากันอยู่บริเวณศาลาของตำหนักชิงเทียน ซึ่งเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในวังหลวง รองลงมาจึงเป็นตำหนักคุนหนิง ตำหนักคังเฉวียนและตำหนักบูรพาตามลำดับ
ลู่เฟยหลงคำนับทั้งสองพระองค์อย่างนอบน้อม สายตาของเขาไม่เห็นไทเฮาผู้เป็นพระมารดาสักนิด เขาคาดเดาได้ว่าพระมารดาคงกำลังโกรธเคืองเขาเป็นแน่ที่ต้องออกรบนานแรมปีเช่นนี้ ลู่ฮ่องเต้ทรงคลี่ยิ้มบางๆ ฝ่ามือหนาวางจอกชาลงแล้วเดินเข้ามาจับไหล่ของพระอนุชา[2] อย่างสนิทสนม
“ถวายพระพรฝ่าบาท พี่สะใภ้” ลู่เฟยหลงประสานมือคำนับทั้งสองอย่างไม่เป็นทางการนัก แต่ทว่าผู้เป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่ถือสากับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ เนื่องจากยามนี้ปลอดผู้คนและเหล่าขุนนาง ทั้งสองพระองค์จึงเป็นกันเองกับลู่เฟยหลง
“ไปออกรบนานแรมปีเช่นนี้ ฝ่าบาททรงเอ่ยถึงเจ้าทุกวัน วันนี้เจ้ากลับมาพร้อมชัยชนะทั้งข้าและพระองค์ก็ขอแสดงความยินดีด้วย” ฮองเฮาทรงแย้มพระสรวลกล่าวแสดงความยินดีด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน ลู่เฟยหลงยิ้มน้อยๆ น้อมรับคำชม
“เสด็จอาพะยะค่ะ” เสียงของเด็กน้อยดังเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล ลู่เฟยหลงหันไปตามเสียงที่มา พบเห็นเด็กชายตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบปีกำลังวิ่งตรงมาทางเขาโดยมีรุ่ยกงกงวิ่งตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ
รัชทายาทคว้ามือไปอุ้มร่างเล็กขึ้นมากอดแนบอกอย่างชื่นใจ หลานชายของเขา ผู้เป็นโอรสของฮ่องเต้กับฮองเฮา ทั้งสองพระองค์มองสอง
อาหลานกอดกันกลมเกลียวด้วยความเอ็นดู ลู่เสวียนแต่เดิมทีก็เป็นเด็กที่ติด
เสด็จอาของเขามากอยู่แล้ว ยิ่งเสด็จอาของเขากลับมาจากสงครามเด็กน้อย
ย่อมดีใจเป็นธรรมดา
“ขอทรงโปรดประทานอภัยด้วยพะยะค่ะฝ่าบาท คือ...” รุ่ยกงกง
กล่าวด้วยความเหนื่อยหอบ ตนเองยืนหอบหายใจเหนื่อยแต่กลับเห็นสีพระพักตร์แย้มพระสรวลอย่างไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ลู่เฟยหลงโอบอุ้มหลานชายด้วยความเอ็นดู เขาเอ็นดูลู่เสวียนมาก เด็กน้อยที่ช่างเจรจาพาทีและยังฉลาดรู้ความ อีกทั้งยังสะท้อนตัวตนของพี่ชายเขาในวัยเยาว์ยิ่งนัก
“ตั้งแต่เจ้าไปออกรบ เสวียนเอ๋อร์ของพวกเราก็ขยันฝึกดาบฝึกกระบี่ทุกวัน ด้วยบ่นว่าคิดถึงเสด็จอายิ่งนัก ร้องเรียกหาแต่เสด็จอาทุกวันเลย” ลู่ฮ่องเต้ทรงกล่าวพลางแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน เห็นโอรสกับพระอนุชารักใคร่กันเช่นนี้ก็ดีพระทัยยิ่งนัก
“คราวนี้เสด็จอาจะทิ้งเสวียนเอ๋อร์ไปอีกหรือไม่พะยะค่ะ” เด็กน้อยถามอย่างไร้เดียงสา พลางมองด้วยสายตาออดอ้อนตามประสาเด็ก
ลู่เฟยหลงลูบหัวหลานชายเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“อากลับมาคราวนี้จะทิ้งเจ้าไปได้อย่างไร อาย่อมต้องกลับมาหาเจ้าสิ”
“เสวียนเอ๋อร์ พ่อแม่อยากคุยกับเสด็จอาของเจ้าสักหน่อย รุ่ยกงกงพาเสวียนเอ๋อร์กลับตำหนักไปก่อนเถิด” ลู่ฮ่องเต้ทรงกล่าวกับรุ่ยกงกงด้วยพระสุรเสียงเคร่งขรึม
รุ่ยกงกงน้อมรับพระบัญชา อุ้มร่างเล็กของลู่เสวียนจากอ้อมแขนของลู่เฟยหลงอย่างเบามือก่อนจะพากลับตำหนักไป
“มีความเคลื่อนไหวที่ตำหนักหลันเป่าหรือพะยะค่ะ” ลู่เฟยหลงถาม
เสียงเคร่งขรึมเช่นกัน สีพระพักตร์ของฮองเฮากับฮ่องเต้ก็พอบ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ในวังเริ่มตึงเครียดเช่นกัน
“ดูเหมือนจะปกติดี แต่พักนี้ตำหนักของซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวที่แปลกพิกลนัก” เซียวฮองเฮาทรงกล่าว
“รอดูท่าทีของลู่อ๋องก่อนเถิดพะยะค่ะ อย่างไรเขาก็เป็นน้องชายพวกเราเช่นกัน ตราบใดที่ลู่อ๋องยังอยู่ที่นี่ ซู่ไท่เฟยคงไม่คิดทำสิ่งใดผลีผลามแน่” ลู่เฟยหลงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาเพิ่งกลับมาจากจงโจวจึงไม่อยากมีเรื่องใดให้คิดมากตอนนี้
“นั่นสินะ เอาล่ะๆ เจ้าไปเตรียมตัวเถิด เสด็จแม่ทรงโปรดให้จัดงานฉลองต้อนรับชัยชนะและการกลับมาของเจ้าเชียวนะ ได้ยินว่า...แม่นางเฟิ่งหรั่นก็จะมาร่วมงานนี้ด้วย ลู่อ๋องก็คงไม่พ้นมากับนางเป็นแน่” คำกล่าวของฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายทำให้ลู่เฟยหลงลึกๆ เจ็บแปลบในใจ เฟิ่งหรั่นสนิทสนมกับลู่อ๋องมาตั้งแต่ยังเด็ก คงไม่แปลกนักหากนางจะไปไหนมาไหนกับอีกฝ่ายตลอดเวลา ดีกว่าเขาที่มักจะเย็นชาและนิ่งขรึม
“งานเลี้ยงนี้ข้าเชิญสตรีมามากมาย เจ้าเองก็อายุสามสิบกว่าแล้ว เห็นควรมีชายาเสียที หากถูกตาต้องใจสตรีนางใดก็บอกมาเถิด ข้าจะจัดการให้” เซียวฮองเฮาเอ่ยอย่างพระทัยดี หากลู่เฟยหลงแต่งงานมีพระชายาเอก ก็คงอยู่ติดวังมากขึ้น คงช่วยราชการฮ่องเต้ได้มากขึ้นเป็นแน่
ลู่เฟยหลงกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยพี่สะใภ้ แต่เรื่องนี้
ข้าเองยังไม่ได้คิดเลย หากข้าชอบพอสตรีนางใดไว้ข้าจะมากราบทูลท่าน”
กล่าวจบแล้วลู่เฟยหลงก็เดินออกมาจากตำหนักชิงเทียน ก่อนออกมาไม่ลืมถวายบังคมลาอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกมาอย่างผึ่งผายสมชายชาตรี ชายหนุ่มมักเป็นเช่นนี้เสมอ ในชีวิตนี้เขามีสตรีทอดสะพานให้นับไม่ถ้วน แต่ทว่าสายตาของเขากลับไม่มีไว้มองสตรีนางใดนอกจากนางคนนั้น ‘เฟิ่งหรั่น’ นางในดวงใจเพียงคนเดียวที่เขาปรารถนาอยากให้นางมาเคียงคู่
แต่ทว่าโอกาสกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในเมื่อสายตาของนางมีเพียงลู่อ๋อง พระอนุชาต่างมารดาเท่านั้น
[1] พระเชษฐา เป็นคำราชาศัพท์หมายถึงพี่ชาย
[2] พระอนุชา เป็นคำราชาศัพท์หมายถึงน้องชาย
กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง
ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว
คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n
อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo
นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ
เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ