Chapter 5
“ว่าไง” ถลัชนันท์พูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย [วันนี้จะไม่กลับบ้านหรือไง นี่จะสี่ทุ่มแล้วนะ ไปอยู่ไหนน่ะ...แล้วนี่เสียงอะไรดังน่ารำคาญ...] “อยู่ที่ผับน่ะ วันนี้เครียดนิดหน่อย แกปิดบ้านเข้านอนไปก่อนเลย” หญิงสาวตอบก่อนกดวางสายทันที ดวงตากลมมองไปยังแสงสีเบื้องหน้าที่มีผู้คนมากมายต่างเต้นเย้าสะโพกส่ายไปมา แต่กับเธอเพียงแค่นั่งดื่มเหล้าให้เมาเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การที่อยู่คนเดียวยิ่งทำให้เป็นบ้าตายเอาจริง ๆ “มาคนเดียวหรือครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มทำให้ถลัชนันท์หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ” เธอตอบแล้วหันหน้าหนี พลางยกเครื่องดื่มจิบไปเรื่อย ๆ ครั้นชายหนุ่มขยับตัวมาใกล้เธอจึงเหลือบมองและถอนหายใจออกมา “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ ช่วยกรุณาไปไกล ๆ หน้าด้วยนะคะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวเสียมองด้วยสายตาไม่พอใจเมื่อหญิงสาวไม่เล่นด้วยเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นและเดินจากไปทันที ถลัชนันท์มองแล้วหันกลับมาอย่างไม่สนใจ ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ และสั่งเครื่องดื่ม “ผมเลี้ยงไหม ?” เขาเอ่ยขึ้นแล้วหันมองหญิงสาว ถลัชนันท์จึงหันมองชายหนุ่มใบหน้าหวานที่ยิ้มให้ เขามีผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีดำ ใบหน้ารูปหัวใจ ริมฝีปากค่อนข้างหนาและตัวสูงกว่าเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ” “เตกีล่าให้เธอด้วยครับ” ศรันภัทรพูดก่อนจะส่งยิ้มให้กับหญิงสาว “ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครค่ะ” “ผมรู้ ผมก็เหมือนกัน...” เขาพูดขึ้นก่อนจะก้มหน้ามองแก้วที่ถือในมือด้วยแววตาเศร้า ที่เข้ามาทักเพราะเห็นว่าเธอน่าจะมีเรื่องผิดหวังมา “เวลารักใครสักคนแล้วเจอสิ่งที่ผิดหวัง มันเจ็บปวดนะครับ เจ็บจนไม่อยากจะรักใครอีก” ถลัชนันท์หันมองศรันภัทรก่อนยกวิสกี้ขึ้นดื่ม “ความรักนี่เข้าใจยากนะครับ” “เหรอคะ” ถลัชนันท์พูดขึ้นพลางหันมอง เขาหน้าตาดี อีกทั้งรูปร่างสูง ใบหน้าหวานราวกับผู้หญิง กิริยาการพูดจาไม่หยาบคายเหมือนคนอื่นที่เดินเข้ามาทักทาย จึงทำให้เธอรู้สึกถูกชะตาด้วย “งั้นฉันไม่ปฏิเสธมิตรภาพของคุณละกัน” เมื่อพูดจบหญิงสาวก็ยกแก้วเตกีล่าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ทำให้รู้สึกมึน ๆ อยู่เล็กน้อย ถลัชนันท์ตั้งสติและรู้ว่าร่างกายยังไหวอยู่ แต่ถ้าหากดื่มมากกว่านี้เธออาจจะเมาไม่รู้เรื่อง ระหว่างที่นั่งดื่มและมองไปเพลิน ๆ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยชวนพูดคุยไปหลายเรื่อง จนหญิงสาวลืมเรื่องของอรรถนนท์จนเกือบหมดสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลับเอาแต่คิดถึงเรื่องของอดีตแฟนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา ได้กลับมาใช้ชีวิตโสดแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน... ถลัชนันท์รู้สึกถึงน้ำหนักแขนที่ทับอยู่บนตัว เธอลืมตาขึ้นมองกะพริบตาหลายต่อหลายครั้งเพื่อมองชายหนุ่ม จึงลุกขึ้นจากที่นอนและมองไปรอบ ๆ ทันที มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมศีรษะราวกับว่ากำลังนึกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อยกผ้านวมออกก็เห็นว่าตัวนั้นเปล่าเปลือยอยู่ ดวงตากลมของเธอจึงหันไปมองชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่รู้จักชื่อนอนอยู่ข้าง ๆ ศรันภัทรรับรู้ถึงน้ำหนักของคนที่ขยับบนเตียงจึงลืมตาขึ้นมองแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ด้วยกายเปล่า มีเพียงผ้านวมที่ปกปิดกายของเธอเอาไว้ “ว้ากกกก...” เดี๋ยวนะ...นั่นเธอต้องเป็นคนกรี๊ดไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเขาถึงร้องอุทานออกมาแบบนั้นกันล่ะ ! ถลัชนันท์หันมองชายหนุ่มที่ร้องเสียงหลงจนน่าตกใจ หญิงสาวอึ้งจนร้องไม่ออกได้แต่หัวเราะสมเพชตัวเอง ขณะที่ชายหนุ่มพยายามควานหาผ้าปิดบังร่างกายและขยับตัวลงจากเตียงทันที “คุณ...ทำไมถึง มาอยู่ที่นี่ได้” ศรันภัทรถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอยกมือขึ้นกุมขมับแล้วถอนหายใจออกมา “ฉะ...ฉันต่างหากที่ต้องถามคุณ...ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้” ความทรงจำเมื่อคืนช่างเลือนรางนักแม้จะอยู่คุยด้วยกันเพราะรู้สึกถูกชะตาด้วยแต่ทำไมถึงมาลงเอยกันบนเตียงแบบนี้ล่ะ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าออกจากผับมาตอนไหน ...นี่มันบ้าชัดๆ เธอเสียครั้งแรกให้กับผู้ชายคนนี้อย่างนั้นน่ะเหรอ ?! “ตาพี หลายวันแล้วไม่ยอมกลับบ้าน...” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นขณะที่ประตูห้องเปิดออก หนุ่มสาวทั้งสองคนที่อยู่ในห้องหันมามองเป็นตาเดียวด้วยความตกใจ “ว้าย ! ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้า” “คุณแม่...” ศรันภัทรทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกผู้เป็นแม่เปิดประตูเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ควร ชายหนุ่มก้มหน้าหลบหันไปทางอื่น เช่นเดียวกับที่ถลัชนันท์ยกผ้านวมคลุมศีรษะด้วยความอาย ซวยโคตร ! นี่เธอเมาจนเสียตัวเลยหรือเนี่ย ! “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่ว ๆ เขาเหลือบมองใบหน้าของผู้เป็นแม่แล้วก็รีบก้มตาหลบลงทันที “แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมาหาแม่ที่ห้องรับแขก” เมื่อพูดจบประตูก็ปิดลงทันที ศรันภัทรหันมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะทำหน้าไม่พอใจและเก็บเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไปในทันที ส่วนถลัชนันท์นั้นขยับตัวลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าของเธอที่กระจายตามพื้นขึ้นมาสวมใส่ จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยและหยิบกระเป๋าเดินไปแง้มประตูเปิดออกเบา ๆ ดวงตากลมมองไปยังโซฟาที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก เห็นหญิงสาววัยกลางคนนั่งหันหลังอยู่ ถลัชนันท์จึงค่อย ๆ ย่องเดินด้วยเสียงฝีเท้าเบาที่สุดเพื่อตรงไปยังประตู ทว่า... “เธอน่ะ...ก็ยังกลับไม่ได้” เสียงของลภัสรดาเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่องเบาของหญิงสาว ถลัชนันท์สะดุ้ง ยิ้มแห้งเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนหันมาเหล่มองด้วยสายตายากจะคาดเดา จึงได้แต่ก้มหน้าเดินมานั่งยังโซฟาตัวที่ห่างกันมากที่สุด “เธอชื่ออะไร ?” ลภัสรดาถามพลางส่งสายตาพินิจหญิงสาว “จงรักค่ะ เรียกว่ารักก็ได้” ถลัชนันท์ตอบไม่เต็มเสียงพลางก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องมองอยู่ “คือว่า...หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ เราเมากันทั้งคู่ มันผิดพลาดจริง ๆ !” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพื่ออธิบายความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เธอเกรงว่าฝ่ายผู้ใหญ่อาจจะมองในแง่ลบ “เธออายุเท่าไหร่ ?” ลภัสรดายังคงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “สามสิบสองค่ะ” ถลัชนันท์ตอบด้วยความงุนงงและแปลกใจ จนกระทั่งชายหนุ่มเดินเข้ามาหาและนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม “แม่ครับ คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...” ทันทีที่นั่งลงศรันภัทรก็รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว ลภัสรดาหันมองลูกชายก่อนจะเอื้อมมือไปตีที่ต้นแขนอย่างแรง “ผิดพลาดเหรอ ?!” “เธอชื่อรักใช่ไหม ?” ถลัชนันท์พยักหน้าแทนคำตอบ “แต่งงานกับลูกชายฉันซะ !” “หะ...หา ?!” “แม่พูดอะไรนะ...ทำไมผมต้องแต่งงานกับเธอด้วย !” ศรันภัทรลุกขึ้นทันที ส่งสายตามองไปที่หญิงสาวด้วยความไม่พอใจ ตรงข้ามกับถลัชนันท์ที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แต่ต้องดึงสติกลับมาและหันมองมารดาของชายหนุ่ม “ไม่ต้องทำขนาดนั้นมั้งคะ คือหนูไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ อีกอย่าง...” “แต่ฉันคิด...การที่ผู้หญิงอยู่กับผู้ชายในสภาพแบบนี้ คนอื่นเขาจะนินทายังไง” ก็ยังไม่มีคนเห็นซะหน่อย ปล่อยเธอไปไม่ได้หรือไงกัน ! “คุณแม่ ผม...” ลภัสรดาลุกขึ้นพร้อมกับมองลูกชายที่ทำหน้าไม่พอใจ “แกจะไม่แต่งก็ได้ แต่อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” เป็นคำขาดที่ทำให้ศรันภัทรถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากมารดายื่นคำขาดแล้ว คงจะมีแผนการอะไรบางอย่างในใจแล้วแน่นอน และถ้าหากเขาหลีกหนีมันอาจจะไม่เป็นผลดี “ส่วนเธอ ตามฉันออกมา” ลภัสรดาพูดเสียงเข้มขณะที่หันหลังหมุนตัวออกไป แล้วเปิดยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ทีแรกคิดว่าจะพาลูกชายไปดูตัวอีกครั้งแต่คงไม่จำเป็นแล้ว...ตลอดที่ผ่านมาหล่อนคิดว่าชาตินี้ลูกชายจะไม่ได้แต่งงานเสียแล้ว เพราะรู้ดีว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั้นนิสัย ชายไม่เชิง หญิงไม่ใช่ ไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ไม่มีแม้กระทั่งการเดตกัน จะมีก็เพียงแค่เพื่อนสนิทที่คุยด้วย ซึ่งหล่อนไม่ต้องการแบบนั้น ! กลัวผู้สืบทอดเพียงคนเดียวจะเปลี่ยนใจไปเป็นหญิงหรือชอบเพศเดียวกันซะก่อน นี่เป็นโอกาสที่ดี...อีกทั้งหญิงสาวคนนี้ก็ดูดี กิริยาวาจานั้นก็ทำให้รู้สึกต้องชะตาด้วย แม้หน้าตาจะบ้าน ๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรก็ตาม แต่เชื่อว่าสายตาหล่อนมองคนไม่ผิด คนที่จะมาเป็นสะใภ้ของ ‘ธนาชโยชา’ ทางด้านถลัชนันท์ได้แต่ลุกและเดินตามลภัสรดาออกไป เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะราวกับว่าสมองจะระเบิดออกมา แม้ว่าการแต่งงานจะเป็นสิ่งที่เธอหวังมาตลอด ทว่าจะต้องแต่งกับผู้ชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเนี่ยนะ มันไม่ตลกสักนิด !Chapter 61 (special III)“นี่...” เธอเรียกเขาด้วยเสียงสะอื้นก่อนจะใช้มือดึงเสื้อจากทางด้านหลัง “ทำไมถึงยอมมารับฉันล่ะ”“ไม่รู้สิ” ศรันภัทรตอบโดยไม่หันหลังกลับไปงั้นเหรอ...?ถลัชนันท์ปล่อยมือออกจากเสื้อของเขา ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มทางด้านหลัง นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่รักเลยเพียงแต่ว่าอยากทำยังไงก็ได้ให้ความเจ็บปวดนี้หายไป“มีอะไรกับฉันได้ไหม” เป็นคำพูดสิ้นคิดหรือความต้องการในส่วนลึกกันแน่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพียงแต่ถ้ามันปลอบใจจากความเจ็บปวดได้แล้วล่ะก็... “แค่ครั้งนี้ แล้วพรุ่งนี้ฉันสัญญาว่าจะหย่ากับคุณ ขอร้องละ”ศรันภัทรยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดจากปากหญิงสาว เขาเองตอนนี้ยังสับสนมากที่จะบอกว่ารู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้แบบคนรักจริง ๆรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น...ถลัชนันท์คลายมือออกจากชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตา บางทีก็คิดว่าพอแล้วกับความรักที่เข้ามา“ขอโทษค่ะ ฉันคงบ้าไปหน่อย” เธอพูดเสียงสั่นพลางหัวเราะ “ถ้ายังไงพรุ่งนี้เราไปหย่ากันนะค
(special I)เวลาทำงานผ่านไปจวบจนกระทั่งหมดวันแล้ว ถลัชนันท์ขยับตัวเก็บกองเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายเช็กชื่อออกจากบริษัทไป แต่ละวันผ่านไปก็ช่างยาวนานซะเหลือเกิน และก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ตื่นเช้าออกไปทำงานกลับมาบ้านกินข้าวและเข้านอน ถึงแม้ว่าช่วงเดือนนี้จะเริ่มสนทนากับสามีที่แต่งงานด้วยมากขึ้นก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์รักใคร่ก็ไม่ได้พัฒนาตามไปด้วยเลยหญิงสาวเดินออกจากลิฟต์แล้วหยุดชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบขึ้นมาดูปลายสายที่โทร. เข้ามา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถลัชนันท์เอ่ยถามอย่างทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือสามีนั่นเอง น้อยครั้งที่เขาจะติดต่อมาหาหรือยอมพูดคุยด้วย[เปล่า คุณแม่บอกวันนี้คุณจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เลยให้ผมโทร.มาถามว่ากลับดึกไหม ?]พอได้ฟังก็รู้สึกสมเพชตัวเองมานิดหนึ่ง ทว่าเรื่องนี้ก็เริ่มชินไปซะแล้ว อีกอย่างแม่สามีไม่ได้ใจร้ายเหมือนในละครหลังข่าว ตรงข้ามกันกลับทำดีกับเธอด้วยซ้ำไป“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันมีนักเดตกับเพื่อนสมัยเรียน” เธอตอบกลับไปแล้วพูดต่อไปว่า &ld
ค่ำคืนแสนหวานอันยาวนานได้ผ่านพ้นไปเข้าสู่เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่างเล็กบนเตียงขยับตัวปรือตาด้วยความหนักอึ้ง หันมองพื้นที่เตียงว่างเปล่าก่อนใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงร่างกายขึ้นนั่ง สะโพกปวดร้าวระบมไปหมดจนไม่มีแรงจะขยับ ดวงตากลมมองรอบห้องที่เงียบสนิทไร้วี่แววของชายหนุ่มประตูห้องถูกเปิดออกหญิงสาวรีบยกผ้านวมขึ้นปิดบังร่างกาย พลางส่งสายตามองอวิ่นเยว่เดินเข้ามาหา“คุณตื่นแล้วหรือ” เขาเดินเข้ามาหาลฎาภาพยักหน้าแทนคำตอบด้วยความเขินอายพลางขยับตัวลงจากเตียงแต่ว่าขาสั่นจนแทบไม่มีแรง ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนเดินเข้ามาอุ้มเธอขึ้น นัยน์ตาคมมองร่างเปลือยที่เชยชมมาทั้งคืนมีร่องรอยตีตราจนนับไม่ถ้วน“ฉันเดินเองได้ค่ะ”อวิ่นเยว่หัวเราะในลำคอ “แสดงว่ายังมีแรงเหลือสินะ”“คุณเผิง !” เธอแก้มแดงผ่าวร้อนขึ้นมาทันทีชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะอุ้มหญิงสาวมายังห้องน้ำ เขาวางเธอลงบนขอบอ่างอาบน้ำก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณอาบน้ำไหวไหม ?”“ไหวค่ะ คุณออกไปเลยนะคะ” ลฎาภาตอบกลับในทันทีอวิ่นเยว่ยิ้มข
Chapter 57การเคลื่อนไหวของร่างกายรุกล้ำเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด อวิ่นเยว่ดันร่างเล็กให้ชนชิดกับผนังกำแพง บดจูบขยี้ริมฝีปากด้วยความโหยหา คราวนี้ทำเธอหายใจลำบากจึงต้องดันเขาออกห่าง แต่กลายเป็นว่าการพักนั้นทำให้ชายหนุ่มรุกล้ำลิ้นเข้ามาได้สำเร็จ“อื้อ” เสียงร้องครางดังประท้วงบอกจนต้องถอนจูบออกด้วยความเสียดาย อวิ่นเยว่จ้องมองใบหน้าเนียนสวยแดงก่ำก้มหลบเขินอาย มือข้างหนึ่งเชยขึ้นให้สบตาอีกครั้งและจูบหยอกเย้าเบา ๆ จนสติสัมปชัญญะของหญิงสาวหลุดล่องลอยไปลฎาภาควบคุมความต้องการของร่างกายไม่ได้ราวกับว่าไม่ฟังสิ่งที่สมองสั่งการสักนิด เธอเผลอให้ความปรารถนาที่อยู่ภายในจิตใจเข้าครอบงำจนหมดสิ้น จูบเร่าร้อนอ่อนโยนจนแทบระทวยนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยโหยหามากที่สุดแต่...ที่บ้าที่สุดคือการตอบสนองเผลอไปกับคารมของเขา !อวิ่นเยว่จูบซับไปตามใบหน้าไล่จนมาถึงต้นคอของหญิงสาว มือที่เคยรั้งเอวไว้คลายออกล้วงเข้าไปในสาบเสื้ออย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้มือปลดเสื้อผ้าส่วนบนออกโยนทิ้งลงพื้นในขณะที่สติของเธอกำลังหลุดลอย“คุณเผิง” เธอเอ่ยเรียกชื่อเขา ทั้งที่ยิ่งเร
Chapter 56อวิ่นเยว่ผ่อนลมหายใจซุกที่หัวไหล่ของเธอ “นะ”เพียงคำเดียวก็รู้ถึงความหมายที่เขาต้องการบอกว่า ‘ขอซุกหน้าอกแบบอาหยูด้วยคน’“ทำไมอาหยูถึงได้ แล้วผมไม่ ?”ไม่น่าถามนะคำถามนี้ คุณเผิง !“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเข้มพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง“อาหยูเป็นเด็ก”“เหรอ” เขาขานรับอย่างจำใจก่อนจะขยับตัวหันมา นัยน์ตาคมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขาต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่คิดอะไรเกินเลยตอนนี้ ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานแค่ไหนกัน“เราขึ้นกันเถอะ อาหยูกำลังรออยู่”อวิ่นเยว่พูดพลางขยับตัวออกห่างจากหญิงสาว ก่อนจะลุกขึ้นโดยลืมไปว่าร่างเปลือยของเขานั้นเธอได้เห็นเต็มสองตา !ลฎาภาอึ้งนิ่งค้างจนทำอะไรไม่ถูก เขาลืมไปไหมว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ “คุณเผิงรีบออกไปเลยนะคะ !”อวิ่นเยว่หันมองและเพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้โชว์กายให้หญิงสาวมองอยู่นั่นเอง เขาทำหน้านิ่งรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเดินออกจากห้องน้ำไปอย่าง
Chapter 55หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าผ่องจึงจัดการเก็บครัวและกลับบ้านไป ทางด้านลฎาภาที่ไม่รู้สึกคุ้นชินบ้านหลังใหญ่จึงทำตัวไม่ค่อยถูก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะไปตรงไหนต่อดี จึงได้แต่ยืนงงอยู่หน้าบันไดเป็นเวลานาน“หม่าม้า” เจ้าตัวกลมเดินเข้ามาดึงชายเสื้อของเธอและออกแรงลาก“อาหยู...”เธอเอ็นดูก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรเหรอจ๊ะ”“อาบน้ำกับอาหยูได้ไหม” น้ำเสียงออดอ้อนและแววตาของ เจ้าตัวกลมทำให้ลฎาภานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธหรอกนะ เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ยังพักฟื้นไม่สมบูรณ์ ก็ไม่อยากจะใช้แรงดูแลเด็กมากนัก แต่ถ้าหากปฏิเสธไปจะเป็นการทำร้ายจิตใจหรือเปล่านี่สิ“ไม่ได้เหรอ” เสียงอู้อี้ในปากและท่าทางออดอ้อนของเจ้าตัวกลมทำให้หญิงสาวรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อเด็กผู้ชายน่ารัก ๆ ทว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้แตกต่างจากการพบกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรก“แต่ว่านะ...”“ได้สิ” เสียงของอวิ่น