แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: Phat_sara
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-04 16:30:01

ชีวิตบัดซบ!

มีใครรันทด ดวงตก เทวดาไม่รักหนักเท่าฉันบ้างไหม? คงมีสินะคะ บนโลกนี้มีคนเป็นล้านคนฉันก็แค่คนหนึ่ง แค่ชีวิตเล็กๆ ที่ต้องเจอบททดสอบของชีวิตใช่ไหม

“ฮึก! ฮื่อ~” ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องนอนเล็กๆ ของตัวเอง ฉันเกลียดการร้องไห้ ฉันไม่ชอบการร้องไห้ที่สุด เพราะไม่ว่าฉันจะร้องด้วยความเจ็บปวดเสียใจแค่ไหน ร้องเป็นชั่วโมงหรือร้องทั้งวัน สุดท้ายก็มีแค่ฉันที่ต้องปลอบใจตัวเอง

...สุดท้ายก็มีแค่สองมือของฉันที่ต้องเช็ดน้ำตาของตัวเอง

“อีนับโว้ย! มึงไม่ไปทำงานทำการรึไงฮะ 2 ทุ่มแล้วนะ ถ้าไม่ไปทำก็เชิญเสด็จออกมาช่วยกูทำงานหน่อยเถอะอีคุณนาย! ว่างก็มาช่วยงานบ้านกูบ้าง!” เสียงคนที่ดังอยู่หน้าห้องทำให้ฉันต้องกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ให้ทำงานบ้านอะไรตอน 2 ทุ่มกัน ถ้าไม่ใช่มาเรียกให้ฉันทำกับแกล้มไปให้วงไพ่ของแก

“นับกำลังจะไปทำงานป้า” ฉันตะโกนตอบไปด้วยเสียงที่พยายามให้มันปกติ ป้าจันทร์ไม่ใช่คนที่จะหวังดีกับฉันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรที่จะให้ป้าจันทร์รู้ว่าฉันร้องไห้ ไม่งั้นคงได้ตีความว่าฉันร้องไห้เพราะโดนผู้ชายทิ้งโดยที่ยังไม่ได้ถามความจริงจากปากฉัน ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะนะ

ฉันฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาแต่งตัว แต่ไม่ได้ไปทำงานหรอกนะคะ ฉันโทรไปลางานเรียบร้อยแล้ว วันนี้ฉันแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย แต่ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า ไม่อยากฟังเสียงป้าจันทร์ตะโกนด่ากระแนะกระแหน ฉันเกรงใจชาวบ้านเขา

“นับ จะไปทำงานเหรอ” ฉันเดินออกมาจากบ้านจนจะถึงปากซอย รถของพี่อาร์ตก็ขับเข้ามา แล้วพี่เขาก็ชะลอรถทักทายฉัน

“พี่อาร์ต” ฉันมองหน้าพี่ชายข้างบ้านที่เป็นเพื่อนเล่นและคอยอยู่ข้างฉันในเวลาที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวมาตลอด ฉันเหมือนคนไร้ที่พึ่งจริงๆ พอเห็นหน้าเขาน้ำตามันก็ไหลออกมาในทันที

“เฮ้ยนับ! เป็นอะไร” พี่อาร์ตอุทานด้วยความตกใจแล้วก็รีบลงจากรถมาหาฉัน

“ฮื่อๆๆๆ พี่อาร์ต” ฉันโผเข้ากอดพี่อาร์ตเต็มแรงเหมือนคนที่ต้องการหาที่พักพิง แค่ใครสักคนก็ได้ที่พอจะรับฟังฉัน

“นับใจเย็นๆ ขึ้นรถพี่ก่อนเร็ว” พี่อาร์ตดูจะตกใจที่เห็นท่าทางของฉันในตอนนี้

มันไม่บ่อยที่ฉันจะร้องไห้ให้ใครเห็น เพราะหลังจากพ่อแม่ไม่อยู่ชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากที่เคยร้องไห้ให้กับทุกอย่างที่เจอในช่วงแรก ฉันต้องพยายามอย่างมากที่จะเช็ดน้ำตาทิ้งให้หมดเพื่อต่อสู้กับชีวิต แล้วพอยืนได้ ฉันก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย

“นับเป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม ไปทำงานไหวรึเปล่า” พอขึ้นมาบนรถพี่อาร์ต ฉันก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด

“ไม่ค่ะ ฮึก! นับลางานแต่ไม่อยากอยู่บ้าน ฮื่อๆ ขอนับไปหลบที่บ้านพี่อาร์ตก่อนได้ไหมคะ” ฉันตอบพี่อาร์ตไปเช็ดน้ำตาไป

“ได้สิ ไปบ้านพี่กันเนอะ” พี่อาร์ตตอบฉันแล้วก็บีบมือฉันเพื่อให้กำลังใจ

“ตามสบายนะนับ” พอเดินเข้ามาในบ้านพี่อาร์ตโดยการหลบสายตาจากบ้านรั้วข้างๆ จนเข้ามาในบ้านได้เรียบร้อย ฉันก็ไปนั่งทำใจอยู่ที่โซฟาโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเห็นฉันในสภาพนี้ พี่อาร์ตอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เพราะพ่อกับแม่พี่เขาย้ายไปใช้บั้นปลายชีวิตที่ต่างจังหวัดแล้ว

“ขอบคุณนะคะพี่อาร์ต”

“อื้อ พี่ไม่รู้ว่าเรามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรอกนะ แต่คงหนักจนเด็กเก่งของพี่ทนไม่ไหวใช่ไหม” พี่อาร์ตนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามแล้วก็พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และสายตาที่มองฉันด้วยความเป็นห่วง จนฉันน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ

“ฮื่อๆๆ ไม่ไหวค่ะ นับไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรมันเข้ามาถาโถมนับนักหนา” ฉันปล่อยโฮอีกรอบเพราะความเก็บกดที่มีอยู่ในใจมานาน

“ถ้าสบายใจแล้วอยากเล่าหรืออยากระบายพี่พร้อมรับฟังนะนับ”

“นับอยากหายไปพี่อาร์ต นับคิดถึงพ่อกับแม่” ฉันเช็ดน้ำตาแล้วก็ตอบพี่อาร์ตเสียงแผ่ว จะดีแค่ไหนนะถ้าฉันเหนื่อยหรือทุกข์ใจแล้วได้อ้อมกอดอบอุ่นของพวกท่าน ฉันว่าความเจ็บปวดในใจฉันมันจะต้องลดน้อยลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อแค่เพราะมีกอดที่อบอุ่นของพวกท่านแน่ๆ

...ฉันอยากได้อ้อมกอดของคนที่รักฉัน มากอดฉันเวลาที่ฉันทุกข์ใจ เสียใจ หรือมีปัญหากับทุกเรื่องที่เจอ ไม่ต้องช่วยฉันแก้ปัญหาก็ได้ แค่กอดฉันเอาไว้ก็พอ

“อย่าคิดแบบนั้น พ่อกับแม่นับท่านจะไม่สบายใจ ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงไม่ใช่รึไง” พี่อาร์ตขยับมานั่งข้างๆ แล้วก็ดึงฉันเข้าไปกอด พร้อมกับตบหลังฉันเบาๆ

“นับเหนื่อย โดยเฉพาะตอนนี้ มันเหนื่อยมากเลยค่ะพี่อาร์ต”

“ไม่เป็นไรนะนับ ไม่เป็นไร” พี่อาร์ตยังคงปลอบฉัน โดยที่ไม่ได้เซ้าซี้ถามเลยสักนิดว่าฉันร้องไห้เพราะเรื่องอะไร ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วสำหรับฉัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่พร้อมที่จะบอกใคร

-2 เดือนต่อมา –

นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เรื่องเลวร้ายบัดซบที่สุดในชีวิตของฉันได้เกิดขึ้น ฉันก็ไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นอีกเลย เพราะฉันลาออกจากผับที่เคยทำงาน แล้วไปทำที่อื่นแทน ฉันกลัวการที่จะต้องพบเจอหน้าเขาค่ะ แค่นี้ก็เกลียดมากพอแล้ว ผู้ชายเฮงซวย!

“นับเงินๆ” เสียงแพรไหม เพื่อนในมหาลัยของฉันตะโกนเรียกฉันมาแต่ไกล จนทำให้ฉันต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงตัวนางก่อนที่นางจะตะโกนลั่นไปมากกว่านี้

“มาแล้วจ้า ตะโกนจนโรงอาหารแทบแตกแหนะ” พอไปถึงฉันก็ล้อแพรไหมเพราะนางตะโกนดังจริงๆ ค่ะ สมฉายาแพรไหมเสียงโทรโข่ง

“อิอิ ก็ไหมกำลังตื่นเต้นกับงานของอาจารย์สุชาตินี่” แพรไหมบอกใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพื่อนฉันคนนี้เป็นเด็กเรียนค่ะ รักการเรียนและชอบมากเวลาที่อาจารย์สั่งงานโหดหินมาให้ และพอนางบอกว่ากำลังตื่นเต้นกับงานของอาจารย์สุชาติ ฉันก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างว่างานนี้จะต้องโหดมากแน่นอน

“แค่เห็นไหมตื่นเต้น นับก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าจนใจจะหยุดเต้นแล้ว” ฉันตอบแพรไหมไปพร้อมใบหน้าเซ็ง วันนี้อาจารย์ยกคลาส แต่สั่งงานที่เป็นโปรเจคสำคัญที่จะชี้ชะตาเกรดของวิชานี้โดยเฉพาะมาทางหัวหน้าแทน

“ไม่เอาสินับ งานน่ะยิ่งยากยิ่งท้าทาย เทอมหน้าต้องฝึกงานแล้วด้วย ถือเป็นการฝึกไปในตัวเลย ต่อไปต้องเจออะไรหนักกว่านี้อีกนะ” แพรไหมยิ้มตอบจนตาหยี แต่พอตัดมาที่อีนับเงินคนนี้ ขนาดยังไม่ได้รู้เลยว่างานคืออะไรก็จิตใจห่อเหี่ยวแล้ว

พอแพรไหมบอกว่าอาจารย์ให้ทำอะไรฉันก็แทบกรีดร้องให้ลั่นโรงอาหาร ให้ไปขอสัมภาษณ์ประสบการณ์การทำงานจากนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงเนี่ยนะ แถมยังกำหนดรายชื่อมาให้นักศึกษาแต่ละคนแล้วเรียบร้อย

นับเงินขอเน้นย้ำว่าแค่กำหนดชื่อของนักธุรกิจมาให้นะคะ แต่อาจารย์ไม่ได้บอกคนที่พวกเราจะไปสัมภาษณ์ให้รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาคือคนที่ถูกเลือก WTF!

นี่จะให้นักศึกษาไปหาวิธีเข้าถึงและขอสัมภาษณ์เองเนี่ยนะ! บ้าไปแล้ว เด็กใส่ชุดนักศึกษากะโปโลไปขอสัมภาษณ์ ใครเขาจะบ้าสละเวลาอันมีค่ามาให้กันเล่า หนังสือขอความอนุเคราะห์จากมหาลัยฯ ก็ไม่มี

Line!

เสียงไลน์กลุ่มคณะดังขึ้น มาทำให้ฉันกับแพรไหมรีบเปิดอ่านเพราะอาจารย์บอกว่าจะส่งรายชื่อมาให้ในไลน์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังลุ้นกันตัวโก่งว่าจะได้ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจท่านใด

“ครินทร์ ศิริวัฒนากูล...” ฉันพยายามลากสายตาตามช่องรายชื่อของฉันช้าๆ หลายรอบ เผื่อว่าฉันอาจจะตาลายจนสลับบรรทัด แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ ชื่อนั้นนั่นแหละถูกต้องแล้ว ชื่อของคนที่ฉันต้องไปขอสัมภาษณ์

“นับ นับเงิน! เป็นไรอ่ะหน้าซีดเชียว” แพรไหมเรียกฉันซ้ำๆ พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง

“ซวยแล้วไหม” ฉันมองหน้าแพรไหมเหมือนคนสติหลุด แล้วก็ตอบแพรไหมช้าๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

“อะไรเหรอนับ ไหมไม่เข้าใจ” แพรไหมทำหน้างงหนัก เพราะท่าทีของฉันที่อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้

“นับซวยแล้ว เจอเจ้ากรรมนายเวร...”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 121

    “อ๋อ สินสอดไงครับ”“อ้าว พี่คริชไม่เอาไปเก็บเหรอคะ”“เก็บทำไมไม่ใช่ของพี่ สินสอดหนูก็ต้องให้หนูเก็บสิครับ คนของคุณแม่ที่ดูแลสินสอดในงานเขายกเข้ามาให้”“ของนับอะไรคะของพี่คริชต่างหาก รีบเก็บเลยค่ะมันอันตราย” ฉันรีบบอกพี่เขาที่เอาแต่พูดเล่น ถ้าบอกว่าเป็นกระเป๋าสินสอดฉันก็อยากให้รีบเก็บในที่ปลอดภัย คือ

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 120

    “ยังไม่เคยทำได้สักครั้งเลยนะคะพี่คริช นับกินยาคุมดีกว่าค่ะ แล้วนั่นถุงอะไรคะถุงร้านขายยารึเปล่าทำไมมันใบใหญ่จังเลย” ฉันเพิ่งสังเกตเห็นถุงที่พี่คริชวางไว้ที่โต๊ะ ถุงจากร้านขายยาแต่ใบใหญ่ ไม่รู้พี่คริชเป็นอะไรรึเปล่า“อ๋อ ถุงของใช้ส่วนตัวพี่ หนูอยากดูไหม” พี่คริชยิ้มแล้วก็ยื่นถุงร้านขายยามาให้ฉัน ของใ

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 119

    ​“ว่าไงครับ แต่งงานกับพี่ได้ไหม เราแต่งงานกันนะ” พี่คริชกอดฉันพร้อมกับจูบที่ผมแล้วก็พูดออกมา น้ำเสียงของเขามันมีแต่ความอบอุ่น ฉันอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน เฮียเร่งให้ตอบน้องก็อยากตอบ อยากตอบตั้งแต่เฮียพูดคำแรกแล้วแต่มันมัวแต่ตะลึงตื่นเต้นดีใจร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลยไม่ทันได้ตอบไงคะ“แต่งค่ะ นับจะแต่งงาน

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 118

    หมับ!“ไม่ต้องกิน” พี่คริชคว้าข้อมือฉันที่กำลังจะลุกวิ่งเอาไว้พร้อมกับพูดเสียงแข็ง“คะ?” พูดมาว่า ไม่ต้องกิน แสดงว่าพี่เขาเข้าใจสินะว่าฉันหมายถึงอะไร“พี่บอกว่าไม่ต้องกินไงครับ ห้ามกินพี่ไม่ให้หนูกิน”“กินฉุกเฉินแค่วันนี้แล้วค่อยกินแบบปกติค่ะ ไม่ได้กินยาคุมฉุกเฉินมานานแล้วไม่อันตรายหรอกนะคะ” ลืมไปค่

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 117

    ไม่อยากจะบอกแต่ก็ต้องบอกว่าสาว ๆ ที่นี่จ้องพี่คริชตาเป็นมันกันทั้งนั้น ซึ่งมันก็เรื่องปกตินะคะไม่มองสิแปลกผู้ชายของนับเงินหล่อลากไส้ หล่อระทดนกเขาระทวยขนาดนี้ ฮ่า ๆๆ“คริช~ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ นีน่าคิดถึงจังเลย” นั่งสวีทกันได้สักพักก็มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ใส่ชุดเดรสสีแดงเพลิงเดินเข้ามาทักพี่คริช อื้อ

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 116

    “เลิกหื่นก่อนค่ะ หิวรึยังคะ” ฉันดุเบา ๆ แล้วก็ถามพี่คริชที่กำลังเอามือมาปัดปอยผมให้ฉัน“หิวแล้วครับ แต่ที่จริงขอไข่ลวกสัก 10 ฟองกับนมสัก 2 ก็น่าจะพอนะ” พี่คริชบอกแล้วก็ลดสายตาลงมองหน้าอกของฉัน“พี่คริช!”“ฮ่า ๆๆ ไม่เขินสิที่รัก มา ๆ มาให้ผัวโอ๋เร็ว” พี่คริชหัวเราะอารมณ์ดีแล้วก็ดึงฉันไปกอด นึกว่าจะจบ

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 115

    เมียผมเป็นตัวร้าย! นอกจากความคิดความอ่านจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้วสกิลการยั่วยังก้าวกระโดด ตอนแรกที่ก้มหน้าลงมาจูบผมก็ไม่ได้ว่าหรอกนะครับ อยากจูบแฟนอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าจะกล้าขนาดล้วงเข้าไปจับลูกชายของผมคลึงเล่นขนาดนั้น พอห้ามเหมือนทุกครั้งก็นึกว่าจะฟัง ที่ไหนได้ดันเอานมมายัดปากแทน แล้วผมจะ

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 114

    “นกเขาของพี่คริชก็ห้ามระทวยก่อนนะคะ” ฉันลูบแก้มของเขาด้วยความรัก แล้วก็ข่มกลับเพื่อแกล้งเล่น พี่คริชถึงกับกระตุกยิ้มร้าย ๆ พร้อมกับมองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์“พูดเหมือนไม่รู้จักผัวตัวเอง~” พอพูดจบพี่คริชก็ปิดปากของฉันด้วยปากของเขา จูบดุเดือดเริ่มต้นอีกครั้ง พร้อมกับความบ้าของฉันที่เพิ่มมากขึ้น ก็ไอ้นั

  • So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์   บทที่ 113

    “อืม~” พี่คริชครางในลำคอแล้วก็เหมือนจะผลักฉันออก มือที่กำลังลวนลามหน้าอกของพี่คริชก็เลยดิ่งลงไปตรงเป้าพี่เขาอย่างรวดเร็ว ไม่อยากจะกรี๊ดแต่ขอกรี๊ดในใจเพราะว่าตอนนี้สากพี่เขาพร้อมตำมาก~ >///เห็นนางนิ่ง ๆ ที่จริงนางตื่นนะคะ ตื่นตอนไหนก็ไม่รู้“อืม~”ฉันทั้งบีบทั้งนวดท่อนเอ็นแข็ง ๆ อุ่น ๆ ที่มีกางเกงน

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status