หลังผ่านพ้นทุ่งละเมอที่เกือบทำพวกเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก พวกของไรอันก็เดินทางมาถึงจุดหนึ่งกลางป่าที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก เสียงก้าวเดินที่ดังกึกก้องจากทิศทางเบื้องหน้าบ่งบอกว่ามีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนที่เข้ามา ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างเตรียมตัวพร้อมรับมือ ด้วยความระมัดระวังที่พวกเขาเคยชินกับการเผชิญหน้าศัตรูทุกเมื่อ
แต่เมื่อเห็นกองทัพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขากลับต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเหล่าทหารในชุดเกราะสีเงินสว่างเจิดจ้า ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม ธงประจำอาณาจักรแอสทาราปลิวไสวในอากาศ ผืนธงนั้นมีรูปดวงอาทิตย์สีทอง ที่ส่องแสงรอบด้าน ล้อมรอบด้วย ลวดลายเกลียวของธาตุทั้งสี่ (น้ำ ไฟ ดิน ลม) ที่หมุนวนเข้าหากัน สื่อถึงความสมดุลและการทำงานร่วมกันของพลังแห่งธรรมชาติ พื้นหลังของธงเป็น สีฟ้าอ่อน ที่สื่อถึงท้องฟ้าและสันติสุข ธงนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นปึกแผ่นของแอสทารา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างพลังที่หลากหลายเพื่อให้เกิดความสงบสุขในอาณาจักร พวกเขาถือดาบที่เปล่งประกายแสงแห่งความยุติธรรม และมีออร่าที่ทรงพลังล้อมรอบตัว พวกทหารเหล่านี้เดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ เสียงเกราะกระทบกันเบาๆ ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ข้างหน้าของพวกเขาคือแม่ทัพที่นำกองทัพนี้ด้วยท่าทีองอาจและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม่ทัพผู้สวมหมวกเกราะที่มีขนสีทองปักไว้ที่ยอด สะท้อนแสงแดดที่ส่องลงมา เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าไรอัน ใบหน้าที่แสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวแต่ยังคงความอ่อนโยนในสายตา เขาค้อมหัวเล็กน้อยให้ไรอันและพวกพ้อง เป็นการแสดงความเคารพ ที่ทำให้ไรอันรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นี้เพียงลำพัง "ข้าแม่ทัพอาร์เดน นำทัพมาจากเมืองหลวงเอลดูรา กษัตริย์แห่งแอสทาราทรงทราบถึงสถานการณ์ที่ท่านต้องเผชิญ และส่งพวกเรามาเพื่อช่วยเหลือ" แม่ทัพอาร์เดนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมีอำนาจ เขามองดูไรอันและพวกพ้องอย่างจริงจัง "ข้าทราบดีว่าพวกท่านได้ต่อสู้กับความมืดมาอย่างยาวนาน แต่บัดนี้ ท่านไม่ได้ต่อสู้อยู่ลำพังอีกต่อไปแล้ว" ไรอันรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น การที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์และกองทัพแอสทาราทำให้เขารู้สึกถึงความหวังที่เคยเลือนลางกลับมาอีกครั้ง ลีอาและเอลเลียตต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่คิดว่าการเดินทางอันยาวนานนี้จะนำพวกเขามาพบกับพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ "ข้ารู้สึกซาบซึ้งในความช่วยเหลือของพวกท่าน ข้าคือไรอัน และคนเหล่านี้คือลีอา เอลเลียต และอาเรียน่า พวกเรามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำลายพลังเงามืดของลูเซียส ซึ่งกำลังคุกคามทั้งอาณาจักรแอสทาราและทุกชีวิตในดินแดนนี้" ไรอันกล่าวด้วยความจริงจังในเสียงของเขา แม้เขาจะรู้สึกยินดีที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่ลืมถึงภารกิจสำคัญที่ยังคงรออยู่เบื้องหน้า แม่ทัพอาร์เดนพยักหน้าอย่างเข้าใจ "ข้าทราบถึงภัยคุกคามของลูเซียส และข้าเชื่อว่าด้วยการร่วมมือของพวกเรา เราจะสามารถหยุดยั้งความมืดนี้ได้ พวกทหารของข้ามีพลังธาตุหลากหลายที่พร้อมจะสนับสนุนการต่อสู้ของพวกท่าน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำ ดิน ไฟ หรือแม้กระทั่งลม พวกเรามาที่นี่เพื่อร่วมรบเคียงข้างท่าน จนกว่าจะเอาชนะความมืดนี้ได้" เมื่อคำพูดของแม่ทัพจบลง ทหารแต่ละคนที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างก็ก้าวออกมา พวกเขาแสดงความสามารถของตนอย่างพร้อมเพรียง ทหารที่มีพลังธาตุไฟสร้างเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรอบดาบของตน ทหารที่มีพลังธาตุน้ำเรียกกระแสน้ำขึ้นมาล้อมรอบตัว ทหารธาตุดินใช้พลังยกแผ่นดินขึ้นมาเป็นกำแพงเพื่อป้องกัน และทหารธาตุลมสร้างกระแสลมที่หมุนวนอย่างรุนแรง ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะร่วมสู้กับพวกไรอันเพื่อเอาชนะศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไรอันมองดูทหารเหล่านั้นด้วยความรู้สึกอุ่นใจ เขาหันไปหาพวกพ้องของเขา และพบว่าในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวังและความกล้าที่กลับมาอีกครั้ง เขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยพันธมิตรใหม่เหล่านี้ เขาเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถฝ่าฟันไปได้ “ขอบคุณ... ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พวกท่านทำ ข้าสัญญาว่าเราจะร่วมกันต่อสู้จนกว่าความมืดจะถูกขับไล่ออกไป และอาณาจักรของเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง” ไรอันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม่ทัพอาร์เดนยิ้มให้ไรอันและกล่าวด้วยความเชื่อมั่น “พวกเราพร้อมแล้วที่จะนำแสงสว่างกลับมาสู่แอสทารา”เมื่อพันธมิตรทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน การเดินทางครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่นก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาจะเผชิญหน้ากับลูเซียสและพลังเงามืดที่คุกคามอาณาจักร และด้วยความร่วมมือกัน พวกเขาจะนำพาแสงสว่างกลับคืนสู่แอสทาราอีกครั้ง แต่มันจะเป็นเช่นที่พวกเขาหวังไว้แน่หรือ?ลูเซียสยืนนิ่งอยู่ในความมืดที่แผ่ซ่านไปทั่วห้อง ความมืดนี้ไม่ใช่แค่เงาหรือความมืดธรรมดา แต่มันคือพลังที่อยู่ในตัวเขามาตั้งแต่เกิด มันเป็นพลังที่ทำให้เขาถูกตัดสินและขับไล่ออกไปจากครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเงยหน้าขึ้นมองลีอาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความแค้นที่ถูกฝังลึกในใจมาเนิ่นนาน”ข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้น” ลูเซียสเริ่มเล่า น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่ทุ้มลึก “ข้าเกิดมาในตระกูลสูงส่งแห่งแอสทารา ข้าเคยมีทุกสิ่งที่เด็กคนหนึ่งต้องการ...มีบ้านที่อบอุ่น มีพ่อแม่ที่ข้าเคารพรัก แต่พวกเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อพวกเขารู้ว่าข้ามีพลังเงามืดในตัว” ลีอานั่งฟังด้วยความตั้งใจ หัวใจของเธอหนักอึ้งเมื่อได้ยินความเจ็บปวดในคำพูดของเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูเซียสต้องทนทุกข์กับอดีตเช่นนี้”ข้าจำได้ชัดเจน ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กแค่ 7 ขวบ ข้าคิดว่าพลังนี้เป็นสิ่งพิเศษ ข้ารู้สึกแตกต่าง แต่ข้ากลับไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงทำให้คนอื่นๆ กลัว ข้าพยายามใช้มันเพื่อแสดงให้พ่อแม่เห็นว่า ข้าสามารถปกป้องพวกเขาได้ แต่สิ่งที่ข้าได้รับกลับเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจ” ลูเซียสหยุดไปช
ชีวิตของไรอันและลีอาเดินหน้าไปสู่ความสงบสุขที่พวกเขาเคยฝันถึง หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของพวกเขาต้องบอบช้ำ พวกเขาก็ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น หมู่บ้านที่เคยถูกครอบงำด้วยเงามืดกลับมาสดใสอีกครั้ง และชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีและความหวังลีอาและไรอันมีลูกแฝดชายหญิงที่เปรียบเสมือนดวงดาวสว่างไสวในชีวิตของพวกเขา เด็กทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสาและความสดใสที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้สึกถึงความหวังและความสุขที่แท้จริง ครอบครัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรัก ไรอันเป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปกป้องลูกๆ ด้วยชีวิต ขณะที่ลีอาเป็นแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน คอยดูแลทุกคนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักในขณะเดียวกัน เอลเลียตและเฟนิกซ์ก็ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองและค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต พวกเขาเลือกที่จะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้านอาเรียน่าเองก็เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไป เธอตัดสินใจออกเดินทาง
ลูเซียสหายใจลึก รู้สึกถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากบ่าของเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ว่าความมืดในจิตใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและหาความสงบสุขในตัวเองก็มีมากกว่าลีอาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างไรอันก็ยิ้มให้ลูเซียสด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ “ข้ายังเชื่อในตัวเจ้า ลูเซียส ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร เจ้าก็แค่ต้องการคนที่จะเชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างเจ้า”อาเรียน่าก้าวเข้ามาสมทบ “เราเป็นครอบครัว... ครอบครัวที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”ลูเซียสมองดูพวกเขาทั้งสี่คน น้ำตาที่เก็บกดไว้ตลอดหลายปีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกถึงความโล่งใจและความหวังที่เคยสูญเสียไปนานแล้ว“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ” ลูเซียสกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษที่ข้าเคยเลือกทางที่ผิด และข้าขอโทษที่ข้าพยายามจะทำร้ายพวกเจ้า”“เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรอีกแล้ว” ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาใกล้ลูเซียสและยื่นมือออกไป “สิ่งสำคัญคือเจ้าได้กลับมา และเราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยกัน” ไ
"ในคืนหนึ่ง... ข้าจำได้ว่าแม่ของข้าไม่ได้มาร่ำลาข้า ข้าเพียงเห็นแผ่นหลังของพ่อที่หันมาเอ่ยคำสุดท้ายกับข้า 'เจ้าต้องไป...เพื่อปกป้องตระกูล' คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหัวข้าตลอดมา ข้าถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกส่งไปในป่าลึก โดยไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะมาอธิบายว่าเหตุใด ข้าเป็นแค่เด็ก แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ในความมืด โดยไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีความอบอุ่นของครอบครัว" เขาก้มหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น"ตอนที่ข้าจากไป ไรอันยังไม่เกิด พ่อและแม่ของเราคิดว่าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าถูกลบออกจากความทรงจำของครอบครัว...และไรอัน เขาเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา"ลีอาหันไปมองลูเซียสอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน ลูเซียส...พี่น้องร่วมสายเลือดของไรอัน ถูกผลักไสออกจากครอบครัวในวัยเด็ก เพียงเพราะพลังที่เขาไม่ได้เลือกที่จะมี"ข้าเร่ร่อนอยู่ในป่า เดียวดายและเต็มไปด้วยความกลัว ข้าไม่รู้ว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ารอคอยวันที่ครอบครัวจะมารับข้ากลับ แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ข้าโตขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวและความเกลียดชัง ข้าเรียนรู้ที่จะใช้พ
แต่ลีอากลับก้าวออกมาจากเงามืดนั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าไรอันและอาเรียน่า น้ำตาของเธอไหลลงมาเมื่อเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพวกเขา “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษที่ข้าเคยละทิ้งพวกเจ้า...”ไรอันยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้าวเข้ามากอดเธอไว้ “ไม่เป็นไร ลีอา เจ้ากลับมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวอาเรียน่าเริ่มส่องประกายอย่างแรงกล้าอีกครั้ง ลูเซียสรู้สึกถึงพลังที่ถอยห่างจากตัวเขา ความมืดที่เคยทำให้เขาแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวและอ่อนแรงลง “ไม่... ไม่!” ลูเซียสตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่พลังที่เขาเคยยึดมั่นกลับหายไปทีละน้อย เงามืดที่เคยล้อมรอบตัวเขาเริ่มจางหายไป ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนเข้าสู่แสงสว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลีอายังคงมองไปทางลูเซียสที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน ดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจสะท้อนถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เธอมีต่อลูเซียส แม้ว่าเธอจะถูกสะกดจิตในช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แต่เธอก็สามารถจดจำทุกเรื่องราวท
พลังเงามืดของลูเซียสถูกต้านทานด้วยบาเรียน้ำของไรอันและแสงสว่างของอาเรียน่า แต่ลูเซียสก็ไม่ยอมแพ้ เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและปล่อยคลื่นพลังมืดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน มันเป็นพลังที่ถูกหล่อหลอมจากความแค้นและความโดดเดี่ยว คลื่นพลังมืดที่เขาปล่อยออกมานั้นไม่เพียงแต่รุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ลูเซียสไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้หรือยอมให้ใครเข้ามาขวางทางเขาได้อีก เอลเลียตที่เป็นด่านแรกของการป้องกัน ยังคงยืนหยัดไม่ถอย เขาใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่พื้นอีกครั้งเพื่อสร้างแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพลังเงามืด แต่ความรุนแรงของพลังมืดนั้นกลับทำให้พื้นดินแตกออกเป็นรอยแยก ลมพายุจากพลังมืดกวาดเอาเศษซากและฝุ่นผงขึ้นมาหมุนวนรอบตัวเอลเลียต ทำให้การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ตาม เอลเลียตยังคงยืนอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนร่วมทางของเขา “พวกเจ้ารีบทำสิ่งที่ต้องทำ!” เขาตะโกนด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยพลัง “ข้าจะยืนหยัดตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ไรอันรู้ดีว่