เหม่ยหลินเชฟหญิงผู้โด่งดังจู่ๆ ก็ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหญิงสาสใจร้ายที่ยากจนและไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
View Moreกลิ่นหอมหวลของน้ำมันงากับกระเทียมเจียวฉุนกึกไปทั่วทั้งครัวสเตนเลสสตีลขนาดใหญ่ อุณหภูมิภายในห้องที่สูงลิบไม่ได้ทำให้สติของ เหม่ยหลิน วัยสามสิบห้าปีสะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย ใบหน้าเรียวสวยที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นยามอยู่นอกครัว บัดนี้กลับเคร่งขรึมและเปี่ยมด้วยสมาธิ ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องไปยังกระทะใบยักษ์เบื้องหน้า ที่กำลังเดือดพล่านด้วยความร้อนระอุจากเตาแก๊สแรงดันสูง
"ผักบุ้งไฟแดงสามที่! กุ้งผัดพริกเกลือหนึ่ง! ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วสอง!" เสียงตะโกนสั่งจากหัวหน้าเชฟประจำไลน์ดังสนั่น เหม่ยหลินไม่รอช้า มือหนึ่งตวัดกระบวยเหล็กตักน้ำมันร้อนจัดราดลงบนกุ้งตัวโตที่กำลังถูกทอดในอีกกระทะจนผิวส้มสวย อีกมือก็ตวัดผักบุ้งที่เพิ่งลงกระทะแรงๆ เพียงไม่กี่ครั้ง เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้นท่วมกระทะ ราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ แต่เหม่ยหลินกลับนิ่งสงบราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเปลวไฟนั้น เธอคือเชฟกระทะเหล็กแห่งภัตตาคาร 'มังกรทอง' ภัตตาคารอาหารจีนหรูใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เลื่องชื่อเรื่องรสชาติอาหารระดับห้าดาวและการตกแต่งที่วิจิตรบรรจง เธอสั่งสมประสบการณ์ในเส้นทางนี้มานับสิบปี ฝึกฝนฝีมือจนได้รับการยอมรับจากทั้งเชฟรุ่นอาวุโสและบรรดานักชิมทั่วสารทิศ การทำอาหารไม่ได้เป็นเพียงอาชีพ แต่มันคือ ชีวิตและจิตวิญญาณ ของเธอ "เชฟเหม่ย! ผักบุ้งไฟแดงของคุณนี่ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ครับ! ดูสีสิครับ! เขียวสดเหมือนเพิ่งเด็ดมาจากต้น แถมยังกรอบสะเด็ดอีก!" เชฟฝึกหัดคนหนึ่งเอ่ยชมด้วยความชื่นชมยามที่เธอกำลังตักผักบุ้งใส่จานอย่างประณีต เหม่ยหลินเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร เธอเดินไปหยิบปลาหิมะตัวอวบที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ วางลงบนจานอย่างเบามือ ไอความร้อนจากปลานึ่งลอยขึ้นกระทบใบหน้า เผยให้เห็นเนื้อปลาสีขาวผ่องราวหิมะ โรยหน้าด้วยขิงซอย ต้นหอมซอย และพริกแดงซอยอย่างวิจิตร ก่อนจะราดน้ำซีอิ๊วสูตรพิเศษลงไปอย่างช้าๆ กลิ่นหอมฟุ้งของซีอิ๊วชั้นดีกับน้ำมันงากระตุ้นต่อมรับรสของทุกคนในครัวให้ทำงานทันที "เชฟเหม่ยหลิน! คุณนี่แหละคืออัจฉริยะในเรื่องรสชาติ!" หัวหน้าเชฟใหญ่ประจำภัตตาคารที่ยืนดูอยู่ห่างๆ เอ่ยชมด้วยความพึงพอใจ "วันนี้นอกจากเมนูที่คุณทำแล้ว อีกสองโต๊ะก็ยังสั่งติ่มซำที่คุณรังสรรค์ขึ้นมาอีกด้วย ทุกคนต่างชื่นชมไม่ขาดปาก!" เสียงชมเชยจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าเชฟเป็นรางวัลที่หอมหวานสำหรับเหม่ยหลิน เธอรู้ดีว่าเธอมาไกลแค่ไหนจากเด็กสาวบ้านนอกที่หลงใหลการทำอาหาร จนกลายเป็นเชฟมืออาชีพที่กุมหัวใจนักชิมไว้ได้ งานเลี้ยงมื้อค่ำวันนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ เหม่ยหลินปลดผ้ากันเปื้อนออก สูดหายใจลึกๆ รับอากาศเย็นสบายหลังเลิกงาน เธอเดินออกมาจากภัตตาคารที่ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงและป้ายอักษรจีนโบราณอย่างงดงาม สองเท้าก้าวเดินไปตามถนนที่คึกคักไปด้วยแสงสีของป้ายไฟนีออนระยิบระยับ ผู้คนยังคงเดินสวนกันไปมาอย่างขวักไขว่ เหม่ยหลินคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางก้มหน้าลงอ่านหนังสือนิยายที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ เป็นเรื่องราวความรักย้อนยุคของจอมยุทธ์ในสมัยโบราณที่กำลังโด่งดัง เธอเพลินกับการอ่านจนไม่ทันสังเกตว่าตัวเองเดินมาถึงทางม้าลายแล้ว สัญญาณไฟคนข้ามเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผู้คนรอบข้างเริ่มก้าวขาลงสู่พื้นถนน เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นมองเห็นสัญญาณไฟสีเขียวชัดเจน เธอก้าวเดินตามฝูงชนไปอย่างไม่รีบร้อน สายตายังคงจับจ้องไปที่ตัวอักษรในหนังสือนิยายในมืออย่างไม่วางตา จู่ๆ... เสียงเบรกดังสนั่นแหวกอากาศยามค่ำคืน เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มผิดปกติ สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือ แสงไฟสีขาวจ้าพุ่งตรงเข้ามาหาเธอด้วยความเร็วสูง! ร่างกายของเธอถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วทุกอณู...ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง ตื่นขึ้นในแดนอดีต ความรู้สึกหนักอึ้งและปวดร้าวไปทั่วร่างดึงเหม่ยหลินให้กลับคืนสู่สติ เปลือกตาที่หนักอึ้งพยายามปรือเปิดขึ้นช้าๆ ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือ เพดานไม้เก่าๆ สีหม่น มีหยากไย่เกาะพะรุงพะรังอย่างหนาแน่น กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นไอดินและกลิ่นไม้เก่าโชยเข้าจมูกอย่างจัง มันไม่ใช่กลิ่นคุ้นเคยในห้องนอนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดของเธอ เธอพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ความเจ็บแปลบที่ท้ายทอยทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนไปเล็กน้อย มือเรียวบางยกขึ้นกุมขมับ พลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ ห้องที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด...แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ ห้องนอนแห่งนี้ช่างเรียบง่ายและเก่าแก่ มีเพียงเตียงไม้ที่เธอเพิ่งลุกขึ้นนั่ง โต๊ะไม้ตัวเล็กๆ ที่มีร่องรอยการใช้งานมายาวนาน และเก้าอี้ไม้ไม่กี่ตัวที่ดูทรุดโทรม ผนังห้องเป็นไม้กระดานสีซีดจาง มีรอยเปื้อนดำๆ ประปราย เสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวก็เป็นชุดผ้าฝ้ายสีทึมๆ ดูโบราณและไม่คุ้นตาเอาเสียเลย สายตาของเธอเคลื่อนไปสะดุดกับกลุ่มคนสี่คนที่นั่งรวมกันอยู่ตรงมุมห้อง ชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวหนึ่งคนที่กำลังตั้งครรภ์ ทุกคนดูอ่อนวัยและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ราวกับหลุดออกมาจากละครย้อนยุคที่เธอเคยดู พวกเขาดูซีดเซียวและมีท่าทางประหม่า ดวงตาของพวกเขามองมาที่เธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความ ตื่นตระหนก หวาดกลัว และแฝงไว้ด้วยความไม่ไว้วางใจ ราวกับเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่ปาน "น้ำ...ขอน้ำหน่อย" เสียงแหบแห้งเล็ดลอดออกมาจากลำคอที่แห้งผากราวกับทะเลทราย เธอกะพริบตาถี่ๆ พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ หญิงสาวที่ตั้งครรภ์ก็สะดุ้งเฮือก เธอตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะรีบลุกขึ้นพรวดพราด แทบจะวิ่งไปรินน้ำชาจากกาดินเผาใส่ถ้วยไม้เล็กๆ แล้วรีบนำมาให้เธอด้วยท่าทาง ลุกลนและระแวงจัด มือไม้สั่นจนน้ำชาในถ้วยกระฉอกออกมาเล็กน้อย เหม่ยหลินรับถ้วยน้ำมาจิบอย่างรวดเร็วเพื่อดับกระหาย แต่แล้ว...รสชาติแปลกๆ ก็แล่นเข้ามาในปาก มันเฝื่อนและมีกลิ่นดินจางๆ แถมเมื่อเธอก้มมองดูน้ำในถ้วยดีๆ ก็เห็นว่า มีตะกอนสีขาวขุ่นลอยอยู่ก้นถ้วย! "น้ำ...น้ำนี่มันไม่สะอาด" เธอกล่าวออกไปโดยไม่ทันคิด เพียงแค่คำพูดนั้นหลุดจากปาก สีหน้าของคนทั้งสี่ก็ซีดเผือดลงไปอีก พวกเขารีบลุกพรวดแล้ว คุกเข่าลงกับพื้นทันที โดยพร้อมเพรียงกัน สร้างความตกใจให้เหม่ยหลินไม่น้อย เด็กชายคนโตสุดที่ดูจะอายุราวสิบแปดปี ใบหน้าคมคายของเขาบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว เขาคือ หลี่เฟยหลง ผู้เป็นหัวหน้าของน้องๆ ทั้งปวง แม้จะยังเด็กแต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรับผิดชอบและแฝงความแข็งกร้าว ส่วนเด็กชายคนรองที่ดูอายุราวสิบห้าปี ใบหน้าฉายแววฉลาดและรอบคอบ แต่ก็ยังคงมีความหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด เขาคือ หลี่เฟยหาน ผู้ช่างสังเกต และเด็กชายคนเล็กสุดที่น่าจะอายุราวสิบปี รูปร่างผอมกะหร่อง ดวงตากลมโตกำลังฉายแววหวาดกลัวจัดจนน้ำตาคลอเบ้า เขาคือ หลี่เฟยหยาง ที่มักจะแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา และหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ที่น่าจะอายุราวสิบเจ็ดปี เธอคือ ชิวลี่ฮวา ภรรยาของหลี่เฟยหลง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราวสามสี่เดือน ใบหน้าอ่อนหวานของเธอบัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและตัวสั่นเทิ้ม "ท่านแม่! พวกบ่าวผิดไปแล้ว! โปรดอย่าลงโทษพวกบ่าวเลยเจ้าค่ะ/ขอรับ!" เสียงหวาดหวั่นปนเสียงสะอื้นของหลี่เฟยหยางทำให้เหม่ยหลินถึงกับ ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ท่านแม่? พวกบ่าว? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เจ้าของร่างเดิมนี่มันนิสัยไม่ดีขนาดไหนกันนะเนี่ย! ถึงได้ทำให้เด็กๆ เหล่านี้หวาดกลัวจนตัวสั่นได้ขนาดนี้! เหม่ยหลินคิดในใจอย่างหัวเสีย นี่มันไม่ใช่แค่ไม่ดี แต่มันเลวร้ายเลยล่ะมั้ง "ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรหรอก" เธอบอกเสียงอ่อน พยายามทำให้ทุกคนคลายความหวาดกลัวลง "แค่เอาน้ำสะอาดมาให้ข้าก็พอ...พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้โมโหหรือลงโทษตามที่คาดคิดไว้ ทุกคนจึงค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเธอ สายตาของหลี่เฟยหลงยังคงจับจ้องเธออย่างระแวง ไม่ยอมคลาย เหม่ยหลินสอดส่องสายตาสำรวจไปทั่วทั้งห้องอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นรายละเอียดปลีกย่อยมากขึ้น โต๊ะไม้มีรอยผุพังจนเนื้อไม้บวมโป่ง ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในห้องมีเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ละชิ้นก็เก่าแก่และทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด เธอเดินไปดูนอกหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏคือบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ใกล้กันก็ดูเก่าทรุดโทรมไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เล็กๆ หรือกระท่อมดินหลังคามุงจาก ถนนเบื้องล่างเป็นถนนลูกรังเต็มไปด้วยฝุ่นแดงๆ ผู้คนเดินไปมาบนถนนแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายสีทึมๆ ดูเรียบง่ายและเก่าคร่ำครึ ไม่มีตึกสูงระฟ้า ไม่มีแสงสีของป้ายไฟนีออน ไม่มีรถยนต์วิ่งพลุกพล่าน มีแต่รถลากที่เทียมด้วยคนหรือสัตว์ และรถจักรยานเก่าๆ ไม่กี่คัน บรรยากาศทั้งหมดบ่งบอกถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมหานครเซี่ยงไฮ้ที่เธอจากมา และที่น่าตกใจที่สุดคือผู้คนที่เดินสวนกันไปมานั้นล้วนเป็นชาวจีน ไม่ใช่ฝรั่งตาน้ำข้าวอย่างที่เคยเห็นในข่าวเกี่ยวกับคนจีนยุค 70 จากหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผอมแห้งกำลังหาบน้ำมาแต่ไกล ส่วนอีกคนกำลังอุ้มไก่เดินผ่านหน้าบ้านไป ทะลุมิติแน่ๆ! แถมดูท่าจะมาอยู่ในยุค 70 ที่แร้นแค้นซะด้วย! เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อภาพความทรงจำเกี่ยวกับรถชนยังคงวนเวียนในหัว ภาพสุดท้ายคือแสงไฟจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้ามาหาเธอ เธอกวาดสายตามองสภาพบ้านที่ทรุดโทรมและข้าวของเครื่องใช้ที่บ่งบอกว่า ครอบครัวนี้ "จน" แทบจะไม่มีอะไรเลย นี่แหละคือความจริงที่เธอต้องเผชิญ ความจริงที่ว่าเธอต้องมาติดอยู่ในร่างของ "แม่เลี้ยง" ที่ใจร้าย ซึ่งเธอไม่รู้ว่าใครคือสามีของร่างนี้และเขาหายไปไหน แถมยังอยู่ในยุคที่แร้นแค้นเช่นนี้ ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกท้อแท้เพียงชั่วขณะ ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างถาโถมเข้าใส่ แต่ในฐานะเชฟมืออาชีพที่มีความสามารถและไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ สัญชาตญาณของนักสู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ ไหนๆ ก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว แถมยังมีลูกๆ ที่หวาดกลัวเธอให้ดูแลตั้งสี่ชีวิต...อย่างน้อยก็ต้องทำให้ชีวิตของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้! แววตาของเหม่ยหลินฉายแววแน่วแน่ เธอคิดในใจ เธอจะใช้ความสามารถด้านอาหารของตัวเอง เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตระกูลหลี่ที่แร้นแค้นแห่งนี้ให้รุ่งเรืองให้ได้! เธอจะพลิกฟื้นความผูกพันในครอบครัวที่แตกสลาย และเอาชนะใจลูกๆ ที่เคยหวาดกลัวเธอให้ได้!รุ่งอรุณหลังคืนแห่งความวุ่นวาย แสงตะวันสาดส่องเข้ามาในเรือนพักของท่านราชครูจ้าว เหม่ยหลินรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา หลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ต่างกอดเธอแน่นด้วยความโล่งใจ การปรากฏตัวของหัวหน้าหมาและท่านราชครูจ้าวราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แห่งความมืดมิดท่านราชครูจ้าวนั่งลงตรงข้ามกับเหม่ยหลิน ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความเมตตาและแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม"ท่านแม่เจียง" ท่านราชครูจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าต้องขออภัยแทนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงด้วย ที่ทำให้ท่านต้องมาประสบเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้"เหม่ยหลินก้มศีรษะเล็กน้อย "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านราชครู ข้าเข้าใจดีว่าอำนาจมักจะทำให้คนตาบอด""ถูกต้อง" ท่านราชครูจ้าวพยักหน้า "เรื่องของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงนั้น ข้าได้ส่งคนไปสอบสวนแล้ว และข้าเชื่อว่าเขาจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิดที่เขากระทำ"ท่านราชครูจ้าวหันไปมองหัวหน้าหมาที่ยืนอยู่ข้างๆ "หัวหน้าหมา เจ้าทำความดีความชอบในครั้งนี้ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ ให้ท่านได้รับความดีความชอบอย่างที่ควรจะได้รับ"หัวหน้าหมาก้มศีรษะด้
ชัยชนะอันหอมหวานจากการประลองรสชาติสะท้านเมืองหลวง มิได้นำมาซึ่งความสงบสุขอย่างที่เหม่ยหลินและครอบครัวคาดหวัง ตรงกันข้าม มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของพายุลูกใหม่ที่โหมกระหน่ำรุนแรงกว่าเดิม แสงแห่งชื่อเสียงที่เจิดจ้าของ “เชฟเหม่ยหลิน” ส่องสว่างไปทั่วอาณาจักร ทว่าในเงามืดนั้น พลังอำนาจที่มองไม่เห็นกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับๆความผันผวนในจวนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิง เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อใคร บัดนี้กลับถูกแม่ครัวสามัญชนหักหน้าอย่างยับเยินกลางที่สาธารณะ ความอัปยศครั้งนี้กัดกินจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์และหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม ทุกวันเขาจะสั่งให้คนนำอาหารของเหม่ยหลินมาให้เขากิน แต่เขาก็ไม่เคยบอกว่าอร่อยเลยแม้แต่คำเดียว และมักจะหาเรื่องตำหนิอย่างไม่เป็นเหตุผล“นี่มันอะไรกัน! ข้าวผัดนี่แข็งเกินไป! เจ้าคิดว่าข้าเป็นชาวนาที่กินแต่ข้าวแข็งๆ อย่างนั้นรึ!” หลี่กวงหมิงปาจานข้าวผัดลงพื้นเสียงดังลั่นในห้องอาหารของเขาพ่อครัวประจำจวนและบรรดาคนรับใช้ต่างพากันตัวสั่นงันงก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองขณะเดียวกัน ในมุมมืดของจวน เจ้าเมืองได้ส่งคนไปสืบเรื่องราวของเหม่ยหลินอย
เช้าตรู่วันประลอง ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงยังคงมืดสลัวด้วยไอหมอกจางๆ แต่ใจกลางเมืองกลับคึกคักไปด้วยผู้คนมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อเป็นสักขีพยานในศึกประลองรสชาติครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันทำอาหารธรรมดา แต่มันคือการปะทะกันระหว่าง อำนาจ และ ความสามารถ ระหว่าง ศักดิ์ศรี ของเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ กับ ความกล้าหาญ ของแม่ครัวสามัญชนเหม่ยหลินและครอบครัวเดินทางมาถึงลานประลองที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยที่นั่งสำหรับแขกผู้มีเกียรติและประชาชนทั่วไป กลิ่นหอมของเครื่องหอมปะปนกับกลิ่นไอของตลาดสดอบอวลไปทั่วบริเวณ"ท่านแม่! คนเยอะมากเลยขอรับ!" หลี่เฟยหยางเกาะแขนเหม่ยหลินแน่น ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่น"ไม่ต้องกลัวหรอกลูก" เหม่ยหลินยิ้มให้กำลังใจลูกชาย เธอเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ความมุ่งมั่นในใจกลับแข็งแกร่งกว่าสิ่งใดเมื่อเดินไปถึงหลังเวที พวกเขาก็เห็นเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงยืนอยู่พร้อมกับพ่อครัวประจำจวนของเขา และชายชุดดำสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใบหน้าของหลี่กวงหมิงเรียบตึง แต่แววตาของเขากลับฉาย
แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงฉานเมื่อเหม่ยหลินกลับมาถึงบ้าน ตลอดทางกลับ เธอครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่เธอและครอบครัวต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ คำสั่งของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงเป็นดั่งดาบที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย หากเธอปฏิเสธหรือทำผิดพลาดแม้แต่น้อย ชีวิตของเธอและลูกๆ อาจตกอยู่ในอันตรายเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงบ้าน ใบหน้าของหลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ก็ปรากฏแก่สายตา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและคำถาม"ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ท่านเจ้าเมืองพูดอะไรกับท่าน?" หลี่เฟยหลงเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงร้อนรนเหม่ยหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองให้ทุกคนฟัง ตั้งแต่คำชมเชยของหลี่กวงหมิง ข้อเสนอให้เป็นพ่อครัวประจำจวน และคำสั่งให้ส่งอาหารทุกวัน รวมถึงการบีบบังคับให้บอกสูตรอาหารบรรยากาศในห้องเงียบสงัดลงทันที ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลี่เฟยหลงที่กำมือแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ"ท่านเจ้าเมืองช่างบีบบังคับกันเกินไปแล้วขอรับ!" หลี่เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย
ชัยชนะจากการประลองปัญญาครั้งนั้นส่งให้ชื่อเสียงของ เหม่ยหลิน และ ตระกูลหลี่ ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งตลาด และลามไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างพูดถึง "แม่เจียงคนใหม่" ที่ไม่เพียงแต่ทำอาหารอร่อยเลิศ แต่ยังเฉลียวฉลาดและกล้าหาญ กล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลอย่างหัวหน้าหมาเช้าวันรุ่งขึ้น แผงขายของเหม่ยหลินไม่เพียงแค่คึกคัก แต่กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาต่อคิวยาวเหยียด พวกเขาไม่เพียงมาซื้อ "บะหมี่เจผักรวม" และ "ซุปเห็ดหลินจือดำ" เท่านั้น แต่ยังมาเพื่อชมบารมีของเหม่ยหลินและลูก ๆ ของเธอด้วย"ท่านแม่เจียง! ข้ามาจากหมู่บ้านเจียงเป่ย! ได้ยินว่าอาหารของท่านอร่อยล้ำเลิศนัก ข้าจึงมาขอชิมด้วยตัวเอง!" ชายชราคนหนึ่งกล่าวด้วยความเลื่อมใส"ท่านแม่เจียง! ข้าซื้อบะหมี่เจของท่านไปให้ลูกเมียกินแล้ว! พวกเขาชอบมากเลย! ขอบพระคุณท่านแม่เจียงที่ทำอาหารดี ๆ แบบนี้มาให้พวกเราได้กิน!" ชาวนาอีกคนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเหม่ยหลินยิ้มตอบรับคำชมเชยอย่างอ่อนน้อม เธอและลูก ๆ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหานทำหน้าที่ตักบะหมี่และซุป ส่วนชิวลี่ฮวากับหลี่เฟยหยางก็ช่วยรับเงินและห่ออาหารด้วยความสนุกสนาน"ท่า
คำพูดของเหม่ยหลินทำให้ทุกคนในตลาดถึงกับตกตะลึง รวมถึงหัวหน้าหมาและลูกน้องของเขาด้วย"ประลองฝีมืออย่างนั้นรึ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!" หัวหน้าหมาหัวเราะเยาะ "เจ้าเป็นแค่แม่ครัวอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น! จะเอาอะไรมาสู้กับพวกข้า!""ข้าไม่ได้ท้าเจ้าประลองกำลัง" เหม่ยหลินตอบ "ข้าขอท้าเจ้าประลอง...ปัญญา!"คำว่า 'ประลองปัญญา' ยิ่งทำให้ทุกคนงงไปกันใหญ่"ประลองปัญญาอย่างนั้นรึ! ตลกสิ้นดี!" หัวหน้าหมากล่าวอย่างเยาะเย้ย "เจ้าจะประลองปัญญาอะไรกับข้า!?""ข้าจะท้าเจ้าให้ตอบคำถามของข้าสามข้อ" เหม่ยหลินตอบอย่างมั่นใจ "หากเจ้าตอบได้ทั้งสามข้อ...ข้าจะยอมออกจากตลาดแห่งนี้ไปตลอดกาล และจะไม่กลับมาค้าขายอีก! แต่หากเจ้าตอบไม่ได้...เจ้าต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของข้า และห้ามมารังแกพวกเราอีกตลอดไป!"ข้อเสนอของเหม่ยหลินทำให้ผู้คนในตลาดต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย พวกเขาไม่เคยเห็นการประลองแบบนี้มาก่อนหัวหน้าหมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่เหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก เขาไม่คิดว่าแม่ครัวธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะมีความรู้หรือปัญญาอะไรมากมายนัก"ได้! ข้ารับคำท้า!" หัวหน้าหมากล่าวอย่างลำพองใจ "เอาเลย! เจ
Comments