บทที่ 6 พยายาม
“ยิ่งเธอจำทุกอย่างได้เร็ว เธอก็จะเป็นอิสระเร็วขึ้นเท่านั้น”
“ผิงจะพยายามจำให้ได้” แม้ไม่รู้ว่าชายหนุ่มหมายถึงเหตุการณ์ใด ขนมผิงก็เอ่ยรับปาก เธอจะพยายามถึงที่สุด เพื่ออิสระที่รออยู่เบื้องหน้า “ผิง…ขะ ขอ…ยาได้ไหม” “ไม่ได้” คำตอบที่เด็ดขาดทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวัง ร่างกายของเธอจะทนรับความทรมานนี้ได้นานแค่ไหนกัน? ไม่มีใครรู้…. “หน้าที่ของเธอคือจำทุกอย่างให้ได้เท่านั้น และอย่าลืมว่าเธอไม่มีสิทธิ์ร้องขอสิ่งที่ต้องการ” พูดจบ โจฮันก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาคมกริบปรายมองร่างเล็กครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง หลายชั่วโมงก่อน ลูกน้องที่เขาส่งไปเฝ้าตึกร้างโทรมารายงานว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกมาจากที่นั่น ท่าทางของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ที่แปลกคือ…ทุกคนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า “นายจะกลับตอนนี้เลยไหมครับ?” มีนรีบสาวเท้าตามหลังเจ้านาย “อืม เฝ้าให้ดี” “ครับ” “แล้วอย่าให้สิ่งที่เธอร้องขอ จำเอาไว้” “ครับ” “พวกมันใช้ยาเพื่อทำให้เด็กนั่นจำอะไรไม่ได้” “นายรู้ได้ยังไงครับ?” โจฮันจ้องหน้าลูกน้องก่อนจะยื่นปืนให้เขา “ถ้าเธอยังจำอะไรไม่ได้ ก็จัดการซะ” “แต่นายครับ…” “ฉันไม่เลี้ยงคนที่ไม่มีประโยชน์” มีนก้มลงมองปืนในมือ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินตามไปส่งเจ้านายขึ้นรถ และรอปิดประตูรั้วบ้านสวนให้เรียบร้อย แม้จะมีลูกน้องคอยเฝ้าอยู่หลายจุด แต่โจฮันก็ยังไม่ไว้ใจพอที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม พอกลับเข้ามาในเรือนไทย มีนก็ได้ยินเสียงพึมพำแผ่วเบาของขนมผิง เขารีบก้าวขึ้นไปดูในห้อง และพบหญิงสาวนั่งกอดตัวเองอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มือทั้งสองข้างกำลังทุบตีตัวเองไม่หยุด “เธอทำอะไร?” “ผิงจะพยายามจำให้ได้… ผิงต้องจำให้ได้…” “หยุดเดี๋ยวนี้!” “ผิงจะรีบจำ… ผิงต้องจำให้ได้…” มีนเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะลุกไปหยิบเข็มฉีดยาที่หมอเตรียมไว้ แล้วกลับมาหาหญิงสาว เขากดปลายเข็มลงที่แขนเธออย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ร่างเล็กก็เริ่มอ่อนแรง ก่อนจะเอนตัวลงนอน แม้ร่างกายจะอ่อนล้า แต่ริมฝีปากยังคงพึมพำไม่หยุดเกี่ยวกับความทรงจำ จนในที่สุด เสียงนั้นก็ค่อยๆ เงียบไป “ฉันจำเป็นต้องทำ” มีนพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง เขาปิดประตู และใส่กุญแจจากด้านนอกเช้าวันต่อมา แสงแดดจากหน้าต่างที่ถูกเปิดโดยแม่บ้านสาวช่วยปลุกขนมผิงให้ตื่น เธอยกมือขึ้นป้องแสงจากดวงตา พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นแม่บ้านกำลังจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่ข้างเตียงนอนซึ่งเธอเพิ่งเห็นมันอยู่ในห้องก็เมื่อสักครู่นี้
“กินข้าวนะคะ กินเสร็จแล้วจะได้กินยา คุณจะได้หายดี” “ยา…” ขนมผิงพึมพำ ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน “ยาที่จะช่วยให้คุณหายจากอาการเจ็บปวด” “ไม่!” เธอสะบัดมืออย่างแรงจนช้อนตกลงกระทบพื้นเสียงดัง ก่อนจะถอยหนีแม่บ้านอย่างหวาดระแวง ร่างเล็กนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น น้ำตาเอ่อคลอเบ้า “ทำไมไม่ตาย… ทำไมผิงยังไม่ตาย…” จำได้เพียงตัวเองร้องขอความตายมาตลอดหลายปี แต่ก็พบว่ายังจมอยู่กับความทรมานเหมือนตกนรกและตายทั้งเป็น “คุณต้องกินข้าวนะคะ แล้วจะได้กินยา” “อยากตาย…” “ได้สิ” เสียงเข้มดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมองชายที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง โจฮันยังอยู่ในชุดเดิมจากเมื่อวาน แต่ใบหน้าของเขาดูอิดโรยราวกับไม่ได้นอนมาหลายชั่วโมง แขนข้างหนึ่งมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่ “ส่งจานข้าวมา” เขาสั่งเสียงเรียบ สายตาจับจ้องไปที่ร่างเล็กไม่วางตา “ผิงไม่กิน” “ลืมที่ฉันบอกไปแล้วหรือไง…” ดวงตาของเขาเย็นเยียบลง “ยิ่งเธอขัดขืน เธอก็จะยิ่งเจ็บตัว” ข้าวพอดีคำถูกยื่นมาจ่อปากหญิงสาว ขนมผิงมองมันด้วยแววตาหวาดหวั่น ก่อนพึมพำเสียงแผ่ว “ผิงจำไม่ได้…แต่ผิงจะพยายาม” “หึ!” โจฮันแสยะยิ้ม ดวงตาคมกริบจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมินบางอย่าง ขนมผิงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวออกจากมุมห้อง มุมที่เธอพยายามทำให้มันเป็นพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เธอรับข้าวจากมือเขาและกินไปทีละคำ จนเกือบหมดจาน แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเธอกลับรับอาหารได้เพียงน้อยนิด อาการอยากยายังคงฉุดรั้งเธอให้จมอยู่กับความทรมานไม่รู้จบ “ฆ่าผิงเถอะ…” เธอยื่นมือไปจับมือเขาไว้แน่น คราวนี้ไม่ได้อ้อนวอนให้ปล่อยเป็นอิสระ แต่กลับวิงวอนขอให้เขาพรากชีวิตเธอไปเสีย “ไม่ต้องห่วง ฉันทำแน่ แต่หลังจากเธอจำทุกอย่างได้เท่านั้น” โจฮันปรายตามองโซ่ที่ล่ามตรวนหญิงสาวไว้ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ “ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์ร้องขอความตายจากฉัน” เขาหยิบยาเม็ดจากมือแม่บ้าน เตรียมจะป้อนให้ ทว่าขนมผิงกลับดิ้นหนีสุดแรง ร่างเล็กสะบัดตัวไปมาจนเกือบหลุดจากการควบคุม “อย่าดื้อ” โจฮันตวัดแขนรัดร่างเธอไว้แน่นจนไม่อาจขยับหนี จากนั้นก็กระชากคางเธอให้เงยขึ้น ก่อนจะยัดยาเข้าปากเธอได้สำเร็จ ขนมผิงสำลักจนหน้าแดงก่ำ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น “จำเอาไว้ หน้าที่ของเธอมีแค่อย่างเดียว จำเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนให้ได้” ทันทีที่พูดจบ โจฮันก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ด้านนอก มีนเตรียมอาหารและอุปกรณ์ล้างแผลไว้รอเจ้านายเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “นายควรพักก่อนนะครับ” มีนเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่โจฮันเพียงปรายตามอง ก่อนจะรับของจากมือเขาไปเงียบๆ ภายในห้องพักใต้ถุนบ้านเรือนไทย โจฮันค่อยๆ คลายผ้าพันแผลที่แขนออก เผยให้เห็นบาดแผลจากเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เขาย้อนกลับไปยังตึกร้างและปะทะกับกลุ่มคนพวกนั้น แม้เขาจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และสอบปากคำผู้รอดชีวิตบางส่วน แต่กลับพลาดท่าโดนมีดแทงที่แขน บาดแผลไม่ลึกนัก ทว่ายังคงสร้างทั้งความเจ็บปวดและความโกรธแค้นให้เขาอย่างทวีคูณ ก๊อก ก๊อก “ผมเองครับ นาย ให้ผมช่วยทำแผลนะครับ” “อืม” มีนเปิดประตูเข้ามา เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกจากกล่อง เขาสังเกตบาดแผลแล้วเอ่ยขึ้น “แผลต้องเย็บนะครับนาย” ด้วยความที่พอมีพื้นฐานปฐมพยาบาลอยู่บ้าง เขาจึงเตรียมทั้งเข็มเย็บแผลและยาฆ่าเชื้อไว้พร้อม “อืม” “นายน่าจะรอผม ไม่น่าบุกไปคนเดียวแบบนั้น” มีนพูดขึ้นระหว่างที่ลงมือเย็บแผล สีหน้าของเขาฉายแววกังวล ทว่าคำพูดนั้นกลับไม่มีผลต่อเจ้านายแม้แต่น้อย “เมื่อวานเป็นยังไง” โจฮันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “หลังจากที่นายกลับไป เธอก็พยายามทำร้ายตัวเองครับ ผมเลยให้ยานอนหลับไป” “อืม” “ผมว่าเราต้องหาสิ่งกระตุ้นเธอ อาจจะเป็นของบางอย่างที่ช่วยให้เธอจำอะไรได้บ้าง” มีนเอ่ยขึ้นพลางตัดด้ายเย็บแผล ก่อนจะหยิบสำลีชุบยาฆ่าเชื้อมาเช็ดรอบๆ และเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย “ผมคิดว่า… เราต้องทำให้เธอไว้ใจเรานะครับ ไม่รู้ว่าตอนอยู่ที่ตึกนั่นเธอเจออะไรบ้าง เพราะตอนนี้เธอยังมีอาการหวาดระแวงอยู่” โจฮันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นแค่สัตว์เลี้ยง จำเป็นต้องให้สิทธิ์มากขนาดนั้นเลยหรือไง?” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาลูกน้อง ก่อนจะหยิบผ้าก๊อซมาปิดแผลที่แขน “ถ้าเด็กนั่นจำอะไรไม่ได้ มึงโดนแทน” มีนนิ่งเงียบ ไม่กล้าตอบอะไร ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัวเองกันล่ะ… โจฮันแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนพยักพเยิดให้มีนออกไปจากห้อง ด้านลูกน้องหนุ่มก็ไม่รอช้า รีบเก็บของแล้วก้าวออกไป ปล่อยให้เจ้านายได้พักผ่อนตามลำพัง ในห้องอีกฟากหนึ่ง ขนมผิงนั่งกอดเข่าบนเตียงนุ่ม สายตาเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมหายใจของเธอแผ่วเบา ตอนนี้เธอไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงที่ถูกกักขังไว้เพื่อผลประโยชน์ พอหมดค่า… ก็คงถูกกำจัดทิ้งสินะ—————————————
ขอกำลังใจโน้ยยย สนุกไหมคะ 🥺ตอนพิเศษ 2เวลาผ่านไปสองเดือน โจฮันนั่งเท้าคางบนเคาน์เตอร์ มองแฟนสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการทำขนมในครัวเล็กๆ ในร้านที่เขาเพิ่งช่วยเธอเปิดเมื่อหลายนาทีก่อน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เขาชอบที่สุด ได้มองเธอใกล้ๆ ในมุมที่ไม่มีใครเห็น“เสร็จแล้วค่ะ จะลองชิมเลยไหม?” ขนมผิงหันมายิ้มให้ ดวงตาเป็นประกายไม่แพ้แป้งขาวๆ ที่ติดปลายจมูกเธอยังไม่ทันที่เขาจะขยับปากตอบ เสียงของมีนก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “แหม…เจ้านายครับ เดี๋ยวกินแต่ขนม ไม่ค่อยยอมออกกำลังกายเลยนะครับ”โจฮันเหลือบตามองลูกน้องคนสนิทอย่างระอา “ไม่น่าให้มึงมาด้วยเลยจริงๆ จุ้นจ้านฉิบ” เขาบ่นอุบในคอ จริงๆ แล้วเขาอยากมาหาขนมผิงคนเดียวด้วยซ้ำ แต่ปู่ดันเป็นห่วงหนักจนต้องสั่งให้มีนตามติดทุกย่างก้าว “เอาของไปเก็บเลยมึง!”“ครับผม”หลังจากไล่มีนเอาของไปไว้หลังร้าน โจฮันก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์เข้ามาหาขนมผิงที่ยืนจัดจานขนมอยู่ เธอทำท่าจะถอยหนีเมื่อเห็นว่าเขาเข้ามาใกล้เกินไป แต่ไม่ทันแล้ว เขาเอื้อมแขนรวบร่างเล็กมากอดจากด้านหลังแน่นๆ พร้อมซบแก้มลงบนไหล่เธอ“เหนื่อยไหมวันนี้” เสียงของเขาทุ้มนุ่ม ต่างจากตอนแกล้งมันเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงขนมผิงหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนส
ตอนพิเศษ 1วันปีใหม่ ขนมผิงยืนเกาะเคาน์เตอร์อยู่ในห้องครัว เธอทำตาปริบๆ ออดอ้อนคนตัวโตให้พาออกไปเดินเล่นดูพลุในคืนนี้ แต่ด้วยอากาศติดลบ โจฮันเป็นห่วงกลัวจะไม่สบายเขาเลยไม่อนุญาตให้เธอออกนอกบ้าน“นะคะ พาผิงไปเดินแป๊บเดียว นะคะ นะๆ นะคะคนดี”“คิดว่าอ้อนแล้วจะพาไปเหรอ”“แล้วต้องให้ทำยังไงดีคะ หรือให้ผิง…ทำของอร่อยให้กินดี”โจฮันก้มมองคนตัวเล็ก เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบผมที่ปรกใบหน้าสวยออก“ขอฉันดูแผลหน่อย”“แผลเหรอ อ๋า…” เมื่อนึกออกเธอจึงเลิกเสื้อให้เขาดูรอยแผลเป็นที่ช่วงท้อง “เป็นแผลเป็นนิดเดียวค่ะ ไม่ได้แผลใหญ่มาก”โจฮันเงยหน้ามองเธอ ก่อนนะยกมือขึ้นไปแตะบนแผลเป็นเบาๆ“แล้วตอนนั้นปู่ไปรักษาที่ไหน”“ก็โรงพยาบาลในไทยแหละค่ะ พอรักษาหายท่านก็ให้เงินผิง ให้ผิงย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่”“แล้วไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ” คราวนี้โจฮันถามเสียงอ่อน “ปล่อยให้คิดถึงฝ่ายเดียวได้ยังไง” เขารั้งเอวบางเข้ามากอดไว้หลวมๆ ก่อนที่จะเกยคางกับไหล่เธอ“คิดถึงมากๆ เลยค่ะ แต่ผิงคิดว่า จากกันตอนนี้ ตอนที่ความรู้สึกเราสองคนยังไม่ก่อตัวก็ดีแล้ว จะได้ตัดใจง่ายหน่อย แต่ทำยากมากค่ะ ผิงนอนร้องไห้คิดถึงคุณ
บทที่ 45 บทส่งท้าย“ผิงไม่อยากกลับไทย ผิงอยากอยู่ที่นี่ อยากใช้ชีวิตที่นี่” ขนมผิงเม้มริมฝีปากแน่น เธอคิดหนักถึงเรื่องนี้ เพราะที่นี่ก็สำคัญกับเธอมาก ทั้งความฝันที่เธอสร้างขึ้น ทั้งความทรงจำที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทุกวัน รวมถึงคนที่อยู่ที่นี่ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างเธอโดยไม่เคยทิ้งไปไหนเสียงเธอสั่นนิดๆ แต่ชัดเจน “ผิงไม่อยากกลับไทยเลยค่ะ… ผิงอยากอยู่ที่นี่ อยากใช้ชีวิตตามความฝันที่นี่”โจฮันนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นจับไหล่เธอเบาๆ ดวงตาสีอ่อนของเขาสะท้อนแววความจริงใจไม่มีเสแสร้ง เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็กลัวจะทำลายความรู้สึกที่เปราะบางตรงหน้าขนมผิงสูดลมหายใจเข้า ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาคู่นั้นทั้งอ่อนโยน ทั้งเศร้า และทั้งกล้าในเวลาเดียวกัน“ที่ผ่านมา… ผิงโกรธและเสียใจมาก ที่รู้ว่าทุกอย่างพังทลายลงเพราะอาของคุณโจ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับกำลังระบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกมานานแสนนาน “แต่ผิงรู้ว่าผิงเอาทุกอย่างคืนมาไม่ได้ และตอนนี้… ผิงรู้แล้วว่าผิงควรปล่อยวางทุกอย่างและเริ่มต้นใหม่” เธอขยับเข้าไปหาเขาอีกนิด เงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มบางๆ ที่เปื้อนน้ำตาให้เขา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือ
บทที่ 44 เคียงข้างร่างเล็กนั่งร้องไห้อยู่บนม้านั่งด้านหลังร้านซึ่งเป็นสวนเล็กๆ ที่ถูกหิมะปกคลุมไปแล้ว น้ำตาอุ่นไหลลงอาบแก้มแดงซ่านจากการร้อนให้เป็นเวลานาน ทั้งเกิดจากความเหน็บหนาว“ทำไมต้องกลับมาหาผิง…ทำไมต้องกลับมา” เธอทุบต้นขาตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน แต่เธอกำลังหลอกตัวเอง ว่าการได้เจอโจฮันที่นี่คือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง และมันไม่น่าเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่คนสองคนจะมาพบเจอกันอีก “ตั้งใจจะลืมแล้วแท้ๆ แต่ทำไม…” เสียงสะอื้นเริ่มซาลงเล็กน้อยพอทีเวลา สมองก็ทบทวนคำพูดของโจฮัน แววตา ท่าทางเขาเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนคนเดิมที่เธอรู้จัก เพราะโจฮันคนนี้พูดทุกอย่างตามที่รู้สึก ไม่เงียบขรึมเหมือนแต่ก่อน และแววตาที่เคยเย็นชาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและโหยหา มันเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง และเขา….กล้าพูดคำนั้นออกมาได้อย่างไร“รักเหรอ” ขนมผิงขยับปากพูดเสียงเบา แต่ต้องปาดน้ำตาเพราะรู้ว่าช่วงเวลานี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ เธอจำต้องออกไปช่วยพนักงานขายขนมและเสิร์ฟอาหาร จึงไม่มีเวลาให้เศร้ามากด้านโจฮันกลับมาตั้งหลักที่โรงแรม มีนที่กำลังวิ่งวุ่นเพราะหา
บทที่ 43 สารภาพรัก“คุณจำคนผิดแล้วมั้งคะ” หญิงสาวแกะมือเขาออกจากข้อมือตัวเองได้สำเร็จก็เดินหายเข้าไปหลังร้าน ด้านโจฮันลุกขึ้นจะเดินตามไป แต่มันคว้าแขนไว้ได้ทันพอดี“นายครับ”โจฮันสะบัดมือลูกน้องออกแล้วรีบเดินตามหญิงสาวไป“ผิง ผิง!”“นานครับ นายใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” มันพยายามฉุดรั้งให้โจฮันมีสติกว่านี้ “ใจเย็นก่อนนะครับนาย อย่าเพิ่งทำอะไรตอนนี้เลย คนเต็มร้านเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราไปทำร้ายเขานะครับ”โจฮันยอมอ่อนลงแล้วรีบเดินออกไปจากร้านทันที มีนที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบหยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้ววิ่งตามเจ้านายไปปึง!โจฮันตบโต๊ะเสียงดังลั่นห้องพักของปู่“ผมเจอเธอที่นี่ ใช่เธอจริงๆ ใช่ไหม ปู่เอาเธอมาซ่อนที่นี่ใช่ไหม”“อะไร มาถึงก็โวยวายไม่หยุด แกไปเจอใครมากันแน่”“ปู่อย่ามาทำไขสือ ผมรู้ว่าปู่จัดการทุกอย่าง ปู่ให้ขนมผิงมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม”ปู่ยกแก้วชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ แล้วเงยหน้ามองหลานชาย“แกจำคนผิดหรือเปล่า ผู้หญิงมากมายหน้าตาก็คล้ายกันหมด อาจไม่ใช่เธอคนนั้นก็ได้”“ไม่จริง! ผมจำเธอได้”“แกมีอะไรมายืนยันว่าแกจำเธอได้”คราวนี้โจฮันเป็นฝ่ายเงียบไปเอง เขาจะบอกยังไงว่าจำเธอได้ทุกอย่าง เพราะภาพใบหน
บทที่ 42 พบเจอโจฮันทวนชื่อขนมนั้นเสียงเบา และรับถุงมาถือไว้ในมือ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่กำลังจ้องมองถุงขนม“ขนมผิงอย่างนั้นเหรอ”โจฮันทวนชื่อขนมนั้นเสียงเบา และรับถุงมาถือไว้ในมือ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่กำลังจ้องมองถุงขนมกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมาจากปากถุง ผสานกลิ่นหอมหวานบางเบาเฉพาะตัวที่เขาจำได้ดี มันพาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาหนึ่งในวัยเด็ก วันที่อากาศร้อนอบอ้าว และคุณย่าใช้เตาถ่านเล็กๆ ค่อยๆ อบขนมทีละถาด เสียงเปลวไฟแตกดังเบาๆ คล้ายเพลงกล่อม โจฮันยังจำได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ขนมผิงเริ่มแยกตัวแตกเป็นรอยเล็กๆ บนผิว และความอบอุ่นที่กระจายไปทั่วครัวเล็กๆ นั่นเขาหลับตาลงชั่วครู่ ลมหายใจพาเอากลิ่นหอมหวานซึมลึกเข้าไปในอก ความรู้สึกที่ถูกลืมเลือนกลับมาชัดเจน ราวกับว่าวันเวลาที่ผันผ่านไปนานแสนนานนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองโจฮันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบางๆ ที่เผลอผุดขึ้นมาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว เขากระชับถุงขนมในมือแน่นขึ้น แล้วหันไปมองมีนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ อย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก“พรุ่งนี้…ว่างไหม” โจฮันถาม น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความจร