คนอย่างไอ้ซาดีนส์ไม่เคยคิดที่จะมีห่วงมาผูกคอ ยิ่งเรื่องแฟนผมยิ่งไม่เคยคิดให้รกสมอง เพราะอะไรน่ะเหรอ?
หนึ่งเลย มนุษย์แฟนเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อสำหรับผม ไหนจะคอยโทรจิกตลอดเวลา เซ้าซี้น่ารำคาญ
สอง... ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งเหมือนติดคุก เวลาจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต้องคอยขออนุญาต โทรรายงานความเคลื่อนไหว ไร้อิสระโคตรๆ
สามยิ่งแล้วใหญ่... ทำตัวอย่างกับแม่บังเกิดเกล้า จิกหัวใช้เป็นว่าเล่น แถมยังต้องคอยตามใจพวกมนุษย์แฟนอย่างพวกเธอๆ ไม่ไหวอะบอกเลย!
“ตอแหล!” พันซ์พูดเบาๆ เหมือนกับกระซิบ เธอเอียงหน้าที่กำลังซบที่แผงอกขวาผม มองหวาที่กำลังยืนค้ำเอวอยู่ข้างๆ พวกเรา
“แกว่าอะไร แน่จริงพูดดังๆ สิ แล้วก็ลงมาจากตักของแฟนฉันได้แล้ว!”
หวายังคงพูดเองเออเองเรื่องสถานะของผมและเธอ
“นี่ซาดีนส์มีแฟนปากจัด ขี้โวยวาย แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ”
พันซ์ไม่สนใจคำพูดของหวา เธอยังคงนั่งบนตักผม พร้อมกับซบใบหน้าอยู่ที่อกผมตามเดิม มือน้อยๆ ของเธอลูบอกข้างซ้ายผมเบาๆ
“กรี้ด!! อีหน้าด้าน ฉันบอกให้ลุกจากตักแฟนฉันไง หูแตกหรือไงยะ”
ตอนนี้ผมชักจะเริ่มรำคาญเสียงแหลมๆ ของหวาแล้วว่ะ น้องหวาคนที่ดูหงิมๆ ติ๋มๆ ตอนที่ส่งจดหมายรักให้ผมเมื่อช่วงบ่ายหายไปไหนแล้ววะ
หรือว่านี่คือธาตุแท้ของเธอ?
“พอเลยๆ ทั้งสองคน พันซ์ลุกก่อน” ผมนี่แหละที่จะเป็นคนหูแตกก่อนคนแรก และตอนนี้เริ่มจะรำคาญเสียงหวามากๆ เลยรีบห้ามศึกน้ำลายของสาวๆ
“ซาดีนส์ หวาขอโทษที่มาช้านะคะ”
หลังจากที่พันซ์ยอมลุกจากตักผมไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม หวาก็รีบปรี่ตัวเข้ามานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับถือวิสาสะกอดแขนเอาหัวน้อยๆ ซบไหล่พร้อมกับกล่าวขอโทษน้ำเสียงออดอ้อน
“สตอได้โล่ ไปล่ะ เหม็นขี้หน้าคนแถวนี้”
“แก! ยัยปากแดง ฝากไว้ก่อนเถอะ”
บอกแล้วว่าพันซ์เธอเป็นคนไม่เรื่องมาก เพราะนิสัยแบบนี้ไงผมเลยไม่เคยคิดที่จะเบื่อเธอเลย แต่กับผู้หญิงที่ผมเพิ่งเจอครั้งแรกที่กำลังแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมอยู่ตอนนี้มัน... โคตร-น่า-รำ-คาญ!
“หวานัดพี่มาที่นี่มีอะไรเหรอ” ผมรู้ดีว่าเธอนัดผมมาทำไม แต่ไม่อยากแสดงออกว่าฉลาดมากเกินไป เดี๋ยวมันจะไม่สนุก
“คือ... หวาแค่อยากอยู่กับพี่ซาดีนส์สองต่อสอง”
หวาคนที่ติ๋มๆ กำลังกลับมา แต่คงสายไปแล้วล่ะ เพราะผมรู้นิสัยเธอแล้ว
“สองต่อสองแบบนี้?” ผมลองหยั่งเชิงถามเธอดู
“แล้วพี่ซาดีนส์คิดว่าหวาหมายถึง... แบบไหนเหรอคะ”
หวาใช้นิ้วเรียวยาวกรีดกรายไปตามแผงอกผมผ่านเสื้อนักศึกษาที่ตอนนี้กระดุมบนสองเม็ดมันหลุดออกไป สงสัยจะเป็นฝีมือพันซ์ก่อนหน้า
“สองต่อสองของพี่กับหวาต้อง...” ผมหยุดคำพูดไว้ แต่พยักเพยิดหน้าไปที่ชั้นบนของผับไอ้เคซิส หวาคงจะเข้าใจความหมาย สีหน้าเธอแดงจัดเหมือนคนกำลังเขินอายขึ้นมาทันทีที่มองไปตามสายตาของผม
“อื้ม~” เสียงอื้ออึงในลำคอผมถูกเปล่งออกมา มันเกิดจากความเสียวซ่านที่หวากำลังปรนเปรอให้
“หวา อา ตรงนั้นมัน... ซี้ด” แม่ง! หวาดูจะช่ำชองเรื่องพวกนี้ดีจริงๆ
“ชอบล่ะสิ ขอหวาบ้างนะ” เสียงพูดปนเซ็กซี่ของคนที่นั่งอยู่ที่พื้นเบื้องล่างตรงหว่างขาผมพูดขึ้น พร้อมกับแววตาเชิงยั่วยวนส่งมาให้ผม
“เธอทำฉันแทบหมดแรง” ผมแกล้งทำเสียงหอบเหนื่อยใส่ผู้หญิงข้างล่าง
“คิกๆ งั้นหวาไม่เกรงใจนะคะ” จบคำพูด คนที่เจนจัดภาคสนามอย่างหวาก็ลุกมานั่งคร่อมตักที่เปลือยเปล่าของผมจากฝีมือเธอก่อนหน้า
เธอใช้มือนุ่มสองข้างค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมที่เหลืออีกไม่กี่เม็ดออก เผยให้เห็นซิกแพกที่เป็นลอนแกร่ง
“เพอร์เฟคจริงๆ”
“อา~” ผมกลั้นเสียงครางไม่ไหว หวาใช้มือลูบไปตามลอนซิกแพกบนหน้าท้องแกร่ง ลากไล้นิ้วเรียวทั้งห้าลงไปจนถึงสิ่งที่แสดงความเป็นชายที่กำลังพร้อมรบ
“ถุง อยู่ในลิ้นชักข้างโซฟา” เมื่อผมสัมผัสได้ว่าหวากำลังคิดจะทำอะไร เลยรีบร้องท้วง
“จิ๊!” เสียงเหมือนคนโดนขัดใจของหวาทำให้ผมรู้ว่าเธอก็เป็นเหมือนผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาหาผมเพื่อหวังอะไร
แต่ก็ช่างมัน! ตอนนี้ผมต้องการปลดปล่อยความอัดอั้นที่มันทรมานไอ้ซีนส์น้อยมากกว่าจะมาคิดเรื่องพวกนั้นให้รกสมอง
“ซี้ด!!” ผู้หญิงเป็นงานแม่งดีตรงนี้จริงๆ ผมถึงได้ชอบกินของที่ไม่สด แต่ก็เลือกเอาที่แบบว่าไม่คาวจนเกินไปด้วย
“อ๊ะ อะ อ้า” หวาร้องครางออกมาหลังจากที่ผมสวนสะโพกหนาของตัวเองขึ้นรับกับแรงขับเคลื่อนที่ปล่อยให้หวาเป็นฝ่ายคุมเกมรักอยู่ด้านบน “บะ เบาๆ อ๊ะ อื้ม”
ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนขย่มผมแท้ๆ แต่กลับบอกให้ผมเบาๆ แทน
“อา~” ผมเป่าลมออกจากปากเมื่อเริ่มจะถึงฝั่งฝัน
“พี่ซาดีนส์ อ๊ะ อา วะ หวา มะ ไม่ อ๊ะ” หวาเริ่มจะพูดไม่เป็นคำ
เธอเพิ่มแรงขยับบนตักผมแรงขึ้นตามอารมณ์ความปรารถนาของตัวเอง
“อื้ม อย่าทำรอย!” ผมครางรับแต่ก็ตะคอกคนที่กำลังขับเคลื่อนออกไปเมื่อเธอพยายามจะฝากรอยแดงไว้ที่ซอกคอผม
ผมเป็นพวกประเภทไม่ชอบทำรอยกับใครและไม่ชอบให้ใครมาทำรอยบนร่างกาย ผมหวงร่างกายตัวเอง เดี๋ยวผิวสวยๆ ของผมมันหม่นหมอง
“ทะ ทำไม อ๊ะ พะ พี่ ซาดีนส์ อา~” หวาคงจะถามเหตุผลที่ผมห้ามการกระทำของเธอก่อนหน้า “ฉันไม่ชอบ!” ผมตอบไปตามตรง
แต่หวากลับเหมือนจะไม่สนใจคำตอบของผม ตอนนี้อารมณ์เสียวสะท้านมันคงจะมากกว่าอาการอยากรู้เหตุผลบ้าบอของผม
“อ๊ะ ไม่ หวะ ไหว อื้อ” สิ้นเสียงครางหวาน หวาก็ฟุบหน้าลงซบไหล่ผม เมื่อเธอเพิ่งจะแตะขอบฟ้าก่อนผมไปได้ไม่ถึงสิบวิฯ
“ซี้ด อื้ม” และผมก็แตะขอบฟ้าตามเธอมาติดๆ เช่นกัน
“แต่งเลย / แต่งเลย”ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงตะโกนจากด้านล่างก็ดังขึ้น ทุกคนยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนให้ฉันตอบรับซาดีนส์ ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ของพวกเรา“ฉะ ฉัน” มันตื้นตันจนตอบออกมาเป็นคำพูดไม่ได้“ว่าไงครับ เพลย์น้อยของซีนส์ วันนี้จะยอมเป็นเจ้าสาวของเจ้าชายคนนี้หรือเปล่า” รอยยิ้มที่มาพร้อมกับประโยคร้องขอทำให้ฉันฝืนน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป“ฮึก อึก”“เด็กขี้แย ถ้าไม่ตอบ...” ซาดีนส์เงียบเสียงลง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยคำพูดที่ไม่มีเสียง ‘ฉันจะจับเธอกินทั้งคืน’ ฉันถึงกับกัดปากแน่น แบบนี้เรียกมัดมือชกไหมนะ“อื้อ” ฉันพยักหน้า อยากตอบเขาเป็นคำพูดแต่ตอนนี้มันดีใจสุดๆ มันตื้นตันจนไม่มีเสียงที่จะเปล่งออกมาแล้ว“ไม่เอาสิ อยากได้ยินคำพูดหวานๆ พูดให้ซีนส์ดีใจสักคำสิครับ” เสียงออดอ้อนพร้อมกับแววตาเว้าวอนและโหยหาของซาดีนส์ทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคออึกๆ“ก็บอกว่าอื้อไง” ฉันกัดปากอีกครั้ง เบือนหน้าไปทางอื่นตอนนี้มันทั้งอายและก็ดีใจไปในเวลาเดียวกัน อายเพื่อนๆ และพ่อแม่ดีใจ ที่คำสัญญาในวัยเด็กเป็นจริงสักที“ดื้ออีกแล้ว คนเขาอุตส่าห์บอกความในใจหมดแล้วนะ”ทำเป็นน้อยใจ ชิ! ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ฉันพูดแบบไม่มีเสียงให้เขา
“สวัสดีค่ะ / ครับ” ทั้งตาหวาน ตาโตรวมถึงยีนส์ยกมือไหว้ป๊ากับแม่เล็กหลังจากได้ยินท่านถามประโยคนั้น “ตามสบายนะเด็กๆ วันนี้เป็นวันพิเศษของพิเศษ” ฉันมองหน้าป๊าแบบงงๆ นิดหน่อยวันพิเศษของพิเศษ คือมันแสนจะพิเศษใช่ไหมนะ?“เด็กๆ เข้าบ้านกันเถอะจ๊ะ เดี๋ยวเลยฤกษ์ดีกันพอดี”ฤกษ์ดี? ฉันกำลังจะเอ่ยถามแม่เล็กแต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อท่านเดินนำเข้าไปยังตัวบ้านที่ประดับประดาหรูหราไม่แพ้ด้านนอกเลยสักนิดเดียว“สวัสดีค่ะคุณป้า” เมื่อเข้ามาในตัวบ้านเรียบร้อยฉันมองเห็นแม่ซาดีนส์นั่งรออยู่ที่โต๊ะข้างเวทีทรงเตี้ยที่มีป้ายอะไรสักอย่างถูกปิดด้วยผ้าสีขาวผืนบางอีกที “นั่งก่อนสิจ๊ะหนูเพลย์”ป้าแพรวกวักมือเรียกให้ฉันไปนั่งข้างๆ ท่าน“คุณพิณนี่ตาถึงนะคะ เลือกชุดให้หนูเพลย์เข้ากับงานวันนี้จริงๆ” เสียงป้าแพรวแซวแม่เล็กขำๆ ฉันว่าชุดที่แม่เล็กส่งมาให้มันดูหรูมากเกินไปด้วยซ้ำในตอนแรกเดรสลูกไม้แบบรัดรูปสีชมพูอ่อน เปิดโชว์ช่วงเนินอก กระโปรงยาวคลุมเข่าปลายระบายกว้างนิดๆ เหมือนจะไปงานการ่าดินเนอร์เสียด้วยซ้ำ“เอ่อ คุณป้าคะ” ฉันเสียมารยาทพูดแทรกผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังนั่งเม้าท์กันตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน “ว่าไงจ๊ะลูก”
“หึ” ฉันมองเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเฮียการ์เซียผ่านกระจกมองหลังด้วยแหละ แต่คนถูกถามกลับไม่ตอบคำถามฉัน ทำไมแลดูมีลับลมคมนัยจังนะ“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เมื่อรถจอดหน้าคอนโดเรียบร้อย ยีนส์ลงไปจากรถเป็นคนแรกโดยที่ไม่ได้ล่ำลาหรือกล่าวขอบคุณเฮียการ์เซีย เลยทำให้ฉันที่ยังไม่ลงจากรถรีบเอ่ยขอบคุณเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ กับความเสียมารยาทของเพื่อนรัก“อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวมันกลับมาเธอจะยิ่ง... หลงมัน”“คะ? เมื่อกี้เฮียว่าอะไรนะคะ” เพราะคำพูดท้ายๆ เฮียการ์เซียเบาเสียงลงฉันเลยไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร “รีบลงไปเถอะ เพื่อนเธอจะกินหัวฉันอยู่แล้ว”เขาไม่ตอบอีกแล้ว ฉันมองตามออกไปนอกรถตามคำบอกเล่าเฮียการ์เซีย เห็นยีนส์กำลังยืนทำท่าทางเบื่อหน่ายและเซ็งๆ จ้องมองมาทางพวกเราที่อยู่ในรถเลยต้องรีบปลีกตัวลงไป@สามวันต่อมาฉันอยากเอาหัวโขลกกำแพงให้มันตายรู้แล้วรู้รอดรู้อะไรไหม? ตั้งแต่ที่ซาดีนส์บอกไปธุระต่างประเทศนี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วนะ ไหนเขาบอกจะไปแค่สองวัน วันแรกที่เขาไปคือวันที่เฮียการ์เซียมาส่งฉันกับยีนส์ และหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาอีกแล้วสองวัน ซึ่งซาดีนส์ควรจะกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแต่นี่ฉันยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของ
“นั่นสิเพลย์ เฮียซาดีนส์เขาอาจจะติดธุระจริงๆ จนรอเพลย์ตื่นไม่ไหวมั้ง”ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงตาหวาน แต่ยีนส์ก็ดันพูดแทรกมาก่อน“ว่าแต่…” ยีนส์เงียบ เหล่ตามองคล้ายกับจับผิดอะไรฉัน“อะไรของแก” ฉันหลบสายตาคาดคั้นของเพื่อนรัก“ปกติแกไม่น่าจะนอนขี้เซาขนาดนั้นนะ แกบอกว่าตื่นมาเกือบแปดโมง นั่นมันเลยเวลาปกติที่แกจะต้องตื่นมาเตรียมตัวเรียนเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ”ไม่ได้มาแค่คำถามนะ แต่สายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับจ้องจับผิดของยีนส์ที่ส่งมาทำเอาฉันเสียวสันหลังวาบ“กะ... ก็เมื่อวานไปทำธุระมา เมื่อยไปหน่อยเลยเผลอหลับยาว” นิ้วกลางไขว่นิ้วชี้ไว้เพลย์เยอร์ แค่โกหกเพื่อนเองไม่บาปหรอกเนอะ“เหรอ~” เสียงลากยาวแบบไม่เชื่อสุดๆ ของเพื่อนรักทำเอาฉันหน้าแดงฉ่าแค่มองตายีนส์ฉันก็รู้แล้วว่าเธอไม่เชื่อที่ฉันพูด แถมฉันยังคิดว่าเธอต้องคิดไปถึงเรื่อง... เอ่อ ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดแทนคนอื่นเลยเนอะ!“เฮ้อ! หิวข้าวจัง” แกล้งยกมือลูบท้องเปลี่ยนเรื่อง“เปลี่ยนเรื่องแบบนี้...” ยังไม่เลิกล้อฉันอีกนะ ยัยยีนส์บ้า!“ยีนส์เลิกแกล้งเพลย์เถอะ ดูสิ จะร้องไห้อยู่แล้ว” น่ารักมากตาหวานที่ช่วยพูด“รักหวานที่สุดเลย งั้นเราไปกินข้าวกัน ปล่อยใ
ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าพอรู้สึกตัวมาเหมือนร่างกายผ่านสงครามรบที่ไหนมาไม่รู้ เรี่ยวแรงที่ควรจะมีหลังจากได้หลับพักผ่อนมันน่าจะกลับมาแล้ว แต่เปล่าเลย ตอนนี้ฉันยังรู้สึกปวดเมื่อยไปทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะตรงนั้น!“ไอ้บ้าซาดีนส์” ฉันพึมพำกับตัวเองหลังจากตื่นเต็มตาแล้วคิดแล้วก็น่าโมโห! เมื่อวาน ไม่สิ ไม่น่าพลาดท่ายอมรับข้อแลกเปลี่ยนของหมอนั่นตั้งแต่ก่อนไปถ่ายแบบให้เฮียทีมเลย น่าจะรู้นะว่านิสัยแฟนตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์แค่ไหน ยอมรับเลยว่าครั้งนี้ฉันพลาดมาก พลาดเองเต็มๆ“อ๊ะ ชิ!” แค่ลุกขึ้นนั่งยังรู้สึกปวดแปรบตรงส่วนอ่อนไหว ไม่ต้องคิดถึงตอนเดินเลยว่ามันจะทรมานขนาดไหน“ไอ้บ้าซา...” เสียงฉันหยุดลงเมื่อคิดว่าหันกลับมาจะเจอกับคนที่ทำให้ร่างกายฉันเป็นแบบนี้แต่เปล่าเลย... ซาดีนส์ไม่ได้อยู่บนเตียงกับฉันไปไหนของหมอนี่? เมื่อคืนเขาก็น่าจะหมดแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แล้วนี่เพิ่งจะแปดโมงเช้าเอง เขาไม่น่าจะตื่นเช้าแล้วหายตัวไปแบบนี้ แถมตอนนี้ฉันยังกลับมานอนห้องตัวเองแล้ว คงจะเป็นฝีมือซาดีนส์นั่นแหละที่อุ้มฉันมาส่ง“อูย!” ฉันสูดปากระบายความระบมอีกรอบเมื่อกวาดขาจะลงจากเตียงนั่งทำใจอยู่นาน
“อื้อ” จบคำพูดเอาแต่ใจ คนตัวโตด้านหลังก็คว้าปลายคางฉันให้หันไปรับรสจูบที่แสนดูดดื่มและเร่าร้อน เรียวลิ้นหนาสอดแทรกเข้ามาได้อย่างง่ายดายเมื่อฉันไม่ทันตั้งตัวเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาตักตวงความหวานหอมด้านในจากแค่จูบ ตอนนี้มือไม้ซาดีนส์ที่ว่างอยู่ค่อยๆ ไต่แตะไปตามเรือนร่างของฉัน จวบจนมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งตะปบเข้ากับหน้าอกคู่งามที่มีเตียงรองรับน้ำหนักของมัน“อืม” เสียงครางแหบพร่าหลุดออกมาจากคนที่กำลังพันธนาการฉันด้วยสัมผัส เขาคงกำลังควบคุมอารมณ์บางอย่างที่ตอนนี้มันตื่นตัวจนฉันแทบเป็นบ้า“ขอสด... นะ!” ฉันเบิกตาโพลง ไม่ได้โง่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันทำไมแค่ประโยคนี้ฉันจะแปลความหมายมันไม่ออก“มะ ไม่ได้นะซาดีนส์ มัน อ๊ะ!”ฉันห้ามไม่ทันเมื่อคนเขาแต่ใจค่อยๆ ดุนดันส่วนแข็งขืนนั้นกับสะโพกฉันจากทางด้านหลัง “นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยน”ชิ! ฉันได้แต่จิ๊ปากให้กับความพลาดครั้งใหญ่หลวงของตัวเองตอนแรกก็คิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน ว่าซาดีนส์ต้องขออะไรพิเรนทร์ๆ แบบนี้ แต่ฉันไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นไม่สวมเครื่องป้องกัน!หมับ! ตุ้บ!“อ๊ะ” ตัวฉันลอยกลางอากาศ เมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังยกสะโพกฉันลอยขึ้นเหนือพื