“ฉันจะให้เธอไปฟลอเรนซ์ เป็นตัวแทนเข้าพบมิสเตอร์ซี เอ่อ..หุ้นส่วนใหม่ เขาเป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เราจะคอนแท็คกันด้านธุรกิจทัวร์ เธอต้องช่วยฉันนะเอริน ถ้าโปรเจคนี้ประสบความสำเร็จคุณแม่กรณ์จะได้ยอมรับ ฉันแก่ลงทุกวัน อยากแต่งงานแล้ว เธอช่วยฉันนะ” “คะ... ฉันก็อยากช่วยคุณกับกรณ์ แล้วฉันจะไหวหรือคะ ไปไกลถึงฟลอเรนซ์เลย อะไรก็ยังไม่ได้เตรียมอีกอย่างคือท้องฉัน” เอรินหยุดคำพูดเพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาเป็นประกายวิบวับราวขอร้องจากราเชล ก็ได้แต่อึกอักพูดไม่ออก ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เสียงตะโกนเรียกก็ดังมาจากในบ้าน เสียงที่ราเชลถึงกับถอนหายใจพรืด “ราเชล! ทำอะไรอยู่ อย่าอู้ ไปเรียกกรณ์มากินข้าวได้แล้ว บอกแม่ให้ลงมาอย่างด่วน ขี้เซาซะจริง นอนกินบ้านกินเมืองนัก” “นะเอริน นะ ช่วยฉันนะ ดูสิ แม่สามีดุอย่างกับจะฆ่ากันแล้วเนี่ย นะๆ” “ค่า... คุณแม่! เดี๋ยวหนูไปเรียกให้” ราเชลตะโกนตอบแล้วหันมาพยักเพยิด รีบลุกปัดฝุ่นทรายออกจากชุดแล้ววิ่งฉิวออกไป ปากก็ตะโกนตอบว่าที่แม่สามีไปด้วย สร้างความขบขันให้กับเอริน คิดถึงฟลอเรนซ์จัง... ว่าที่คุณแม่ได้แต่ครุ่นคิด...ราเช
บรรยากาศยามค่ำคืนของลอนดอน ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟสว่างหลากสีสันสะท้อนแข่งกับแสงไฟตึกรามอาคารบ้านช่อง ชานนท์เหม่อมองภาพเหล่านั้นอย่างลืมตัวไม่ทันได้สนใจรอบกายว่าจะมีใครเข้ามารบกวนในช่วงเวลาแห่งความดื่มด่ำและหวนระลึกถึง หลังเสร็จสิ้นภารกิจงานหลักในตอนกลางวัน ช่วงเวลาค่ำคืนจึงจะได้เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง เกรนวิสกี้พร่องไปกว่าครึ่งแก้วยังคงตั้งอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะจนละลาย เอนกายพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในจุดที่เห็นสีสันของลอนดอนอายชัดเจน ภาพในอดีตกลับเข้ามาวนเวียนอืกครั้งและอีกครั้งถึงแม้ไม่ได้นึกถึงมัน สาวน้อยหน้าตาน่ารักท่าทางลุกลี้ลุกลนที่เอ่ยทักสิมิลันด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างสุดแสน เขาจำได้ดีทั้งที่ไม่ได้สนใจไม่เคยใส่ใจ แต่กลับจำได้ ดวงตากลมโตสีสนิมดูตื่นตระหนกแต่น่ามองอย่างประหลาดชานนท์หัวเราะออกมาอย่างนึกขบขัน เอ็นดู ยามนึกถึงสาวน้อยที่วิ่งแจ้นตามเขาไปทุกที่ตลอดเวลาเดินทางไปด้วยกันตามลำพังที่ฟลอเรนซ์ ช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่เขาทั้งเสียใจเพราะสิมิลันปฏิเสธรัก แต่หัวใจถูกเติมเต็มเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว “ทำอะไรอยู่... อเล็กซ์” เสียงทักทายคุ้นหูดังมา
ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษว่างเปล่าราวกับไม่มีใครพักอยู่ก่อน เตียงสีขาวถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของในห้องมีเพียงของใช้พื้นฐานที่ไม่บ่งบอกว่ามีผู้ป่วยพักอยู่ เอรินถึงกับหน้าถอดสีทันทีที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใจหายเมื่อไม่เห็นเขา “ยักษ์!... เขาหายไปไหน หรือว่าเขาไม่อยู่แล้ว หรือว่า...” “เฮ๊ย! ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งร้อง เดี๋ยวฉันไปถามพยาบาล” กรณ์พูดปลอบ แต่เอรินยังคงคร่ำครวญ “พี่นนท์! ฮือ ฮือ แล้วฉันกับลูกจะอยู่ยังไง” เอรินร่ำร้องอย่างลืมอายนึกไปสารพัดว่าเขาอาจจะเป็นอะไรไป หรือเธอมาไม่ทัน กรณ์โอบไหล่ประคองร่างบางที่กำลังเข่าอ่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นให้ยืนหยัดอยู่ในอ้อมแขนเขา “ฉันว่าเขาไม่เป็นไรหรอกมั้ง สงสัยเราเข้าห้องผิดแน่ๆ” คำพูดของกรณ์ไม่ช่วยให้ดีขึ้น กลับทำให้ใจหายหนักกว่าเก่า น้ำตาพร่างพรูพาลไหลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมด เสียงสะอึกสะอื้นสะท้อนดังก้องภายในห้อง จนคนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา แล้วเขาก็พบเอรินกำลังซบหน้ากับอกกรณ์ร้องไห้สะอื้นเสียงดัง ชานนท์กระแอมออกมาเบาๆ เรียกสติ ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย หล่อนเหลียวมองหาที่มาจนพบเขาอยู่ในสายตาใกล้กันชนิดหล่อนเองยัง
บ้านต้นไม้เงียบเหงาวังเวง ใบไม้แห้งเกลื่อนนอกชานเพราะขาดการเอาใจใส่นับตั้งแต่วันที่สองพ่อลูกถูกหามส่งโรงพยาบาล เอรินมองสภาพของบ้านแล้วได้แต่ทอดถอนใจ มือคว้าจับราวบันไดยึดเป็นที่พึ่งยามร่างกายอ่อนแรงสูญเสียกำลังใจ ประตูกระจกถูกเลื่อนเปิดออก กลิ่นอับภายในห้องกระทบจมูกถึงกับนิ่วหน้า มองไปรอบบริเวณห้องแล้วได้แต่นึกถึง “บ้านนี้เหงาจัง... เมื่อไม่มีคุณ ต่อไปที่นี่คงไม่มีคุณอีกแล้ว” หญิงสาวล้มตัวนอนบนเตียงอย่างเดียวดาย ห้องที่มีความทรงจำและเปี่ยมด้วยความหวังมากมาย การได้กลับมาพบเจอได้พูดคุยปรับความเข้าใจ ถึงแม้ในช่วงเวลาอันสั้น แต่ทุกอณูภายในห้องก็ยังมีกลิ่นและร่องรอยความทรงจำของเขา น้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงสะอื้นสะท้อนแผ่วเบาออกมายังนอกบริเวณบ้าน กรณ์ชะงักฝีเท้าขณะก้าวพ้นประตูกระจกเข้ามาภายในห้อง มือชะงักค้างอยู่กับบานประตูหมายจะเลื่อนเปิดกว้างให้อากาศถ่ายเท แต่เมื่อเห็นร่างบอบบางที่นอนคุดคู้สะอื้นหันหลังมาทางเขาก็ถึงกับถอนใจ สองเท้าก้าวแผ่วเบาเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ สัมผัสอ่อนยวบข้างเตียงทำให้คนนอนรู้สึกตัวหันขวับมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ดวงตากลมใสก็หม่นลง “ผ
เสียงเบรกรถดังลั่นในระยะกระชั้นชิดพร้อมเสียงชนเข้ากับอะไรบางอย่างเรียกความสนใจ ผู้คนมารุมล้อมดูเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ตรงหน้า ดอกกุหลาบสีชมพูประดับยิปโซฟิลาช่อใหญ่กระจัดกระจายอยู่บนถนน พร้อมรอยเหยียบย่ำจากผู้คนที่ไม่ได้สนใจมัน...ฝนยังคงตกโปรยปรายต่อเนื่อง กระจกรถแท็กซี่สีฟ้าคันที่นั่งมาจากโรงพยาบาลขึ้นฝ้าด้วยความเย็นของแอร์ภายในกระทบความระอุร้อนของถนนภายนอก เอรินนั่งเบาะตอนหลังคู่กับแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้าย มือเรียวเล็กไล้ไปมาบนกระจกหน้าต่างรถวนไปมาเป็นรูปวงกลม ความคิดเหม่อลอยล่องออกไปยังนอกหน้าต่าง แล้วบางสิ่งบางอย่างก็ดึงความสนใจให้ปรับอิริยาบถจากที่เอนหลังสบายขึ้นมามอง กุหลาบสีชมพูและยิปโซฟิลากระจัดกระจายอยู่บนพื้นถนน ไม่เป็นรูปทรง ช่อดอกไม้บี้แบนหมดสภาพความงามตามจินตนาการของใครบางคน เอรินเหลียวมองตามจนลับสายตา สะกิดใจเล็กน้อยกับร่องรอยคราบสีแดงบนพื้นถนนที่ถูกน้ำชะล้างจนเบาบางหลงเหลือเป็นคราบจางๆหัวใจกระตุกวูบเหมือนอะไรบางอย่างฉุดรั้งจิตใจให้คิดฟุ้งซ่านถึงที่มาและเจ้าของมัน อติมามองตามสายตาลูกสาวด้วยความฉงนใจ “ดูอะไรอยู่ลูก เห็นสนอกสนใจจัง” เอรินถึงกับสะดุ้งหันมาม
“คุณพี่!! คุณพี่รู้เรื่องนั้นได้ยังไงคะ” “เจ้าพัชมาสารภาพเองเมื่อนานมาแล้ว ว่าจำเป็นต้องใช้เงินรักษาลูกที่โดนรถชน มันเลยมาขอหยิบยืมเงินจากพี่แล้วฝากโฉนดบ้านสวนไว้แทน แล้วเอาเงินที่แกจ้างวานมาคืนพี่เพราะรู้ว่าถ้าคืนแกจะไม่ยอม พี่ให้เงินไปเพราะสงสารและเพราะแกไปทำร้ายลูกมันแล้วยังมีหน้าไปโบ้ยความผิดให้เด็กอายุแค่สิบกว่าปีที่ความจำเสื่อมนั่นอีก มันเกินจะทนทานจริงๆ แต่พี่ก็พูดไม่ได้เพราะแกเป็นน้อง” “แต่มันเป็นคนตัดสายเบรครถคนคู่นั้นกับมือ” “แกเข้าใจผิด รายงานผลของตำรวจบอกว่าสองคนนั้นเกิดอุบัติเหตุเอง สายเบรกไม่ได้ถูกตัดขาดยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ดี และเจ้าชาร์ลที่ขับรถไม่แข็งคงตกใจขับตามพ่อกับแม่มันไปเห็นรถตกเขา มันก็เลยสติแตกชนเข้าไปอีกคัน จนรถพังไหม้เป็นตอตะโก” “ไม่! ไม่จริง ทำไมเป็นอย่างนี้ น้องอุตส่าห์รอเวลาตั้งหลายปี ทำไม!”“ฉันเล่าให้เขาฟังหมดแล้ว แต่ลูกแกยืนยันว่าไม่เอาเรื่อง แต่เขาจะขอกลับไปอังกฤษเคลียร์งานทุกอย่างและจะย้ายไปอยู่ฟลอเรนซ์กับหนูเอริน ภรรยาของเขา”“แล้วคุณพี่ก็ยอมหรือคะ โรงแรมของเราอยู่ในมือเขานะ!” ภิรณีย์ถามกลับเ