LOGINบทที่ 12 เดตถึงสวรรค์ (2)เมืองทั้งเมืองทอดยาวอยู่เบื้องล่างราวกับภาพวาดหลังคาบ้านลดหลั่นเป็นชั้นตามพื้นดินลาดเอียง ถนนคดเคี้ยวราวเส้นหมึกที่ถูกวาดด้วยพู่กันผืนทะเลส่องประกายสะท้อนแดดยามบ่ายเป็นสีเงินละมุนภูเขาสีเขียวเข้มซ้อนทับกันไปไกลสุดสายตาเมฆสีขาวลอยเอื่อยเหนือยอดไม้ ราวกับทุกสิ่งถูกกลั่นรวมเป็นภาพเดียวที่สมบูรณ์แบบที่สุดแอลลี่มองตะลึง ก่อนกระซิบเสียงเบา “…สวยมาก”เมอร์สันยืนอยู่ข้างเธอ ไม่พูดอะไรสักคำเพราะดวงตาเขากำลังจดจ้องแค่เธอเท่านั้นหญิงสาวรู้สึกได้ว่าสายตาเขากำลังจับจ้องมองอยู่ แม้จะไม่หันไปก็ตาม ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่“สวยเนอะ” แม้เมอร์สันจะเอ่ยปากชม ทว่าสายตาไม่ได้มองวิวธรรมชาติแต่อย่างใด “ขอบคุณที่แอลลี่ไม่เกลียดผมไปซะก่อน”แอลลี่หันมามองชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ก็แน่ล่ะ หากเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงโดนหล่อนตบหน้าและหนีกลับไปแล้ว !แอลลี่เม้มปากแน่น พยายามไม่ยิ้มออกมา แต่ริมฝีปากกลับยกขึ้นนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว“ยังไม่ถึงขั้นเกลียด…” เธอพูดเสียงเบา ก่อนเสริมอย่างถากถางนิด ๆ “แต่ถ้ามันสูงกว่านี้อีกก็ไม่แน่”เมอร์สันหัวเราะในลำคอ “งั้นถือว่า
บทที่ 11 เดตถึงสวรรค์ (1)หลังอาหารมื้อใหญ่ที่แอลลี่กินอย่างเอาจริงจังจนเมอร์สันได้แต่นั่งยิ้มขำ ทั้งคู่ก็พักอยู่ที่ร้านสักครู่เพื่อรอให้แดดช่วงเที่ยงอ่อนลง ก่อนจะออกเดินเที่ยวต่อรอบ ๆ จุดชมวิวด้านบนของภูเขาสายลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า กลิ่นสนและดอกไม้ป่าลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ แสงแดดยามบ่ายอ่อนส่องกระทบผืนน้ำด้านล่างจนกลายเป็นประกายระยิบระยับ“งั้นไปเดินย่อยกันหน่อยดีไหม”“นายอยากให้ฉันเดินขึ้นอีกเหรอ” เธอทำเสียงขุ่น“เธอไม่ชอบเหรอ” เมอร์สันเอ่ยถาม และพยายามปรับทำความเข้าใจถึงความชอบของแอลลี่ หากคราวหน้าขอเธอเดตอีกอาจจะต้องเลือกที่ดีกว่านี้แอลลี่มองพลางถอนหายใจออกมาจะว่าไม่ชอบก็ไม่ใช่ เพราะวิวนั้นสวยจริง แต่อย่างน้อยเดตแรกเขาควรหาที่สบาย ๆ เบา ๆ กว่านี้ก่อน ถึงจะบ่นออกไปตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ในเมื่อเดินทางมาครึ่งภูเขาแล้ว !“คราวหน้านายต้องบอกฉันล่วงหน้านะ ฉันจะได้เตรียมใจ”พอดียินคำว่า ‘คราวหน้า’ เมอร์สันก็ยิ้มออกมาทันที เพราะนั่นคือโอกาสของเขาอีกครั้ง“ได้สิ ผมสัญญาเลย!” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงยินดีก่อนพูดต่อไปว่า “ถ้าเธอเดินไม่ไหวบอกนะ ผมจะให้ขี่หลังแทน”แอลลี่ไม่ได้ตอบอะไรได้แ
บทที่ 10 เดตที่ต้องออกแรงวันนี้คือวันนัดเดต เมอร์สันนัดเธอเมื่อคืนว่าเช้าวันนี้จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทาง พร้อมทั้งเน้นย้ำให้สวมกางเกงและรองเท้าผ้าใบและเขาก็พูดอย่างมั่นใจว่าจะ “พาไปดูวิวที่สวยที่สุดใน”แต่แอลลี่เริ่มแน่ใจแล้วว่าคำว่า “สวยที่สุด” ของเขา แปลว่า “เหนื่อยที่สุดในชีวิต” ต่างหากตั้งแต่เช้า ทั้งคู่ขึ้นรถบัสออกจากตัวเมือง ผ่านบ้านเรือนเรียงรายสลับกับทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ก่อนจะมาหยุดที่เชิงเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง — ภูเขาที่สูงเด่นอยู่เหนือท้องฟ้า มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติและจุดชมวิวกระจายอยู่ตลอดทางอากาศยามสายสดชื่นจนแอลลี่อดสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ กลิ่นดินผสมกับกลิ่นหอมของไม้ป่าให้ความรู้สึกเย็นและสดใหม่ไปทั้งร่าง แต่ความรู้สึกนั้นอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะเธอต้องเดินขึ้นบันไดชันเป็นเวลานาน แอลลี่ก็เริ่มรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ“นี่นายพาฉันมาเดตจริง ๆ ใช่ไหม”เธอบ่นพลางหอบแฮ่ก มือหนึ่งยันเข่าตัวเองไว้ อีกมือพัดหน้าอย่างอ่อนแรง ครั้นจะเดินกลับลงไปก็รู้สึกเสียดายเพราะเดินขึ้นมาแล้วรู้แบบนี้น่าจะถามเขาก่อนว่าจะพาไปที่ไหนหากต้องมาเดินเขาแบ
บทที่ 9 การตอบรับความรู้สึกการนัดเดตไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะใกล้ถึงช่วงสอบปลายเทอมของคลาสเรียนภาษา แอลลี่จึงต้องหันกลับมาตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับเมอร์สันที่มักมานั่งติวด้วยกันในห้องสมุดหรือร้านกาแฟเล็ก ๆ ใกล้หอพัก พวกเขายังคงใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ทั้งหัวเราะ พูดคุย และเงียบข้างกันโดยไม่รู้สึกอึดอัด แต่ในความเหมือนเดิมนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปทั้งสองตกลงกันไว้ว่า หลังจากสอบเสร็จแล้ว ค่อยไปเดตกันจริง ๆ สักทีแน่นอนว่าเมอร์สันอยู่ที่นี่ครบหนึ่งปีตามแผน เพราะเขามาเรียนภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสารสำหรับการเรียนรู้ศิลปะของประเทศนี้ส่วนแอลลี่...เธอมาเพื่อพักใจจากความรักจึงยังไม่มีแผนที่จะทำอะไรต่อไปในเร็ว ๆ นี้ที่ผ่านมา แอลลี่ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเมอร์สันเลย และเขาเองก็ไม่เคยคาดคั้นให้เธอพูดเช่นกัน ทั้งคู่เพียงใช้เวลาร่วมกันในแบบที่ไม่ต้องรู้อดีตของอีกฝ่ายก็รู้สึกสบายใจได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมอร์สันเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้เธอฟังทีละน้อยแต่เดิมเมอร์สันคือลูกชายของนักธุรกิจที่เดินทางมาลงทุนในประเทศ และเขาก็ชื่นชอบผลงานทางด้านศิลปะเป็นพิ
บทที่ 8 เสียงข้างห้องของหัวใจการดูภาพยนตร์ในห้องกับเมอร์สันได้เริ่มต้นขึ้นผ่านหน้าจอเล็ก ๆ ทั้งคู่นั่งห่างกันไม่ถึงคืบ ในแสงจอที่วูบไหว เธอเหลือบเห็นทุกแง่มุมของใบหน้าเขาชัดขึ้นต้องยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง…ระหว่างการดูภาพยนตร์ไปไม่นานเสียงกรีดร้องดังขึ้นส่งผ่านลำโพงทำให้กิจกรรมข้างห้องที่กำลังดุเดือดนั้นชะงักลงทันทีแอลลี่และเมอร์สันก็รู้สึกเช่นกัน จึงหัวเราะออกมาเสียงดังจนน้ำตาเล็ด แม้ว่าภาพยนตร์ตรงหน้าจะไม่ใช่แนวตลกเลยภาพยนตร์ที่เมอร์สันเลือกนั้นได้ผลดีกว่าของเธออีก พวกเขาหยุดชะงักลงราวกับหมดอารมณ์ และก็ตามมาด้วยเสียงทะเลาะกันเล็กน้อย“พวกเขาจะ…โอเคไหม” แอลลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล“ไม่รู้สิ แต่ก็ทำให้เขาหยุด…”ก๊อก…ก๊อก…ไม่นานนักเสียงเคาะประตูห้องของแอลลี่ก็ดังขึ้น เธอคาดเดาได้ว่าคู่รักที่ยืมห้องเมอร์สันต้องออกมาโวยวายแน่นอนชายหนุ่มขยับตัวลุกพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวผมออกไปเอง”เมอร์สันออกไปเปิดประตูเห็นเพื่อนที่ชื่อว่า “เอดิส” มองมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ“บ้าเอ่ย! นายเองเหรอที่ทำฉันทะเลาะกับหล่อน”เอดิสสบถออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทว่าสีหน้าและแววตาของเมอร์สันก็จ้องมอ
บทที่ 7 เสียงที่ถูกเข้าใจผิดตลอดเกือบสามเดือนที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของแอลลี่กับเมอร์สันค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากความคุ้นเคยธรรมดาเป็นความผูกพันที่ลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น ทั้งเรียน ทั้งกินข้าว ทั้งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ในห้องสมุด ช่วงเวลาพูดคุยกันกลายเป็นสิ่งที่แอลลี่เฝ้ารอในแต่ละวันเมอร์สันเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยในเวลาเดียวกัน เขาไม่เอาใจมากเกินไป แต่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยที่คนทั่วไปมักมองข้าม เช่นจำสิ่งที่เธอชอบ หรือ สิ่งที่ไม่ชอบ กระทั่งสิ่งที่เธอกลัว อย่างเช่นแมลงสาบจนถึงตอนนี้...แอลลี่เองก็ยอมรับว่า “เขา” กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอไปแล้วแต่คืนนี้กลับต่างออกไป เพราะคืนวันหยุดยาววันแรกของเทศกาล ทุกคนในหอพักดูเหมือนจะออกไปข้างนอกหรือไปเที่ยวนอกสถานที่กันหมด เมอร์สันก็เช่นกัน—อย่างน้อยแอลลี่ก็คิดว่าอย่างนั้น อันที่จริงเขาชวนเธอออกไปแต่เธอปฏิเสธด้วยข้ออ้างว่าอยากพักผ่อนเธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลือกอยู่คนเดียว ทว่าตอนนี้…กลับเริ่มเสียใจที่ตัดสินใจแบบนั้นเสียงหัวเราะคิกคักแผ่วเบาแทรกผ่านผนังห้องมาพร้อมเสียงที่แอลลี่จำได้ไม่ผิดแน่ มันค







