“โอเค... ฉันว่านี่มันก็ค่อนข้างวุ่นวายนิด ๆ นะ”
ของขวัญพึมพำเบา ๆ ขณะเดินผ่านจุดตรวจตั๋ว ก่อนจะหยุดยืนต่อแถวหน้าคอนเสิร์ตฮอลล์ที่ออกแบบอย่างทันสมัย ผนังด้านนอกเป็นกระจกสะท้อนแสงไฟจากเมืองที่สาดเข้ามาวูบวาบ รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนกระจายอยู่ทั่วบริเวณหน้าอาคาร พร้อมเสียงพูดคุย หัวเราะ และแซวกันระงม มันเหมือนกับถูกพัดเข้าสู่โลกอีกใบที่เต็มไปด้วยพลังงานคึกคักอันบ้าคลั่ง แบบที่เธอไม่เคยคุ้นชิน
กลุ่มหญิงสาวสามสี่คนที่ยืนห่างออกไปไม่เกินสองเมตรกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ราวกับไม่ได้มาเพื่อดูคอนเสิร์ต... แต่มาเพื่อแต่งงานกับใครสักคนในวงไซเรน
“โอ๊ยตาย! วันนี้เขาจะสบตากับเราไหมนะ!”
หญิงสาวคนหนึ่งพูดพลางยกมือกุมแก้ม ใบหน้าแดงปลั่งด้วยทั้งอากาศร้อนและความตื่นเต้น
“ขอให้เป็นฉันทีเถอะ! แค่อยากได้ยินเขาเรียกชื่อฉันจากปากเขาสักครั้ง... แค่คิดก็จะเป็นลมแล้ว!!”
“แก—แค่ฉันหลับตาแล้วนึกถึงรอยยิ้มของเขา ฉันก็แทบละลายอยู่ตรงนี้แล้ว!”
เสียงกรี๊ดเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมท่าทางเพ้อฝันของพวกเธอ ราวกับกำลังแสดงอยู่ในละครรักโรแมนติกฝรั่งเศสกลางฤดูใบไม้ผลิ
เธอเหลือบตามองต้นหอมที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะโดนสะกิดยิก ๆ ที่สีข้าง
“เห็นไหมล่ะ” ต้นหอมพูดเสียงเบาแต่ตื่นเต้นจนชัดเจน “มีแต่คนคลั่งรักวงนี้ โดยเฉพาะนักร้องนำ...”
“จ้า... ก็หวังว่าเธอจะไม่เป็นแบบนั้นล่ะกัน”
“แล้วเธอจะรู้... ของขวัญเอ๋ย”
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในฮอลล์ด้านใน ความรู้สึกเหมือนถูกซัดด้วยพลังบางอย่างก็โถมเข้าใส่ทันที เพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟขนาดใหญ่ที่ให้แสงนวลตา พื้นพรมหนาใต้ฝ่าเท้าช่วยซับเสียงฝีเท้าของฝูงชนที่เคลื่อนตัวเข้าออกอยู่ตลอดเวลา กลิ่นน้ำหอม โลชั่น และแอลกอฮอล์เจลผสมปนเปกันอยู่ในอากาศ ดนตรีเบา ๆ ดังคลออยู่ตามลำโพงหลายจุดอย่างมีจังหวะ
พื้นที่หน้าเวทีถูกกั้นด้วยรั้วเหล็กต่ำสำหรับโซนยืน ทีมงานกระจายตัวดูแลฝูงชนอย่างใกล้ชิด ต้นหอมดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เธอคว้ามือของขวัญลากเข้าไปด้านหน้าเหมือนกลัวจะพลาดอะไรบางอย่าง
ซึ่งก็ใช่—เพราะเธอซื้อบัตรพรีเมียมที่ยืนใกล้เวทีจนแทบจะเห็นรูขุมขนของนักร้องนำ
ของขวัญเหลือบมองเพื่อนตัวเองที่กำลังยิ้มกว้างจนตาแทบปิด เธออดคิดไม่ได้เลยว่าปกติต้นหอมเป็นคนประหยัดจนน่าเหลือเชื่อ แค่จะซื้อเสื้อตัวหนึ่งยังลังเลเป็นชั่วโมง
แต่ครั้งนี้... เธอกลับทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อดูคอนเสิร์ตวงหนึ่ง—โดยเฉพาะหนึ่งในนั้น ที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของของขวัญไปตลอดกาล
ในตอนนั้น เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตของเธอเริ่มต้นใหม่แล้ว ตั้งแต่ยืนอยู่ตรงนั้น
พวกเธอยืนอยู่ได้สักพัก แสงไฟบนเวทีก็ดับลง เสียงฝีเท้าเดินขึ้นเวทีดังแทรกเข้ามาท่ามกลางเสียงพูดคุยที่ยังอื้ออึงในความมืด สปอตไลต์สีขาวเพียงหนึ่งดวงเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ และหยุดลงเมื่อเสียงกีตาร์โปร่งค่อย ๆ คลอขึ้นเบา ๆ
ชายหนุ่มร่างสูง เรือนผมสีแดงเพลิงกำลังดีดกีตาร์อยู่กลางเวที เสียงโน้ตแรกทำให้ทั้งฮอลล์เงียบวูบลง มันไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่มันเหมือนกำลังถักทอความรู้สึกบางอย่างในอากาศ เสียงเรียบนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจที่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องโดยไม่ได้นัดหมาย
กีตาร์ไฟฟ้าเข้ามาสอดประสาน เสริมด้วยเบสที่ไล่จังหวะอย่างมั่นคง ไม่นาน เสียงกลองก็กระทบขึ้นพร้อมเพรียง เปิดเพลงแรกอย่างนุ่มนวล ไม่ใช่พายุอารมณ์ ไม่ใช่ความดุดัน หากแต่เป็นคลื่นเบา ๆ ที่กำลังพาความรู้สึกล่องลอยไปไกลแสนไกล
แสงไฟทีละดวงส่องไปยังสมาชิกแต่ละคนที่กำลังเล่นกันอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนล้วนมีเสน่ห์ราวกับถูกปั้นแต่งโดยศิลปินผู้เข้าใจแก่นแท้ของมนุษย์ ทุกองค์ประกอบ ทุกการเคลื่อนไหว เชื่อมโยงกันด้วยเส้นสายที่มองไม่เห็น
และแล้ว... แสงสุดท้ายก็หยุดลงที่เขา
ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำสนิท ถูกจัดทรงอย่างเรียบง่ายแต่ดูดี ใบหน้าเรียวคม ดูสงบและจริงจัง จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่เยือกเย็นแต่ลึกซึ้งจนน่าหวั่นไหว เขายืนนิ่งอยู่กลางเวที ราวกับกำลังรอให้เสียงดนตรีกลืนโลกทั้งใบไปก่อนจะเปล่งเสียงใด ๆ ออกมา
“กรี๊ดดดดด เอเดน!!!”
เสียงแหลมสูงจากแฟนคลับดังขึ้นทันที ราวกับเป็นสัญญาณของเวทมนตร์ที่เพิ่งเริ่มต้น
ใช่... เขาคือเอเดน
เอเดน เคนเนธ — นักร้องนำของไซเรน
ครั้งก่อน... เธอไม่แม้แต่จะรู้ว่าใครเป็นนักร้องนำของวงนี้ เพราะเธอเลือกจะปล่อยให้ต้นหอมดูคอนเสิร์ตอยู่คนเดียว ขณะที่เธอกำลังกอดความรักจอมปลอมอยู่บนเตียงกับลีวาย
แต่มาวันนี้... เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมใคร ๆ ถึงอยากให้เขาสบตา
และบางที... เธอเองก็อยากให้เขาสบตาเธอบ้าง
ไม่ใช่เพราะหวังว่าเขาจะจำเธอได้—เพราะเธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ย้อนเวลากลับมาด้วยกัน
แค่อยากให้เขาเห็นเธอ แค่นั้นก็พอ
และในจังหวะที่ดนตรีไล่จังหวะขึ้นอีกครั้ง เสียงทุ้มลึกของเขาก็ดังขึ้น... ท่ามกลางจังหวะเปิดตัวที่เหมือนกับทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
“Just close your eyes and forget the sound
Of the world that kept us underground I
if you can hear me in this silence, love…
Please don’t let go — I’m drowning in my own blood”
(แค่หลับตา… แล้วลืมเสียงทั้งหมดไป
เสียงของโลกที่เคยกดเราจมอยู่ใต้ดิน
ถ้าเธอยังได้ยินฉัน… ท่ามกลางความเงียบนี้
ได้โปรดอย่าปล่อยมือฉัน—ฉันกำลังจมในเลือดของตัวเอง)
เสียงร้องของเขามีน้ำหนักราวกับบรรจุเรื่องราวไว้มากมาย มันขึงขัง แต่ไม่เย่อหยิ่ง แตกสลาย แต่ไม่สิ้นหวัง และซื่อตรงเกินกว่าที่เธอจะหันหน้าหนีได้
เสียงนั้นล่องลอยผ่านผู้คนมากมายในฮอลล์อย่างสง่างาม แต่กลับพุ่งตรงเข้ามาในหัวใจของเธออย่างจู่โจม รุนแรง และไม่ทันตั้งตัว ราวกับถูกเขียนขึ้นมาเพื่อตัวเธอเพียงคนเดียวโดยเฉพาะ เธอไม่รู้ว่าเขากำลังมองลงมาที่ใคร แต่ในจังหวะหนึ่ง ดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้นกลับสบเข้ากับเธออย่างจัง
ของขวัญไม่อาจแน่ใจว่ามันคือภาพจริงหรือภาพลวงตา ทว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะลึกลงไปในใจ เธอกำลังหวังอย่างเงียบงัน หวังว่าตัวเองจะมีค่าพอให้เขาจดจำได้ แม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
“I call your name in every dream
Though I know it's just a distant scream
Still my soul drifts without a shore
You’re the only one I’m searching for”
(ฉันยังคงร้องเรียกชื่อเธอในทุกความฝัน
แม้จะรู้ว่ามันเป็นแค่เสียงกรีดร้องจากที่แสนไกล
แต่จิตวิญญาณของฉันยังล่องลอยไร้ทิศทาง
เพราะเธอ… คือคนเดียวที่ฉันตามหา)
เสียงกระซิบข้างหูจากต้นหอมทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ทันที
“ฉันบอกแล้วว่าเธอต้องหลงรักเขา”
ใช่... ต้นหอมพูดถูก และมันไม่ได้เป็นแค่ความหลงใหลแบบชั่วครู่ แต่มันคือความรัก—ความรักที่เกิดขึ้นโดยที่เขาไม่แม้แต่จะรู้จักเธอด้วยซ้ำ
ในวินาทีนั้น ลมหายใจของเธอขาดห้วง ตัวแข็งทื่ออย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้นเลื่อนลงมาสบเข้ากับสายตาของเธอโดยตรง เธอไม่แน่ใจว่ากำลังคิดไปเองหรือเปล่า ถ้ามันเป็นเพียงวูบเดียว เธอคงจะตัดมันทิ้งว่าเป็นภาพลวงตาจากแสงไฟหรือจินตนาการของตัวเอง
แต่เปล่าเลย... ทั้งสองสบตากันอยู่นาน ราวกับในโลกนี้ไม่มีเสียงกรี๊ด ไม่มีฝูงชนที่เบียดเสียด ไม่มีแสงจ้าที่พร่าเลือน ไม่มีอะไรเลย — นอกจากดวงตาคู่นั้นที่มองตรงเข้ามาในหัวใจของเธอ แม้เขาจะไม่รู้จักเธอเลยก็ตาม เธอไม่ได้พยายามจะหลบสายตา แต่ลึก ๆ กลับไม่อยากให้เขามองเธอด้วยสายตาแบบนั้น มันเหมือนถูกแผดเผา เธอกลัวว่าตัวเองจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งในกลุ่มแฟนคลับที่หวังในสิ่งเกินเอื้อม ซึ่งมันจะสั่นคลอนทั้งศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจที่เธอรักษาไว้
แต่ถึงอย่างนั้น... เธอก็ไม่อาจละสายตาไปได้ ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนไหนในร่างกายที่ขยับได้ตามคำสั่ง เพราะในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ เธอก็ยังคงหวังอยู่เสมอหวังว่าเขาจะจดจำเธอได้ แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม
เสียงสดใสเอ่ยขึ้นทันทีที่บทเพลงจบลง
“สวัสดีทุกคน”
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่แนบแน่นกับเธอเมื่อครู่ค่อย ๆ ผละออกอย่างนุ่มนวล ก่อนจะกวาดมองฝูงชนเบื้องหน้าแทน สำเนียงไทยแปลก ๆ ที่เล็ดลอดออกจากริมฝีปากของเขาทำให้เธอแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ — แต่คงไม่มีใครหัวเราะตาม ถ้าเธอหลุดเสียงออกมาตอนนี้ เพราะเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับรอบตัวดังกลบทุกความคิด
ให้ตายสิ... เธอคิดถึงช่วงเวลานั้นชะมัด
“ยินดีที่ได้พบกับพวกคุณในวันนี้” เขากล่าวอย่างพยายาม ดวงตาฉายแววตั้งใจ “ขอบคุณที่มา... โงน—เอ่อ... แงน... เอิ่ม What do I have to say?”
(นี่ฉันต้องพูดว่าอะไรนะ?)
“It’s ‘ngan’, not ‘ngen’ with an accent from outer space, mate.”
(มันออกเสียงว่า ‘งาน’ ไม่ใช่ ‘แงน’ ที่ฟังเหมือนสำเนียงมาจากนอกโลกนะพวก)
เสียงกระซิบจากมือกลองที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นทันที ตามด้วยเสียงหัวเราะพรืดของมือเบส เธอเองก็แทบจะหลุดหัวเราะด้วย ถ้าไม่ติดว่ากำลังพยายามกลั้นหายใจไม่ให้ดูเด่นท่ามกลางฝูงแฟนคลับที่กำลังคลั่งรักชายหนุ่มตรงหน้า
เธอสังเกตได้ว่า พวกเขาทุกคนดูดีจริง ๆ ดูดีกว่าตอนที่เธอเคยเจอเสียอีก
“ขอบคุณที่มางานของเราวันนี้ – และเราดีใจมากที่ได้พบทุกคน” เอเดนยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่เปล่งพลังบางอย่างออกมาอย่างไม่มีพิษภัย “ขอบคุณอีกครั้งคร้าบ”
“Hey, I think you need to learn how to speak Thai, dude.”
(เฮ้ นายควรไปเรียนพูดภาษาไทยใหม่เถอะว่ะเพื่อน)
“And you should focus more than just remember. Lol.”
(แล้วนายควรจะตั้งใจให้มากกว่าจำเฉย ๆ อะนะ 555)
บทสนทนาสลับภาษาเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งฮอลล์ รวมถึงต้นหอมที่ดูจะปลื้มในความพยายามของนักร้องนำอย่างออกนอกหน้า
“เธอเห็นเขาแล้วใช่ไหม ของขวัญ?” ต้นหอมพูดพลางดึงแขนเธอเบา ๆ “เห็นหรือยังว่าเอเดนน่ะ หล่อแค่ไหน!”
“อ่า...ใช่” ของขวัญลากเสียงตอบกลั้วหัวเราะ “เขาก็ดูโอเคอยู่นะ”
“แกมันคนโกหก ไอ้ขวัญ!” ต้นหอมแยกเขี้ยวใส่ “ฉันไม่เคยเห็นใครจ้องเขาตาค้างแบบแกมาก่อนเลยนะ”
“หุบปากเลยนะ ยัยบ้า!”
ทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ขณะที่เสียงดนตรีค่อย ๆ จางลงเมื่อคอนเสิร์ตจบลง ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบในแบบที่มันควรจะเป็น—ยกเว้นบางอย่างในใจของขวัญที่ยังไม่แน่ใจว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง หรือเพียงชั่วขณะธรรมดา
“ไอ้ขวัญ! ฉันว่าฉันเห็นเขา—”
ยังไม่ทันที่ต้นหอมจะพูดจบ เธอก็วิ่งพรวดออกไปทันที ราวกับถูกแรงลึกลับบางอย่างดึงตัวไป ของขวัญเบิกตากว้าง
“ไอ้หอม! แกบ้าไปแล้วเหรอ!”
เธอร้องไล่หลังและเริ่มวิ่งตามไปโดยไม่ทันได้คิด แผ่นหลังของเพื่อนโผล่ให้เห็นเพียงวูบวาบตรงมุมหนึ่งของฮอลล์
โอ๊ย... นี่เธอมาเป็นเพื่อนกับยัยผู้หญิงบ้านี่ได้ยังไงกันนะ ให้ตายเถอะ!
“แกจะไปไหนกันแน่!”
ของขวัญร้องถามอย่างหอบ ๆ เมื่อต้นหอมหยุดวิ่งหน้าห้องบานหนึ่ง ราวกับกำลังแอบดูอะไรบางอย่างอยู่ เธอเดินเข้าไปหาเพื่อนพร้อมหายใจแรงแทบขาดใจ
“ต้นหอม! เป็นอะไรของ—”
แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ ต้นหอมก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเธอไว้ทันที
“เงียบก่อนสิ”
เธอกระซิบ แล้วพยักพเยิดให้มองเข้าไปในห้อง
ของขวัญค่อย ๆ หันไปตามสายตา และสิ่งที่เธอเห็นคือวงไซเรนกำลังนั่งล้อมโต๊ะกันอยู่ในห้อง VIP ที่ตกแต่งอย่างหรูหราแบบยุโรป โต๊ะตรงหน้ามีเบียร์กระป๋องวางอยู่หลายกระป๋อง และจานอาหารว่างเล็ก ๆ วางเรียงราย พวกเขาดูผ่อนคลายอย่างเหลือเชื่อ หัวเราะกันเหมือนกลุ่มเพื่อนที่เพิ่งผ่านวันหนัก ๆ มา
“ต้นหอม... เราไม่ควรอยู่ตรงนี้” ของขวัญกระซิบเสียงเข้ม พยายามดึงแขนเพื่อนเบา ๆ “เราไม่มีสิทธิ์มาแอบดูแบบนี้นะ มันคือพื้นที่ส่วนตัว—เธอไม่เข้าใจเหรอ?”
ต้นหอมไม่ตอบ เธอยังคงตั้งใจฟังบทสนทนาที่ลอยออกมาจากในห้อง
ส่วนของขวัญ... ยืนอยู่ตรงนั้น ใจเต้นแรงไปหมด
ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น — แต่เพราะลึก ๆ แล้วเธอเริ่มรู้สึก...
ว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ซ้ำเดิมอีกต่อไปแล้ว
นาตาลีใช้แอปฯ เรียกรถให้มารับที่หน้าคอนโดฯ แล้วปักหมุดไปยังจุดหมายที่เธอจำได้แม่นยำราวกับมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ — ท่าเรือแคมบริดจ์ พอร์ทรหัส USY ที่นั่นมีโกดังหลังหนึ่งซึ่งจากภายนอกดูเก่าคร่ำคร่าเกือบจะร้าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันถูกจัดแต่งอย่างจงใจให้ดูโทรม — “โทรมแบบมีคอนเซปต์” มากกว่าโทรมจริงการจะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย ด่านรักษาความปลอดภัยหลายชั้นทำเอาเธอแทบถอดใจกลางทาง แต่ในที่สุด... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโกดังหมายเลข 7 — โกดังเก็บของขนาดใหญ่ที่ต้นสังกัดซื้อไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ซ้อมลับเฉพาะของวง ไซเรนจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ด้านหน้าโกดังชัดเจนพอจะฟันธงได้ว่า... ลิงทั้งห้า น่าจะอยู่กันครบถ้วนทุกตัวแน่นอนนาตาลีเลือกใช้ทางลับ — เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ นอกจากเธอกับเอเดน ทางที่เคยใช้ด้วยกันเป็นประจำในอดีตชาติที่เธอจำได้ไม่ลืมหัวใจเธอหวิวขึ้นมาเล็กน้อยในระหว่างที่ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบผ่านตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเขาจะสงสัยไหมว่าเธอรู้ได้ยังไง?หรืออาจจะถามเลยว่าเธอเป็นใครกันแน่?หรือไม่ก็แค่จ้องมาด้
นาตาลีตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดด้วยใบหน้าบวมเป่ง ราวกับเพิ่งโดนฝ่ามือของความจริงตบซ้ำซากหลายครั้งไม่ให้ทันตั้งตัว ขอบตาคล้ำลึก เครื่องสำอางเก่าที่ไม่ได้เช็ดออกจนหมดทำให้ดวงตาดูเลอะเลือนคล้ายงานศิลป์ที่เปียกฝน และเส้นผมกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นพายุมาไม่ต้องส่องกระจกก็รู้—สภาพเธอตอนนี้แย่เกินจะออกไปรับแดดเธอถอนหายใจแรง ๆ ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความปวดหัวแล่นขึ้นมาราวกับคีมเหล็กบีบสมอง ทั้งเสียงของแม่ที่ยังวนเวียนในหัวไม่หยุด และภาพเมื่อคืนที่เอเดนโอบเธอไว้แน่นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ“ไม่ ไม่สิ — หยุด! ของขวัญ แกต้องตั้งสติ”เสียงในหัวเธอสั่งอย่างนั้นนาตาลีรีบล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกมาจากห้องนอนราวกับหนีออกจากฝันร้าย แพนเค้กง่าย ๆ สักสองสามแผ่นอาจพอช่วยให้สมองของเธอกลับมาทำงานได้ในห้องครัวที่เงียบเกินไป เสียงตีแป้งกลับชัดเจนราวกับมีไมค์จ่ออยู่ ความคิดที่พยายามผลักไสก็เริ่มกระซิบขึ้นมาอีกครั้ง…ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่กับเขา — กับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนไกลแสนไกล และไม่คิดว่าจะได้เข้
เสียงริงโทนเก่า ๆ ดังขึ้นภายในกระเป๋า สะท้อนก้องไปในลิฟต์ที่เงียบสงัดราวกับห้องสารภาพบาป นาตาลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาช้า ๆ — ลึก ๆ เธอหวังว่าอาจจะเป็นต้นหอม แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่...“ค่ะ แม่…”[เดินทางไปถึงแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง]“ก็ดีค่ะ... หมายถึงโดยรวม”[แม่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แนต — แม่หมายถึงงาน เรียน แล้วก็ที่สำคัญที่สุด... เรื่องของ ‘ลีวาย’]ลมหายใจของเธอขาดช่วงแผ่วเบาในลิฟต์ที่เงียบสนิท ราวกับคำพูดของแม่กดทับอะไรบางอย่างในอก — ไม่ใช่ห่วง แต่เป็น... ความคาดหวังที่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด“งานโอเคค่ะ... หัวหน้าก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดีมากเลย บริษัทก็บรรยากาศดี—เรื่องเรียน แม่ไม่ต้องห่วงเลย หนูคิดว่าสิ่งที่ได้จากงานนี้ช่วยให้หนูเรียนได้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ”[แล้วลีวายล่ะ?]ความเงียบยาวเกิดขึ้น ราวกับเวลาถูกยืดออกด้วยแรงโน้มถ่วงจากชื่อที่เอ่ยถึง คำตอบนั้นอยู่ที่ริมฝีปากเธอแล้ว เพียงแต่... ไม่ว่าจะพูดออกไปยังไง มันก็ “ผิด” สำหรับแม่อยู่ดี
“มันจะช่วยอะไรได้จริงเหรอเนี่ย...”วัตสันพึมพำเสียงเบา มือยังยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปากราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังจากโลกภายนอก เธอไม่แม้แต่จะปรายตามามองคู่สนทนา สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังบรรยากาศโดยรอบห้องวีไอพี ที่เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับตลาดยามค่ำคืน“ดูคนพวกนั้นสิ...” เธอเสริม น้ำเสียงไม่ติดจะเหนื่อยใจ “เหมือนอดอยากความบันเทิงมาทั้งชีวิต”นาตาลีเหลือบตามองตามคำพูดของเพื่อนร่วมงานเบื้องหน้า — เจมส์กำลังกระดกเหล้าเพียว ๆ ราวกับดื่มน้ำผลไม้ สีหน้ารื่นเริงเกินเหตุ ท่ามกลางเสียงเพลง EDM จังหวะยวบ ๆ จากลำโพงที่ไม่มีใครขอ แต่ทุกคนก็ยอมรับมัน“แล้วลมอะไรพัดเธอมานี่ล่ะ” เสียงของนาตาลีดังพอได้ยินแค่กันสองคน หยอกเย้าแต่ก็ซ่อนความสงสัยจริงจังไว้เล็กน้อย “นึกว่าเธอจะรอให้คุณเจรอสโลว์มาด้วยซะอีก ถึงจะยอมขยับตัว”
เช้าวันถัดมาหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย นาตาลีออกจากห้องพร้อมกาแฟแก้วหนึ่งและแซนด์วิชในมือ — ของสองสิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวเธอไว้ในเช้าวันใหม่ได้เธอใช้วันทำงานอย่างตั้งใจจนน่าแปลกใจ แม้เมื่อค่ำคืนก่อนจะเต็มไปด้วยความฝันที่... เอ่อ... วาบหวามเกินจะบรรยาย และถึงแม้ตอนเช้าจะสะดุ้งตื่นตกเตียงไปแบบสิ้นสภาพ นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจในการทำงานของเธอลงเลยแม้แต่น้อยเพราะในเส้นทางใหม่นี้ เธอไม่มีเวลาจะหลงทางอีกแล้วช่วงพักกลางวัน นาตาลีเลือกเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึก บรรยากาศที่เงียบสงบและลมเย็นที่พัดปะทะใบหน้าเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเส้นผมของเธอขณะที่เธอนั่งลงบนม้านั่งไม้ กาแฟแก้วที่สองอยู่ในมือ และแซนด์วิชอีกชิ้นที่ยังไม่ได้แกะห่อวางอยู่ข้างตัวเธอมองไปยังขอบฟ้าที่ไกลลิบ ภาพสะท้อนของตึกสูงเบื้องหน้าเป็นเหมือนโลกอีกใบที่เธอยังไม่เข้าใจ &mdas
หลังมื้ออาหาร เอเดนลุกขึ้นก่อน ค่อย ๆ เก็บจานชามอย่างเงียบ ๆ เขาเดินไปยังอ่างล้างจานโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แผ่นหลังสูงใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องกระทบเส้นผมเขาให้ดูอ่อนโยนกว่าปกตินาตาลีมองภาพนั้นเงียบ ๆเขาไม่เคยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ไม่ชอบให้ใครเดินผ่านหลัง หรือทำอะไรโดยไม่บอกล่วงหน้า — เธอรู้ดี เพราะเธอเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน...แล้วทำไม ครั้งนี้ถึงต่างออกไป?เธอพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่กลับห้ามไม่ทัน คำถามโง่ ๆ อย่าง “เขาสงสารเราหรือเปล่า?” แล่นขึ้นมาในหัว และที่แย่กว่านั้นคือคำถามที่สอง — “หรือว่า... เขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับเราแล้ว?”เธอเผลอพูดขึ้นเบา ๆ ขณะมองแผ่นหลังของเขา"...นายดูดีนะ ตอนล้างจานน่ะ"เอเดนหยุดมือไปชั่ววินาที ก่อนจะหันกลับมาพร้อมยิ้มที่ยากจะตีความ"นี่เธอชมฉันเหรอ?" เขาพูดพลางเดินกลับมาช้า ๆ "เขินเลยนะครับเนี่ย"นาตาลีหลบตาเล็กน้อย หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงโดยไร้เหตุผลเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า กลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ ผ