ได้โปรดอย่าทำให้ความรักของเรา เป็นดั่งโศกนาฏกรรมของจูเลียตเลย Please don't make our love like the tragedy of Juliet "ได้โปรดพระผู้เป็นเจ้า ช่วยบอกข้าที ข้าจะต้องทำอย่างไรให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง? มันช่างเป็บปวด ทรมานและทำได้เพียงร่ำไห้กับท้องฟ้ายามค่ำคืน หากแม้ว่าคำสาบานแห่งรักนั้นยังไม่แน่นอน ข้าก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว" ครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้ากันคือเราเพียงแค่จูบลา ครั้งสุดท้ายที่ยิ้มให้กันคือเราเพียงแค่กำลังโกหกผู้คนมากมาย ครั้งสุดท้ายที่เราจับมือกันคือตอนที่เขานั้นกำลังทุกข์ใจ แต่ไม่ว่าจะครั้งไหนก็ตาม เราก็ไม่เคยแม้แต่จะบอกว่ารักกัน ...จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก็ตาม...
ดูเพิ่มเติมที่จริง... ถ้าใครคิดว่านี่คือบันทึกของเด็กสาววัยทำงานน่ารัก ๆ ที่เล่าเรื่องความรักหวานชื่นเพื่อความบันเทิงแล้วล่ะก็—วางมันไว้ที่เดิมนั่นแหละ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย และมันยังปวดหัวยิ่งกว่าชีวิตรักของนางเอกวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีที่เพิ่งจะมีปั๊ปปี้เลิฟเสียอีก
อยากรู้หรือว่าเรื่องนี้รุนแรงแค่ไหน ถึงได้ห้ามไม่ให้เปิดอ่านแบบนั้น? ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากปลายกระบอกปืนเย็นเฉียบที่จ่ออยู่ตรงกลางหน้าผากของเธอก่อนก็แล้วกัน
“มีอะไรอยากจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายไหม...”
เสียงเย็นเยือกของเขาดังขึ้นต่อหน้า ดวงตานิ่งเฉยที่เคยมองเธอด้วยความอ่อนโยน บัดนี้กลับกลายเป็นสายตาว่างเปล่า ไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย จนเธอเริ่มสงสัย—ผู้ชายใจดีคนนั้นเคยมีตัวตนอยู่จริงไหม หรือทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นเป็นแค่ภาพลวงตาที่เธอหลอกตัวเองมาตลอด
พูดกันตามตรง เรื่องนี้ไม่ได้ดีเลย อย่างที่เห็น เธอกำลังถูกจ่อปืนอยู่ และคนรอบตัวต่างล้มตายกันหมดแล้ว พวกเขาถูกยิง ถูกทรมานจนขาดใจต่อหน้าต่อตา กลิ่นคาวเลือดยังอบอวลในโพรงจมูก ความรู้สึกที่เคยโหมกระหน่ำอย่างหนักหน่วงในตอนนั้น บัดนี้กลับจางหาย เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ยากจะสะเทือนใจได้อีกต่อไป
ไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเสียใจ... และที่สำคัญที่สุด ร่างกายของเธอรู้สึกชาไปหมด จากเดิมที่เคยมีน้ำตาไหลอาบแก้ม บัดนี้เหลือเพียงรอยยิ้มจาง ๆ และท่าทางน่าสมเพชที่ชวนเวทนา
“ยังอยากให้ฉันพูดอะไรอีกงั้นเหรอ – ยังเหลืออะไรให้ฉันต้องขอร้องกับคนอย่างแกอีกหรือไง”
“เหลือสิ” เขากระซิบ “เหลือชีวิตของเธอไง – ขอร้องดี ๆ ฉันก็อาจปล่อยให้เธอรอด และอยู่ข้างฉันตลอดไปก็ได้นะ”
เธอหัวเราะในลำคอ ทั้งเบาและหนักหน่วงในเวลาเดียวกัน
“ฆ่าฉัน”
เธอกระซิบ ทำเอาชายตรงหน้าชะงักราวกับว่ากำลังฟังผิดไป
“ฆ่าฉันซะ!!!”
เธอตะโกนสุดเสียง ก่อนจะสะบัดมือที่ถูกมัดไว้แบบลวก ๆ ออกมา แล้วคว้าปืนกระบอกนั้นไว้แน่น จ่อมันเข้าที่คางของตัวเอง ความกลัวแล่นวาบขึ้นมาทางสันหลังเพียงชั่ววินาที ก่อนจะถูกกลบด้วยความว่างเปล่าที่ท่วมท้น
เพราะเธอไม่เหลือเหตุผลใดอีกแล้ว ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
ทั้งแม่... ผู้ไม่เคยปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตของตัวเอง
พระเจ้าคะ... ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เธอไม่เคยเชื่อเลยว่าท่านมีอยู่จริง
เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่เธออธิษฐานขอให้ความปรารถนาเล็ก ๆ เป็นจริง ท่านก็ไม่เคยตอบกลับแม้แต่ครั้งเดียว
พระเจ้าคะ... ถ้าท่านเกลียดเธอจริง ๆ อย่างที่เธอคิดมาตลอด
ชีวิตของเธอก็คงไม่เป็นแบบนี้—ผิดหวัง เสียใจ และโดดเดี่ยว
แต่นี่อาจเป็นคำขอสุดท้าย และเป็นคำวิงวอนเดียวที่เธอกล้าจะเอ่ยออกมา...
ได้โปรด... ถ้ายังเหลือโอกาสอีกสักครั้งเดียว ขอเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น... ให้พวกเราได้พูดคำว่ารักกันก็ยังดี
– เปรี้ยง!
นาตาลีใช้แอปฯ เรียกรถให้มารับที่หน้าคอนโดฯ แล้วปักหมุดไปยังจุดหมายที่เธอจำได้แม่นยำราวกับมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ — ท่าเรือแคมบริดจ์ พอร์ทรหัส USY ที่นั่นมีโกดังหลังหนึ่งซึ่งจากภายนอกดูเก่าคร่ำคร่าเกือบจะร้าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันถูกจัดแต่งอย่างจงใจให้ดูโทรม — “โทรมแบบมีคอนเซปต์” มากกว่าโทรมจริงการจะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย ด่านรักษาความปลอดภัยหลายชั้นทำเอาเธอแทบถอดใจกลางทาง แต่ในที่สุด... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโกดังหมายเลข 7 — โกดังเก็บของขนาดใหญ่ที่ต้นสังกัดซื้อไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ซ้อมลับเฉพาะของวง ไซเรนจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ด้านหน้าโกดังชัดเจนพอจะฟันธงได้ว่า... ลิงทั้งห้า น่าจะอยู่กันครบถ้วนทุกตัวแน่นอนนาตาลีเลือกใช้ทางลับ — เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ นอกจากเธอกับเอเดน ทางที่เคยใช้ด้วยกันเป็นประจำในอดีตชาติที่เธอจำได้ไม่ลืมหัวใจเธอหวิวขึ้นมาเล็กน้อยในระหว่างที่ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบผ่านตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเขาจะสงสัยไหมว่าเธอรู้ได้ยังไง?หรืออาจจะถามเลยว่าเธอเป็นใครกันแน่?หรือไม่ก็แค่จ้องมาด้
นาตาลีตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดด้วยใบหน้าบวมเป่ง ราวกับเพิ่งโดนฝ่ามือของความจริงตบซ้ำซากหลายครั้งไม่ให้ทันตั้งตัว ขอบตาคล้ำลึก เครื่องสำอางเก่าที่ไม่ได้เช็ดออกจนหมดทำให้ดวงตาดูเลอะเลือนคล้ายงานศิลป์ที่เปียกฝน และเส้นผมกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นพายุมาไม่ต้องส่องกระจกก็รู้—สภาพเธอตอนนี้แย่เกินจะออกไปรับแดดเธอถอนหายใจแรง ๆ ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความปวดหัวแล่นขึ้นมาราวกับคีมเหล็กบีบสมอง ทั้งเสียงของแม่ที่ยังวนเวียนในหัวไม่หยุด และภาพเมื่อคืนที่เอเดนโอบเธอไว้แน่นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ“ไม่ ไม่สิ — หยุด! ของขวัญ แกต้องตั้งสติ”เสียงในหัวเธอสั่งอย่างนั้นนาตาลีรีบล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกมาจากห้องนอนราวกับหนีออกจากฝันร้าย แพนเค้กง่าย ๆ สักสองสามแผ่นอาจพอช่วยให้สมองของเธอกลับมาทำงานได้ในห้องครัวที่เงียบเกินไป เสียงตีแป้งกลับชัดเจนราวกับมีไมค์จ่ออยู่ ความคิดที่พยายามผลักไสก็เริ่มกระซิบขึ้นมาอีกครั้ง…ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่กับเขา — กับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนไกลแสนไกล และไม่คิดว่าจะได้เข้
เสียงริงโทนเก่า ๆ ดังขึ้นภายในกระเป๋า สะท้อนก้องไปในลิฟต์ที่เงียบสงัดราวกับห้องสารภาพบาป นาตาลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาช้า ๆ — ลึก ๆ เธอหวังว่าอาจจะเป็นต้นหอม แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่...“ค่ะ แม่…”[เดินทางไปถึงแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง]“ก็ดีค่ะ... หมายถึงโดยรวม”[แม่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แนต — แม่หมายถึงงาน เรียน แล้วก็ที่สำคัญที่สุด... เรื่องของ ‘ลีวาย’]ลมหายใจของเธอขาดช่วงแผ่วเบาในลิฟต์ที่เงียบสนิท ราวกับคำพูดของแม่กดทับอะไรบางอย่างในอก — ไม่ใช่ห่วง แต่เป็น... ความคาดหวังที่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด“งานโอเคค่ะ... หัวหน้าก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดีมากเลย บริษัทก็บรรยากาศดี—เรื่องเรียน แม่ไม่ต้องห่วงเลย หนูคิดว่าสิ่งที่ได้จากงานนี้ช่วยให้หนูเรียนได้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ”[แล้วลีวายล่ะ?]ความเงียบยาวเกิดขึ้น ราวกับเวลาถูกยืดออกด้วยแรงโน้มถ่วงจากชื่อที่เอ่ยถึง คำตอบนั้นอยู่ที่ริมฝีปากเธอแล้ว เพียงแต่... ไม่ว่าจะพูดออกไปยังไง มันก็ “ผิด” สำหรับแม่อยู่ดี
“มันจะช่วยอะไรได้จริงเหรอเนี่ย...”วัตสันพึมพำเสียงเบา มือยังยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปากราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังจากโลกภายนอก เธอไม่แม้แต่จะปรายตามามองคู่สนทนา สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังบรรยากาศโดยรอบห้องวีไอพี ที่เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับตลาดยามค่ำคืน“ดูคนพวกนั้นสิ...” เธอเสริม น้ำเสียงไม่ติดจะเหนื่อยใจ “เหมือนอดอยากความบันเทิงมาทั้งชีวิต”นาตาลีเหลือบตามองตามคำพูดของเพื่อนร่วมงานเบื้องหน้า — เจมส์กำลังกระดกเหล้าเพียว ๆ ราวกับดื่มน้ำผลไม้ สีหน้ารื่นเริงเกินเหตุ ท่ามกลางเสียงเพลง EDM จังหวะยวบ ๆ จากลำโพงที่ไม่มีใครขอ แต่ทุกคนก็ยอมรับมัน“แล้วลมอะไรพัดเธอมานี่ล่ะ” เสียงของนาตาลีดังพอได้ยินแค่กันสองคน หยอกเย้าแต่ก็ซ่อนความสงสัยจริงจังไว้เล็กน้อย “นึกว่าเธอจะรอให้คุณเจรอสโลว์มาด้วยซะอีก ถึงจะยอมขยับตัว”
เช้าวันถัดมาหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย นาตาลีออกจากห้องพร้อมกาแฟแก้วหนึ่งและแซนด์วิชในมือ — ของสองสิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวเธอไว้ในเช้าวันใหม่ได้เธอใช้วันทำงานอย่างตั้งใจจนน่าแปลกใจ แม้เมื่อค่ำคืนก่อนจะเต็มไปด้วยความฝันที่... เอ่อ... วาบหวามเกินจะบรรยาย และถึงแม้ตอนเช้าจะสะดุ้งตื่นตกเตียงไปแบบสิ้นสภาพ นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจในการทำงานของเธอลงเลยแม้แต่น้อยเพราะในเส้นทางใหม่นี้ เธอไม่มีเวลาจะหลงทางอีกแล้วช่วงพักกลางวัน นาตาลีเลือกเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึก บรรยากาศที่เงียบสงบและลมเย็นที่พัดปะทะใบหน้าเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเส้นผมของเธอขณะที่เธอนั่งลงบนม้านั่งไม้ กาแฟแก้วที่สองอยู่ในมือ และแซนด์วิชอีกชิ้นที่ยังไม่ได้แกะห่อวางอยู่ข้างตัวเธอมองไปยังขอบฟ้าที่ไกลลิบ ภาพสะท้อนของตึกสูงเบื้องหน้าเป็นเหมือนโลกอีกใบที่เธอยังไม่เข้าใจ &mdas
หลังมื้ออาหาร เอเดนลุกขึ้นก่อน ค่อย ๆ เก็บจานชามอย่างเงียบ ๆ เขาเดินไปยังอ่างล้างจานโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แผ่นหลังสูงใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องกระทบเส้นผมเขาให้ดูอ่อนโยนกว่าปกตินาตาลีมองภาพนั้นเงียบ ๆเขาไม่เคยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ไม่ชอบให้ใครเดินผ่านหลัง หรือทำอะไรโดยไม่บอกล่วงหน้า — เธอรู้ดี เพราะเธอเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน...แล้วทำไม ครั้งนี้ถึงต่างออกไป?เธอพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่กลับห้ามไม่ทัน คำถามโง่ ๆ อย่าง “เขาสงสารเราหรือเปล่า?” แล่นขึ้นมาในหัว และที่แย่กว่านั้นคือคำถามที่สอง — “หรือว่า... เขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับเราแล้ว?”เธอเผลอพูดขึ้นเบา ๆ ขณะมองแผ่นหลังของเขา"...นายดูดีนะ ตอนล้างจานน่ะ"เอเดนหยุดมือไปชั่ววินาที ก่อนจะหันกลับมาพร้อมยิ้มที่ยากจะตีความ"นี่เธอชมฉันเหรอ?" เขาพูดพลางเดินกลับมาช้า ๆ "เขินเลยนะครับเนี่ย"นาตาลีหลบตาเล็กน้อย หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงโดยไร้เหตุผลเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า กลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ ผ
ความคิดเห็น