สี่พี่น้องพร้อมผู้ติดตามที่นั่งพักยังไม่ทันขยับตัว พวกเขากลับได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังขี่ม้ามาทางลำธารเพื่อหยุดพักการเดินทาง แต่บทสนทนาที่ทุกคนได้ยินกลับสร้างความขุ่นเคือง และเกิดความอาฆาตในใจของทุกคนทันที“นี่หวนเจิงเจ้าแน่ใจนะว่าข่าวที่ได้รับจากเมืองผู่เถียน เรื่องที่ว่าผู้ที่คิดค้นลวดลายอันวิจิตรงดงามบนผืนผ้าไหม นางย้ายมาอยู่จวนของสามีในเมืองหลวงน่ะ”หวนเจิงมิได้มองสหายเพียงแค่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กัวเฉินเจ้าคิดว่าการสืบข่าวของกัวไห่เป็นเรื่องโกหกหรือ เจ้าทำงานร่วมกันมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่เชื่อว่าข่าวที่กัวไห่ได้มาเป็นเรื่องจริง”“เพราะครั้งนี้เจ้ามิได้ไปสืบข่าวด้วยตนเอง จึงคิดว่าข่าวจากสหายเป็นเรื่องโกหกกระมัง กัวเฉินหากเจ้าอยากทำหน้าที่สืบข่าว เหตุใดไม่บอกหัวหน้าตั้งแต่แรกล่ะ” ฉายเกาผู้หมั่นไส้กัวเฉินที่มักจะอวดเก่งอยู่บ่อยครั้ง ถึงกับประชดประชันให้กับท่าที่ของกัวเฉินในเรื่องนี้“ฉายเกาเจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ข้าพูดเช่นนั้นก็แค่เป็นห่วงกัวไห่ เกรงจะถูกข่าวลวงจากชาวบ้านมิได้มีเจตนาอื่น”หวนเจิงไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกันเอง เขาจำเป็นต้องหยุดการถกเถียงโด
เมื่อฝาแฝดทั้งสี่คนได้อยู่กันตามลำพัง จึงเดินออกจากเรือนใหญ่ไปยังศาลากลางสวนดอกไม้ เพื่อพูดคุยเรื่องแหวนหยกที่พวกเขามีเหมือนกัน เนื่องจากญาติผู้พี่ทั้งสองยังไม่รู้ว่ามันเป็นแหวนมิติเป็นฟงเหยาเหวินที่เอ่ยถามกับหยางเฟิ่งเซียน เพราะตนอยากรู้จนทนแทบไม่ไหวแล้ว “เซียนเอ๋อร์เจ้ารีบบอกพวกพี่มาเร็วเข้า ว่าเจ้าแหวนหยกนี่มีความพิเศษอย่างไร ท่านน้าซูอันถึงได้กล่าวว่าให้เจ้าเป็นคนอธิบายกับพวกพี่”หยางเฟิ่งเซียนนั่งลงด้วยท่าทางสบาย ๆ คล้ายกับว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด “ถ้าข้าบอกพวกท่านไปแล้ว จงปิดปากให้สนิทอย่าได้บอกกับผู้ใดเป็นอันขาดนะเจ้าคะ”“อื้อ /แน่นอน”“หากพวกท่านสองคนยังจำได้ ถึงอาวุธบางอย่างที่ท่านแม่ได้สอนยามฝึกวรยุทธ์ ย่อมเข้าใจว่าพวกมันมิใช่สิ่งจะสร้างออกมาได้ในโลกนี้ ดังนั้นแหวนหยกที่ท่านแม่มอบให้พวกเราสี่คน จึงมีความพิเศษมากกว่าแหวนทั่วไปอย่างมาก เพราะมันคือแหวนหยกมิติที่สามารถเก็บสิ่งของได้ และด้านในท่านแม่ยังมอบอาวุธให้พวกเราหลายอย่างเชียวล่ะ”“หา! แหวนมิติ /มันคือแหวนวิเศษรึ!”หยางซิวหรงกล่าวยืนยันคำพูดของน้องสาวอีกคน ว่าสิ่งที่นางพูดล้วนเป็นความจริงมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด
ภายหลังทั้งใต้เท้าเซิ่งและใต้เท้าหลีกลับไปถึงจวน ก็ได้รับรู้สาเหตุที่ฮูหยินของพวกตนให้คนไปตามกลับมา บุตรสาวที่ตนอุตส่าห์คาดหวังเอาไว้ว่า จะส่งพวกนางเข้าตำหนักของเหล่าองค์ชาย ยามนี้กลับเกิดเรื่องเสื่อมเสียมิใช่หญิงสาวบริสุทธิ์อีกแล้วเพียะ! “เจ้าบอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่นั่นคือจวนท่านแม่ทัพใหญ่ที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นงานสำคัญแต่เจ้ากลับกล้าสร้างปัญหาให้ข้าเสียได้”เซิ่งฟางเอินที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว หลังจากเห็นว่าตนเองตกอยู่ในสภาพใด ก็ยิ่งทำให้ความโกรธเกลียดที่มีต่อหยางเฟิ่งเซียนระอุขึ้นอีกครั้ง “กรี๊ดดด!! ทำไม ๆ เรื่องนี้ต้องเกิดกับข้า ในห้องนั้นควรเป็นนางจิ้งจอกหยางเฟิ่งเซียนสิ ข้าอยากให้มันอับอายผู้คนไปทั่วเมืองหลวง”สองสามีภรรยาเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของบุตรสาว ก็ยิ่งกว่าตกใจเพราะที่พวกเขากำลังรู้สึกในยามนี้ คือความกลัวขึ้นมาจับใจหากตระกูลหยางคิดเอาคืนมาถึงตนลู่ฮูหยินแทบอยากกัดลิ้นตายเสียตรงนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่าบุตรหลานตระกูลหยาง เป็นที่โปรดปราณทั้งฮ่องเต้และรัชทายาทเพียงใด “เอินเอ๋อร์เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป แย่แล้วคราวนี้พวกเ
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื