อาหารชั้นดีพร้อมสุรารสแรง ถูกจัดเตรียมมาอย่างล้นเหลือ ลานกว้างเต็มไปด้วยแสงสว่างจากคบไฟ และเตาถ่านขนาดใหญ่ ที่มีหมูตัวใหญ่ถูกย่างส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหล
รองแม่ทัพและทหารติดตาม ต่างพากันนั่งรอผู้เป็นนายและเจ้าของบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง งานเลี้ยงในคืนนี้จัดขึ้นเพื่อมู่อิง น้องสาวที่แกร่งเยี่ยงบุรุษ
“ชุนหลาง! มานี่เร็วเข้า”
รองแม่ทัพเจากวักมือเรียกชายหนุ่ม เกาชุนหลางในชุดผ้าไหมเนื้อดี ผมที่ถูกรวบจนเรียบร้อย ทำให้มีความหล่อเหลายิ่งนัก แม้จะมีบาดแผลบนใบหน้า ก็ไม่อาจกลบความรูปงามนั้นได้เลย
“นายท่าน...”
“นายท่านอะไรกัน เรียกข้าพี่ชายเจา และทุกคนที่นี่คือพี่เจ้าทั้งหมด ทำหลังให้เหยียดตรงหน่อย จะกลัวอะไร หืม!”
“ขอรับท่านพี่เจา”
เกาชุนหลางเหยียดหลังให้ตรง แม้ว่าจะยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้าง เขาถูกกดให้ต่ำมาทั้งชีวิต วันนี้ได้สวมเสื้อผ้าราคาแพง ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ช่วยทำผมแต่งกาย มันเหมือนความฝันยิ่งนัก
เขาจำได้ว่าตอนที่กลับมายังเมืองนี้ใหม่ ๆ ได้ไปแอบดูมารดาที่บ้านสามีใหม่ของนาง น้อง ๆ ต่างบิดา ล้วนดูดีจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองมารดา
“จำไว้นะชุนหลาง นับจากนี้เจ้าคือคุณชายเกา และจงจำไว้ว่าต่อให้เจ้ามีเงินทองแล้ว ก็อย่าได้หยิ่งผยองหรือข่มเหงผู้ใด แต่ก็มิใช่ก้มหัวให้ใครเหยียบ เรื่องพวกนั้นเจ้าค่อยเรียนรู้จากพ่อบ้านซือ”
เสียงจากด้านหลัง ทำให้เกาชุนหลางลืมตัวคิดจะหมอบกราบ เช่นที่เขาคุ้นชินยามพบเจอคนที่มากด้วยอำนาจ
“อะแฮ่ม!”
รองแม่ทัพเจ้ารีบกระแอมไอ เตือนชายหนุ่มมิให้ทำเช่นนั้นอีก เกาชุนหลางรีบยืดกายให้ตรงราวทหารฝึกใหม่ เรียกรอยยิ้มจากทุกคน แม่ทัพสาวตบลงบนไหล่ของชายหนุ่มสองสามที ก่อนจะพาเขาเดินไปนั่งรวมกับทุกคน
“พ่อบ้านซือ จะเป็นคนสอนเจ้าในทุกเรื่อง รวมถึงการทำงานด้วย ข้ากับมู่อิงอาจไม่ได้มาที่นี่บ่อย แต่เจ้ากับท่านลุงไปหาเราได้ทุกเมื่อ”
“ข้าขอบคุณนายหญิงน้อยยิ่งนักขอรับ ที่เมตตาต่อครอบครัวของเรา”
“เรื่องเล็กน้อย ข้าเองก็เคยลำบากมาก่อน ที่สำคัญมารดาของข้าคือสตรีหม้าย ที่ผู้คนต่างตราหน้าว่าเป็นสตรีต้องคำสาป มารดาข้าเป็นหญิงยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เลี้ยงข้ากับพี่สาวมาจนโต เจ้าเองก็ต้องทำได้เช่นกัน ส่วนเรื่องใบหน้าข้าจะรักษาให้เอง แม้มันลบไม่หมดแต่ก็ดูดีกว่าเดิมแน่นอน แต่ในสายตาสตรีเยี่ยงข้าเจ้าดูดียิ่งนัก”
แม่ทัพสาววางหน้ากากรูปปีกนกสีเงินลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้แก่เกาชุนหลาง ชายหนุ่มหยิบหน้ากาก ที่สามารถปิดใบหน้าครึ่งที่มีแผลเป็นของเขาได้อย่างพอดี
“เจ้าสวมมันถ้ายังไม่มั่นใจ แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าแข็งแกร่งทั้งกายและใจ มันจะเป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นหนึ่งให้เจ้าเอาไว้ดูเล่นเท่านั้น คุณค่าของคนเราหาใช่หน้าตา แต่มันคือการกระทำต่างหาก”
เกาชุนหลางยิ้มยิ้มกว้าง เขามีความสุขกับฝันนี้เหลือเกิน แม้ว่าอีกไม่กี่อึดใจเขาจะต้องตื่นขึ้นพบกับความจริง เขาก็ยินดีที่จะเก็บทุกช่วงเวลาให้คุ้มค่าที่สุด
“อาหารมาแล้ว เร็วเข้ามู่อิง เราทุกคนหิวมาก”
นายกองหนุ่มพูดขึ้นเสียงดัง ก่อนจะรีบลุกไปรับถาดอาหารจากมือของมู่อิง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สาวใช้ ประคองชายชราออกมายังลานจัดเลี้ยง
อาหารถูกนำออกมาวางบนโต๊ะตัวยาว ที่เป็นลักษณะคุ้นเคยของทหารในกองทัพ ชายชราไม่คิดฝันว่าวันหนึ่ง เขาจะได้กลับมาอยู่บ้าน ที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมเช่นในอดีต
“ท่านลุงเชิญนั่งเจ้าค่ะ งานเลี้ยงคืนนี้สำหรับครอบครัวของเรา”
แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้น พร้อมยกถ้วยสุราชูขึ้นสูง โดยมีเหล่าผู้ติดตามทำเช่นเดียวกัน พ่อบ้านซือได้แต่ถอนหายใจ นายหญิงน้อยนับว่าเป็นคอทองแดงในเรื่องสุรา ดูได้จากถ้วยในมือแล้วคืนนี้คงอีกยาวไกล
ชายชรายกถ้วยสุราขึ้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยตัวเขาห่างจากเรื่องเช่นนี้มานานมากเหลือเกิน มู่อิงนั่งลงข้างผู้เป็นลุง เพื่อช่วยตักอาหาร ส่วนเกาชุนหลางนั้น อยู่ท่ามกลางบุรุษมากวัยกว่า
การพูดคุยดื่มกินเป็นไปอย่างครื้นเครง จนมีคนเฝ้าประตูเดินมากระซิบบอกถึงการมาของแขกที่มิได้รับเชิญ พ่อบ้านซือจึงก้าวเข้ามาบอกแก่ผู้เป็นนายเบา ๆ
“ทุกคนดื่มกันตามสบาย ข้าขอไปคุยธุระสักครู่”
แม่ทัพสาวลุกขึ้น โดยไม่ลืมส่งสัญญาณให้มู่อิงติดตามออกมาด้วย เรื่องนี้นางยังไม่อยากให้ใหญ่โตจนเกินไป ไหนจะสภาพจิตใจของสองพ่อลูกสกุลเกา คงไม่พร้อมเท่าใดนัก ที่จะเผชิญกับคนที่สร้างบาดแผลทั้งทางกายและใจให้แก่ทั้งคู่
“ท่านพี่เจาฝากท่านลุงสักครู่”
“ตามสบายน้องสาว”
รองแม่ทัพเจาลุกไปนั่งเคียงข้างชายชรา พร้อมทั้งชวนคุย โดยไม่พ้นเรื่องของมู่อิง ชายชรามองตามหลานสาวอย่างห่วงใย เขาไม่รู้ว่านายหญิงน้อยหยวนทำสิ่งใดบ้าง นอกเหนือจากการค้า แต่จากร่างกายและบุคลิกของหลานสาว บอกได้ว่าต้องผ่านการมาฝึกฝนวิชามาอย่างหนัก
“อย่าห่วงนางเลยท่านลุง เพราะถึงท่านจะห่วงนางแค่ไหน นางก็จะไม่มีทางละทิ้งหน้าที่ของนาง ที่มีต่อนายหญิงน้อยหยวนเป็นอันขาด คนหนึ่งให้ชีวิตคนหนึ่งเติมเต็มชีวิต ฉะนั้นสองคนนั้นจึงไม่เคยห่างกัน”
“หมายความว่าอย่างไร”
“อย่าได้คิดเป็นอื่น ท่าน...นายหญิงน้อยมีพี่สาวฝาแฝด แต่ทั้งคู่ต้องทำงานห่างไกลกันคนละเมือง มู่อิงเลยเป็นน้องสาวคนเดียว ที่คอยอยู่เคียงข้างทำให้นายหญิงน้อยไม่เหงายามคิดถึงบ้าน”
รองแม่ทัพเจาเกือบสำลักเหล้า เมื่อเข้าใจความคิดของชายชรา ที่คิดว่าท่านแม่ทัพกับมู่อิงมีใจเยี่ยงคนรัก เป็นเขาเองที่สื่อความหมายผิดเพี้ยน ท่านแม่ทัพนั้นแม้ภายนอกจะดูเย็นชา แต่ลึก ๆ แล้วนางก็เหมือนหญิงสาวทั่ว ๆ ไปที่คิดถึงพ่อแม่พี่น้องยามห่างไกล
ยิ่งอยู่ในกองทัพตำแหน่งผู้นำเข้าไปอีก เวลาที่จะได้กลับไปพบหน้ามารดาและพี่สาว เรียกว่าน้อยนิดนัก ไหนจะในกองทัพมีสตรีนับคนได้ ย่อมต้องเงียบเหงาเป็นธรรมดา
“ข้าต้องขออภัยที่ตั้งคำถามเยี่ยงนั้น”
“ท่านลุงอย่าคิดมาก เป็นข้าที่ใช้คำเปรียบเปรยผิด มาเถอะเราดื่มกันต่อ”
ทางด้านหน้าประตูบ้าน แม่ทัพสาวก้าวพ้นประตูออกไปยืนอยู่ด้านหน้า สายตาเย็นเยียบมองไปที่แขกผู้มาเยือน มู่อิงที่ออกมายืนเคียงนายกำหมัดแน่น
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว