เมื่อคุณหมอจากยุคปัจจุบัน ได้เกิดใหม่ต่างมิติ พร้อมความทรงจำของชีวิตเดิม เธอจึงเลือกเดินในเส้นทางคล้ายชีวิตเก่า ทว่าเรื่องหัวใจนั้นนางไม่ปิดตาย แต่ก็ไม่ชายตามองบุรุษใดเช่นกัน เขาคือสมรสพระราชทานของแม่ทัพหญิงผู้เย็นชา และเขาจะสามารถทำให้นางรับรักได้หรือไม่
View Moreบ้านพักตากอากาศตระกูลกวง เซี่ยงไฮ
เท้าเปล่าเปลือยค่อย ๆ เดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเธอ ในมือถือตะกร้าผลไม้ตามฤดู ที่พ่อแม่ของเธอปลูกไว้กิน และแจกจ่ายให้ครอบครัวคนดูแล มันกำลังสุกเต็มต้น เธอจึงตั้งใจที่จะเก็บมาให้คู่หมั้นและญาติผู้พี่ได้ลิ้มลอง
คุณหมอคนสวยหยุดนิ่งราวรูปปั้น มือที่จับลูกบิดประตูสั่นระริก ภาพด้านในมันยิ่งกว่าฟ้าผ่าลงมากลางแสกหน้า เสียงเพลงเบา ๆ และจูบอันเร้าร้อนของคนด้านใน ทำให้ไม่รู้ถึงการมาของเจ้าของบ้าน
หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อคลอบดบังภาพเบื้องหน้า เธอตั้งใจจะเซอร์ไพรส์คนรัก ด้วยการตอบตกลงที่จะแต่งงาน หลังจากหมั้นหมายมากว่าหนึ่งปี เธอพร้อมที่จะลาออกจากโรงพยาบาลของกองทัพ มาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนตามคำขอของเขา
เท้าเปล่าเปลือยขยับถอยออกจากตรงนั้น เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ นี่ใช่ไหม! ความรู้สึกของคนถูกหักหลัง มันรุนแรงจนเจียนตายได้อย่างที่หลายคนเคยบอกเธอ
ความพร้อมทุกอย่างในชีวิตมันไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างต้องแลกด้วยการเสียบางอย่าง เหมือนที่พ่อแม่ของเธอมักพูดเสมอ หากมีรักที่ดีเราอาจไร้มิตรที่ดี แต่มันไม่เสมอไปถ้าเรารู้จักที่จะอยู่ตรงกลาง
เธอวาดฝันมาตลอดว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนพ่อแม่ มีพี่น้องที่รักกันเหมือนเธอกับน้องชาย แต่ภาพตรงหน้าเมื่อครู่ มันทำให้เธอต้องเลือกเส้นทางใหม่
เสียงเหมือนมีคนอยู่ข้างนอก ทำให้ชายหนุ่มผละออกจากหญิงสาว ก่อนจะรีบลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปที่ประตู ชายหนุ่มเห็นแล้วว่าคนที่หายไปตรงบันได คือคู่หมั้นของเขาเอง
“ฮุ่ยผิงใช่ไหมคะ”
“อืม!”
“เราจะทำยังไงกันดี”
หญิงสาวถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าแตกตื่น เธอไม่คิดว่าญาติผู้น้องจะกลับมาจากสวนผลไม่เร็วขนาดนี้
“จะกลัวไปทำไม ในเมื่อฮุ่ยผิงยังไม่โว้ยวายอะไรสักคำ”
ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับร้อนรนอยู่ไม่น้อย ถ้าเกิดฮุ่ยผิงถอนหมั้นกับเขาในตอนนี้ ธุรกิจของเขาที่มีพ่อของเธอหนุนอยู่ต้องพังลงไม่เป็นท่าแน่นอน
“คุณเคยบอกฉันเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าคนที่เก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างมิดชิด มักจะลงมืออย่างเด็ดขาดเสมอ”
“ฮุ่ยผิงเป็นลูกคนโต เธอไม่มีวันเอาอนาคตมาเสี่ยง จนทำให้พ่อแม่เสียใจไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
“ฮุ่ยผิงจะไม่ทำอะไรฉันจริง ๆ เหรอคะ”
กวงเยี่ยชิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่มีอะไรเทียบกับญาติผู้น้องได้เลย ไม่ว่าจะฐานะหรือฝีมือ ที่เธอมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะคำว่าญาติสนิทเท่านั้น ที่ทำพ่อแม่ของกวงฮุ่ยผิง คอยสนับสนุนช่วยเหลือเธอและครอบครัว
“เชื่อใจผม”
“ค่ะ อื้อ...”
ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะล็อกมันอย่างแน่นหนา ก่อนที่บทรักจะเริ่มขึ้นอย่างเร่าร้อน ต่างจากคนที่เดินหายออกไปจากบ้าน ด้วยความรู้สึกอันแหลกสลาย
หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ก่อนจะเดินตรงไปหาม้าของเธอ ที่กำลังเล็มหญ้าในทุ่งหญ้าหลังบ้าน เธอผิดเองที่มองความสัมพันธ์ของญาติและคนรัก ว่าเป็นเพียงความเอื้อเฟื้อในฐานะของพี่น้อง
ฮุ่ยผิงดึงแว่นกันแดดที่เหน็บไว้กับคอเสื้อออกมาสวม เพื่อปิดบังดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้เอาไว้ ก่อนจะคลี่ยิ้มให้กับคนดูแลม้า แม้ว่ามันจะสวนทางกับความรู้สึกตอนนี้เป็นที่สุด
“คุณหนูจะขี่ม้าเหรอครับ”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบคนดูแลม้า ก่อนจะยื่นมือไปรับสายบังเหียนของม้าตัวโปรด หญิงสาวเลือกที่จะจูงมันออกห่างจากคนดูแล ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน ที่มีเพียงผ้าขนสัตว์รองเอาไว้เท่านั้น
“ฉันคิดถึงแกทาร่า”
หญิงสาวลูบแผงคอของทาร่าอย่างเบามือ ความรักที่ไม่เคยทรยศเธอ คือครอบครัวและทาร่าเท่านั้นสินะ เธอเคยมองข้ามกับคำพูดที่หลายคนเคยบอก ว่าคู่หมั้นของเธอต้องการแค่เงินเท่านั้น ไม่ได้รักเธอจริง ๆ อย่างที่เขาพยายามแสดงให้ทุกคนเห็น
“ฮุ่ยผิง!”
หญิงสาวหันไปตามเสียง ก่อนจะโบกมือให้กับพ่อกับแม่ ที่กำลังตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกระตุ้นม้าให้ออกวิ่งไปในทุ่งหญ้า เพื่อทำให้อารมณ์ของเธอเบาบางลงอีกสักหน่อย ค่อยไปหาพ่อกับแม่ที่ริมทะเลสาบ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
หลังจากปรับอารมณ์ให้สงบลงได้ กวงฮุ่ยผิงที่กลับมาหาพ่อกับแม่ที่ริมทะเลสาบ หญิงสาวกำลังง่วนเตรียมของลงเรือ เพื่อออกไปตกปลากลางทะเลสาบกับบิดา
เพราะเย็นนี้น้องชายของเธอก็จะมาถึง เขาชอบกินปลาของที่นี่มาก มันจึงเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่มีมานาน ถ้าน้องชายมาถึงก่อนก็จะเป็นคนตกปลาไว้รอเธอ ครั้งนี้เป็นเธอที่จะตกปลาไว้ให้เขา
อย่างน้อยมันก็เป็นกิจกรรม ที่ทำให้เธอลืมบางเรื่องไปได้ชั่วขณะ แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อหนุ่มสาวที่หักหลังเธอ กำลังเดินเข้ามาเหมือนสิ่งที่พากันทำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“ที่รัก”
ฮุ่ยผิงเลือกที่จะไม่หันกลับไปมองชายหนุ่ม แต่เธอเลือกที่จะเดินไปขึ้นเรือกับพ่อ กึก! หญิงสาวตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันที เมื่อเขาเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง
หญิงสาวมองไปที่กวงเยี่ยชิง ก่อนจะฝืนยิ้มรับเมื่อแม่ของเธอส่งยิ้มมาให้ มันยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะทำลายรอยยิ้มนี้ของพ่อแม่
“ผมไปด้วยนะครับ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมก้าวขึ้นเรือ แน่นอนว่าพ่อที่ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ แต่กลับยินดีที่จะให้ว่าที่ลูกเขยได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกสาว ที่ช่วงครึ่งปีมานี้โหมงานจนแทบไม่มีเวลากลับบ้าน
“พี่กับคุณป้ารออยู่ที่นี่นะ”
กวงเยี่ยชิงพูดกับญาติผู้น้องด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองเลยไปสบตากับชายหนุ่ม ที่นั่งอยู่ด้านหลังของฮุ่ยผิง การนิ่งเงียบของหญิงสาวสร้างความแปลกใจให้พ่อแม่อยู่ไม่น้อย
ด้วยนิสัยปกติของลูกสาว จะเป็นคนร่าเริงต่อให้ทำงานมาหนักแค่ไหน ฮุ่ยผิงจะไม่เคยนำมาเป็นข้ออ้าง ที่จะเมินเฉยต่อคนในครอบครัว ซึ่งเมื่อเช้าลูกสาวก็ยังเป็นปกติอยู่แท้ ๆ
“มีงานด่วนรึเปล่าลูก ถึงได้ดูคิดหนักแบบนั้น”
“ขอโทษค่ะพ่อ พอดีมีเคสที่หนักมากเข้ามา เลยทำให้ทางโรงพยาบาลขอความช่วยเหลือมาค่ะ”
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”
Comments