Masukบ่ายวันเดียวกันเยว่ฉีกำลังง่วนอยู่กับก้อนหินที่ได้รับมา นางกำลังใช้ความคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะผ่าหินออกเป็นสองส่วนได้ เยว่ฉีรู้สึกว่าต้องมีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้
แล้วเหตุใดนางถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหมิง? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่บนเขา หลังผู้อาวุโสใช้พลังจิตขุดพืชวิญญาณออกมาทั้งหมดและช่วยเปิดประตูให้เยว่ฉีออกมาจากถ้ำ เขาก็หลับไปไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะไปได้บอกกับนางว่าจะไม่อยู่สองสามวันเพราะใช้พลังไปมากรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย
สรุปคือ ใช้พลังเกินขีดจำกัดจนหลับไป
เยว่ฉีวางก้อนหินขนาดประมาณหัวเด็กลงบนพื้น ก่อนจะมองหาของที่พอจะใช้ทุบก้อนหินให้แตกได้ ในระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยปลายสายตาพลันเหลือบไปเห็นปังตอขึ้นสนิมด้ามหนึ่งวางพิงอยู่ข้างเตา
เย่วฉีลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิ ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงเป้าหมายก้มลงหยิบปังตอที่ว่าขึ้นมา เดินกลับมานั่งที่เดิม
“ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้!!” หญิงสาวบ่นพึมพำใช้สองมือประคองปังตอเดินกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหิน
สองมือจับปลายด้ามจับของปังตอเอาไว้แน่น ยกขึ้นเหนือศีรษะใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปกับการฟันในครั้งนี้
เพล้ง!!!
ปังตอขึ้นสนิมขาดออกจากด้ามจับเป็นสองท่อนตัวใบมีดกระทบก้อนหินอย่างจังก่อนจะเด้งกลับมาที่นาง เย่วฉีผวารีบเอี้ยวตัวหลบ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียง ฉึก ตามมา
หญิงสาวเอี้ยวตัวหัวกลับไปมองปังตอที่เฉาะก้อนหินไม่เข้าแต่ตอนนี้กำลังปักอยู่บนผนังบ้านอย่างสวยงาม
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
บ้านมีรอยรั่วแล้ว !!!คงต้องหากระดาษมาดามรูรั่ว
เยว่ฉีลุกขึ้นเดินไปดึงปังตอออกจากฝาบ้านทว่าดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก นางใช้เวลาดึงอยู่นาน ปังตอเจ้ากรรมก็ยังคงยึดแน่นกับฝาบ้านราวกับไม่ต้องการแยกจาก
ตอนสับหินละไม่เข้าพอสับบ้านเข้าหน่อยกลับดึงไม่ออก !!!
เยว่ฉีมือเท้าเอวหอบหายใจจ้องปังตอเขม็งไม่ต่างจากศัตรูที่โกรธแค้นกันมานาน พร้อมกับขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ยกมือชี้มีดเจ้ากรรมพร้อมกล่าวว่า
“จะออกไม่ออก!? จะไม่ออกใช่ไหม? ได้เดี๋ยวได้รู้กัน” แต่ก่อนจะได้หันหลังออกไปหาของมาจัดการเศษซากเจ้าปัญหา ก็ได้ยินเสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
“เป็นอันใดไป เหตุใดถึงได้มีท่าทางฉุนเฉียว?” หานลั่วอี้อดรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของนางไม่ได้ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาสามวันแล้วพึ่งจะเคยเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวเช่นนี้เป็นครั้งแรก
คนถูกจับได้ว่าทะเลาะกับมีด ได้แต่สะดุ้งตัวโยน หันกลับไปยิ้มแห้ง
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงกำลังมองหาสิ่งที่จะมานำเจ้านี้ออกจากฝาผนังบ้าน” ว่าพร้อมกับชี้มือให้ดู หานลั่วอี้มองตามมือก่อนจะเห็นว่ามี ปังตอ? ปักอยู่ข้างบ้าน
เขาค่อย ๆ หันมามองหน้าภรรยาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
คนถูกจ้องหน้าถอนหายใจเดินเข้าไปใกล้
“ความจริงแล้วข้าต้องการผ่าเจ้าสิ่งนี้ออกไปสองส่วน ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงใช้แรงทั้งหมดลงไปบนมีดแล้วฟัน ฉึบ มีดจะหักเป็นสองส่วนก่อนจะบินไปปักบนนั้น”
“เจ้าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นอันใด ยังดีที่สามารถหลบได้ทัน เหตุใดท่านถึงได้ถามราวกับรู้ว่าข้าเกือบจะเป็นอันตราย” บุรุษหนุ่มไม่ตอบ เหลือบสายตามองลงพื้น บนพื้นปรากฏรอยคุกเข่าอยู่สองรอย แค่มองดูก็สามารถคาดเดาตำแหน่งนั่งของนางได้
แต่ว่าคนปกติจะมองออกในเวลาเพียงชั่วอึดใจจริงหรือ?
แน่นอนว่าไม่ หานลั่วอี้เป็นข้อยกเว้น
เขาไม่ตอบคำถามเอ่ยเสียงเนือยนาบ “คราวหลังขอให้ข้าช่วยได้ ผ่าหินเช่นนี้ลำพังพลังฝึกปราณของข้าสามารถทำได้” ดวงตาหญิงสาวเป็นประกาย พลังพิเศษสารพัดประโยชน์เสียจริง
เมื่อรู้ว่าหานลั่วอี้สามารถช่วยได้เยว่ฉีก็เดินไปหยิบหินเจ้าปัญหาขึ้นมา เอ่ยอธิบายอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านลองผ่าดู ตอนที่ข้าลงจากเขาเผลอสะดุดหินก้อนนี้เข้า จังหวะที่ผิวกายสัมผัสกลับเกิดความรู้สึกบางอย่าง พอหยิบขึ้นมากอดเอาไว้ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด ข้าจึงเก็บกลับมาด้วย” คำอธิบายเรียบง่ายของภรรยาส่งผลให้คลื่นอารมณ์เคลื่อนผ่านนัยน์ตาน่าหลงใหล เขาก้มมองอยู่นานไร้ซึ่งคำพูด ก่อนจะวางมือลงบนก้อนหินไหลเวียนพลังไปที่ปลายนิ้วมือ จากนั้น
แกร็ก
ก้อนหินที่เยว่ฉีใช้พลังทั้งหมดเพื่อผ่าดูว่ามีสิ่งใดอยู่หรือไม่ ชั่วอึดใจต่อมาก็เกิดรอยร้าวขึ้นรอบ ๆ เพียงแค่หานลั่วอี้โคจรพลังเข้าไปด้านใน
“หากข้ามีพลังเช่นนี้บ้างคงดี” เยว่ฉีเผลอพูดออกไป หลังรู้ตัวก็รีบปิดปากเงยหน้ามองหานลั่วอี้
นางหาได้มีความตั้งใจพูดกระทบจุดความรู้สึกของเขา สิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อสักครู่เป็นเพียงความต้องการน้อย ๆ ของตัวนาง
หานลั่วอี้เงยหน้ามองสบสายตารู้สึกผิด เขารู้ว่านางไม่ได้มีเจตนาพูดถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยกล่าวเสียงอ่อนโยน
“อย่าได้รู้สึกผิด ข้าเข้าใจในคำพูดของเจ้าทั้งยังทราบดีว่าเจ้าไม่ได้มีความคิดเช่นคนพวกนั้น”
เยว่ฉีผงกหัวขึ้นลง ย่อตัวลงตรงหน้าชายหนุ่ม มือเรียวติดซูบผอมวางบนหลังมือ
“ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอย่างที่ท่านเข้าใจ” แค่นั้นก็เพียงพอ คำกล่าวยืนยันจากปากพร้อมสายตาจริงใจ เพียงพอสำหรับเขาในตอนนี้
เยว่ฉีไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมระหว่างทั้งคู่จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย มองก้อนหินซึ่งถูกผ่าออกเป็นสองส่วนในมือ
“ท่านเปิดดูว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านในหรือไม่” หานลั่วอี้พยักหน้าใช้มือแยกหินสองชิ้นออกจากกัน
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของทั้งสองคนคือหยกขนาดประมาณสองชุ่นถูกฝังอยู่ตรงกลาง เยว่ฉีขมวดคิ้วมองหานลั่วอี้
บุรุษหนุ่มคล้ายเข้าใจความนัยจากสายตา หยิบหยกสีเหลืองอ่อนขึ้นมาถือ กล่าวอธิบาย
“สิ่งนี้เรียกว่าหยกวิญญาณ ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่มักจะซื้อหยกวิญญาณแจกจ่ายแก่ลูกหลาน ให้พวกเขาใช้ดูดซับ หยกวิญญาณมีส่วนช่วยให้ผู้ฝึกปราณเพิ่มระดับความสามารถให้สูงขึ้น ตอนที่ข้ายังอยู่ในตระกูลได้รับหยกวิญญาณเดือนละสองก้อน เป็นหยกวิญญาณระดับกลางเช่นเดียวกันแต่สีอ่อนกว่าก้อนนี้มาก หยกวิญญาณมีคุณค่ามาก ทว่าก็หาได้ไม่ง่ายขึ้นอยู่กับระดับของหยกวิญญาณ...”
หานลั่วอี้อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับหยกวิญญาณให้เยว่ฉีฟัง หยกวิญญาณแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ต่ำ กลาง สูง สูงที่สุด โดยเรียงจาก ไม่มีสี สีเหลือง สีชมพู และสีแดง หยกวิญญาณแต่ละระดับล้วนมีคุณภาพสูงต่ำแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความเข้มของสี
ที่หานลั่วอี้ถืออยู่ในมือคือหยกวิญญาณระดับกลาง คุณภาพต่ำค่อนไประดับกลาง ตัวหยกวิญญาณแบ่งเป็นสี่ระดับ สามคุณภาพ คือ ต่ำ กลาง สูง
หลังฟังคำอธิบายเยว่ฉีพลันรู้สึกว่า หยกวิญญาณวิเศษกว่าพืชวิญญาณ เพราะสามารถดูดซับได้ทันที แตกต่างจากพืชวิญญาณที่ต้องผ่านการหลอมขึ้นมาก่อนจึงจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
แล้วเหตุใดพืชวิญญาณถึงยังเป็นที่ต้องการ? เพราะเมื่อเทียบกับจำนวนโอสถแล้ว หยกวิญญาณหาได้ยากมากกว่า
“ลั่วอี้เช่นนั้นข้ามอบให้ท่าน”
“สิ่งนี้สำหรับข้าตอนนี้ไม่จำเป็น เจ้านำไปขายเป็นเงินมาใช้ในครอบครัวดีกว่า” ระหว่างที่หานลั่วอี้เอ่ยประโยคนี้ ตัวนางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเศร้าสร้อยโอบล้อมร่างกายแกร่ง พอเงยหน้าสบเข้ากับดวงตาคมเข้มก็เห็นว่าในนั้นมีประกายเศร้าหมองปรากฏอยู่
เยว่ฉียื่นมือเรียวสวยไปวางลงบนหลังมือแกร่งตบเบา ๆ สองสามครั้ง ไร้ซึ่งคำพูด
หญิงสาวตรงหน้ายังคงแย้มยิ้ม ทว่าบรรยากาศกดดันกลับทำให้คนทั้งสามไม่กล้าแม้จะขยับตัว พลังจิตแผ่กระจายออกไป ปกคลุมทั่วทั้งร่าง ก่อนจะควบคุมให้เข้าไปโจมตีจิตของอีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้กว่าหนึ่งจั้ง คนทั้งสามก็หมดสติล้มลงไปนอนบนพื้นเสียแล้วรอยยิ้มงดงามหดหาย ใบหน้าเผยความรู้สึกเสียดาย หลุบตาลงมองคนทั้งสาม พร้อมเอ่ยออกมาว่า“จบแล้วหรือ?”น้ำเสียงเสียดายถูกเอ่ยออกมา หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนจะหันหลังเดินห่างออกมาตัดสินผู้ชนะบนลานประลอง พร้อมม่านพลังที่จางหายไปทั้งที่เป็นคำพูดและน้ำเสียงเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกดดัน แต่กลับสามารถกระตุ้นความรู้สึกของคนที่มองอยู่ด้านบนได้เป็นอย่างดี“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน จัดการได้ยอดเยี่ยมมาก รอยยิ้มของนางทำเอาข้าขนลุกซู่ไปทั้งตัว” อู๋หนิงอันที่มองการแข่งขันอยู่ถึงกับตาแข็งค้าง ไม่คิดว่าสตรีที่ดูไม่มีพิษภัย พอเผยยิ้มร้ายจะทำให้คนตัวแข็งค้าง“ข้าชอบนาง ข้าจะเลือกนางมาเป็นคนของตระกูลข้า !!” อู๋หนิงอันเอ่ยเสียงหนักแน่น ไม่ได้พบเจอสตรีที่มีท่าทีถูกใจนางเช่นนี้มานานแล้ว นางตื่นเต้นจนอยากจะลงไปทักทายเสียตอนนี้“เหอะ คนเช่นนี้ต้องมาที่ตระกูลไท่เท่า
เวลาหนึ่งวันไม่ถือว่านาน แต่สำหรับคนที่เข้าร่วมศึกจัดอันดับนั้น เวลาหนึ่งวันคือช่วงเวลาบีบเคล้นพวกเขาให้หายใจลำบากเมื่อการทดสอบรอบแรกสิ้นสุดลง ในที่สุดพวกเขาก็โห่ร้องออกมาได้เสียที ไม่ใช่โห่ร้องออกมาจากความดีใจเพียงอย่างเดียว แต่โห่ร้องออกมาเพราะความโล่งใจ ที่ในที่สุดก็ผ่านรอบแรกมาได้การแข่งขันรอบสองจะถูกจัดขึ้นวันพรุ่งนี้ ยังพอมีเวลาให้เตรียมตัวศิษย์ทั้งหลายเดินทางออกจากลานประลองแล้ว ศิษย์หลายคนมีสีน่าเศร้าสร้อยเพราะไม่ผ่านการแข่งขันรอบแรก หลายคนเอ่ยปลอบเพื่อนที่รู้จักกันพร้อมบอกว่ายังมีการแข่งขันอีกครั้ง สามารถเข้าร่วมได้เสมอ หรือไม่หากมั่นใจในความสามารถตนเองก็สามารถขอท้าสู้คนที่อยู่ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งได้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เยว่ฉีเพิ่งได้รู้ตั้งแต่เข้ามาในสำนัก นางไม่เคยได้ใช้เวลาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในสำนักเลย หากไม่เข้าไปฝึกฝนในมิติ ก็เข้าไปฝึกฝนในหุบเขา ขนาดสวนสมุนไพร หรือห้องแรงโน้มถ่วงก็ยังไม่เคยเข้าไปเหยียบเลยสักครั้งหอสมุดยิ่งแล้วใหญ่ อาจารย์บอกว่าในมิติมีหนังสือเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องไปเสียแต้มกับของแบบนั้นนางผู้ได้ชื่อว่าศิษย์ผู้เชื่อฟังจึงไม่เคยเข้าไปในหอสมุดวันที่สอ
ฝั่งหวานเว่ยก็มีสภาพไม่ต่างกัน นางกระโดดมายืนข้างเสินเทียน ทั้งสองคนหันหลังเข้าหากัน สายตาแน่วแน่ไม่คิดยอมแพ้ ทั้งที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเยว่ฉีผู้นั่งมองเหตุการณ์ยกยิ้มยื่นมือเข้าช่วยเล็กน้อยคงไม่เป็นไรกระมัง ว่าแล้วก็ขยายพลังจิตลงไปด้านล่าง โอบล้อมคนทั้งสิบเอาไว้ อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายกำลังได้ใจ โจมตีเข้าไปในจิตให้เสียหลักสองคนที่เหลือมองเห็นความผิดปกติเล็กน้อย อาศัยโอกาสที่เยว่ฉีสร้างให้ โจมตีอีกฝ่ายจนหมดสติ จากนั้นก้มลงเก็บป้ายหยกออกมา“สนุกพอแล้วก็ออกมา” เป็นเสินเทียนที่เอ่ยขึ้น การโจมตีเมื่อสักครู่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเยว่ฉี เพราะคงไม่มีคนใจดีที่ไหนยื่นมือเข้าช่วยคนที่ตนไม่รู้จักเขากวาดตามองบริเวณโดยรอบ ก่อนจะมองเห็นเยว่ฉีนั่งแกว่งขาไปมาท่าทางสบายใจอยู่บนกิ่งไม้ ข้างกายนางมีหานลั่วอี้ยืนมองอยู่“สนุกมากไหม? ที่เห็นพวกข้ากำลังเสียเปรียบ”“สนุกมาก ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้าข้ายิ่งมีความสุข” นางเอ่ยยิ้ม ๆ กระโดดลงมาจากต้นไม้ แต่ก่อนร่างกายจะถึงพื้นลมสายหนึ่งก็มารองใต้เท้านางรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จึงหันไปเอ่ยขอบคุณเสินเทียนมองทั้งสองคนที่สภาพยังดีอยู่ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พว
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปศิษย์หลายคนถูกคัดออกในเวลาไม่นาน ในขณะที่ศิษย์อีกหลายคนสามารถสะสมแต้มได้ครบ และผ่านเข้ารอบถัดไปสองสามีภรรยาเยว่หานผู้โชคดีได้พบศิษย์เข้ามามอบแต้มให้ถึงมือ ไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากนั้นมาทั้งสองคนจะไม่พบใครอีกเลย“ลั่วอี้พวกเราดวงซวยเกินไปหรือไม่?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยผ่านมาสองชั่วยามแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในป่า นอกจากสัตว์อสูรที่เข้ามาหาเรื่องเป็นครั้งคราวแล้ว พวกเขาก็ไม่พบศิษย์คนใดอีกเลย ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในหุบเขาแห่งนี้แล้วบุรุษถูกถามผินหน้ามองภรรยา มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย“ภรรยายังมีเวลาอีกมาก”“ข้ารู้ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ? ผ่านมาสองชั่วยามแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา นอกจากสองคู่แรกที่เข้ามาหาเรื่องเอง พวกเรายังไม่พบใครอีกเลย”“บางทีจุดที่พวกเราปรากฏตัวอาจจะห่างไกลจากศิษย์คนอื่น”เยว่ฉีคิดตามแล้วพยักหน้า ถึงอย่างนั้นนางก็ยังสงสัยศิษย์เข้ามาในหุบเขาตั้งมากมาย เหตุใดถึงหาไม่เจอ!!นางอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าเวลาการแข่งขันจะสิ้นสุดลง ไม่แน่บางทีเดินหน้าต่อไปอีกไม่กี่ก้าวพวกเขาอาจจะพบศิษย์คนอื่น ๆคิดได้ด
“ลั่วอี้พวกเราเรียกได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่?” เยว่ฉียืนนิ่งอยู่ด้านหลังหานลั่วอี้ ใช้พลังจิตตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ชายหนุ่มสกัดการโจมตีที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง สีหน้าเรียบเฉย“ภรรยาพวกเขาคงหมายตาเจ้ากระมัง”“ระหว่างการแข่งขันเนี่ยนะ?! เสียสติไปแล้วหรือ” หญิงสาวส่ายหัว เอ่ยเสียงเรียบ“ท่านจัดการได้หรือไม่? ข้ายังไม่อยากเผยความสามารถเท่าใดนัก”“ภรรยาเจ้าสามารถยืนนิ่งปล่อยให้สามีปกป้อง” เยว่ฉีถึงกับหลุดขำให้ประโยคหวานพูดออกมาด้วยหน้านิ่ง ๆ ได้ยังไงกันนะ เป็นบุรุษที่มีความสามารถเสียจริง“เชิญสามีปกป้องข้า” ว่าจบก็หย่อนตัวลงนั่งบนโขดหินที่ยืนเมื่อสักครู่ คนมาล้อมจู่โจมถึงกับงงงวย ทว่าไม่นานพวกเขาก็เข้าใจแม้จะบอกว่านั่งนิ่งให้ปกป้อง แต่ความจริงแล้วเยว่ฉีกำลังนั่งตรวจสอบว่าพวกเขาทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ที่ใด จากนั้นส่งที่อยู่ทั้งหมดเข้าไปในหัวหานลั่วอี้เพื่อยืนยันว่าจุดที่ชายหนุ่มสัมผัสได้กับจุดที่นางเห็นตรงกันจากนั้นลมสายหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมคนทั้งสี่จนหมดสติในการโจมตีเดียว“ง่ายกว่าที่คิดเสียอีก” หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ปัด ๆ เศษดินออกจากมือ ยื่นมือออกไปรับป้ายหยกที่หานลั่วอี้ใช้พลังยึดมาทั้งสองคนแ
หลังผ่านการฝึกฝนอย่างหนักใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาหลังสำนักมานานในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยก็มาถึงศึกจัดอันดับเพื่อกลายเป็นหนึ่งในร้อยอันดับผู้แข็งแกร่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วบนลานกว้างเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมศึกจัดอันดับ ชายหนุ่ม หญิงสาวเลือดร้อนที่ต้องการเข้าชิงหนึ่งในที่นั่งร้อยอันดับแรก ต่างรวมตัวกันอยู่บนลานประลองเหนือพวกเขาขึ้นไปด้านบน อาจารย์อาวุโสพร้อมอาจารย์ท่านอื่น ๆ ต่างยืนเรียงรายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มบนที่นั่งพิเศษเช่นเดียวกับตอนแรกนอกจากนั้นยังมีคนจากดินแดนระดับสูงที่กำลังกวาดตามองพวกเขาอยู่สายตาเสาะหาและพิจารณาเหล่านั้นกำลังจับจ้องทุกคนบนลานประลอง“สวัสดีเหล่าเด็กผู้กระหายความแข็งแกร่งในที่สุดศึกจัดอันดับระหว่างศิษย์ด้วยกันเองก็มาถึงแล้ว ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะมีศิษย์เข้าร่วมจำนวนมากจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเล็กน้อย”อาจารย์อาวุโสลอยออกมากลางลานประลองเหนือศิษย์ทั้งหลาย เขาวาดมือบนอากาศครั้งหนึ่ง ป้ายหยกขนาดเท่ากับป้ายชื่อก็ลอยมาตรงหน้าพวกเขา“สิ่งนี้เรียกว่าป้ายหยกประจำตัว บนนั้นจะมีแต้มอยู่สองแต้ม สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือเปลี่ยนแต้มบ







