LOGINหัวใจชายนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ข้ามิอาจจะทำเช่นไรได้ เขากลับมาจากชายแดนพร้อมกับสตรีอื่น และบอกกับข้าสตรีที่รอคอยเขามานานถึงห้าหนาวว่า……เขาไม่ได้รักข้าแล้ว
View Moreเช้าวันอันสดใสที่ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันโห่ร้องยินดี เมื่อม้าเร็ววิ่งเข้ามารายงานว่าขบวนของกองทัพของแม่ทัพเฉินมู่หยางนั้นได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงแล้ว อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเดินทางเข้าสู่ประตูเมืองหลวง ทั่วทั้งเมืองล้วนตื่นเต้นยินดี ทางวังหลวงฮ่องเต้มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาทันที หลังจากที่พวกเขาเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว
ภายในวังหลวงนั้นมีการจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารที่กลับมาจากการสู้ศึกที่ชายแดนที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว และตอนนี้ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แม่ทัพเฉินมู่หยางแม่ทัพใหญ่ของกองทัพนี้ได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเป็นทัพแรก ส่วนกองทัพในบังคับบัญชาของแม่ทัพอื่น ๆ ก็กำลังทยอยกันเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง
ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างพากันตื่นเต้นดีใจ และพากันออกมารอต้อนรับขบวนทหารตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้คนพากันออกมายืนรออยู่สองข้างทางตั้งแต่ประตูใหญ่ด้านหน้าเมืองจนกระทั่งสุดถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวง
ส่วนที่จวนสกุลเฉินที่เป็นจวนของแม่ทัพเฉินมู่หยางก็ล้วนแต่ตื่นเต้นยินดีนัก ที่ได้รับข่าวดีเช่นนี้ คนทั้งจวนพากันดีใจ โดยเฉพาะท่านย่าและแม่นมหวังพากันดีใจจนน้ำตาไหล เพราะทั้งเป็นห่วงและคิดถึงหลานชายเพียงคนเดียวที่ตอนนี้ชนะศึกกลับมาแล้ว
พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันมานานถึงห้าหนาวเข้าไปแล้ว มีเพียงจดหมายที่แม่ทัพเฉินเขียนมาส่งข่าวคราวเป็นระยะ หากไม่ยุ่งกับการสู้ศึกจนเกินไป ส่วนทางครอบครัวส่งจดหมายให้เขาอยู่เสมอ เพียงแต่ได้รับการตอบกลับบ้างไม่ได้รับบ้าง คงเพราะเขาติดพันการสู้ศึกอยู่ จึงได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวกันด้วยความห่วงใยเพียงเท่านั้น
แต่ตอนนี้จะได้พบหน้ากันตัวเป็น ๆ แล้ว ทำให้ทั้งท่านย่าและแม่นมหวังที่เลี้ยงดูท่านแม่ทัพเฉินและน้องสาวเพียวคนเดียวของเขาที่มีนามว่ามู่หลันมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะทั้งบิดาและมารดาพากันเสียชีวิตไปด้วยไข้ป่าเมื่อตอนเดินทางกลับจากเมืองคัง และก็เสียชีวิตทันที ทำให้หลานทั้งสองเป็นกำพร้า มีเพียงท่านย่าและแม่นมหวังที่เลี้ยงดูพวกเขามาจนเติบใหญ่
และพวกเขามีเพื่อนสมัยเด็กอีกหนึ่งคนก็คือ ซ่งจินเยว่ หลานสาวกำพร้าของแม่นมหวังที่ท่านพ่อของนางเสียชีวิตเช่นกัน มีญาติห่างนำนางมาส่งให้กับแม่นมหวังเลี้ยงดูตั้งแต่นางยังเล็ก ๆ ทั้งสามจึงได้เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก และยังมีคุณชายจางเล่อถงอีกคนหนึ่ง เขาเป็นบุตรชายจวนสกุลจางที่อยู่ข้างบ้าน และเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมา
แต่พอเริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาว แม่ทัพเฉินมู่หยางที่ขณะนั้นยังไม่ได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพ ก็ตกหลุมรักเพื่อนในวัยเด็กของตัวเองคือซ่งจินเยว่ และทั้งสองได้คบหากันเงียบ ๆ ต่อมาเมื่อผู้ใหญ่รู้เรื่องก็ไม่ได้ว่าอะไร ยินยอมให้คบหากันดังเช่นคนรัก ขณะนั้นแม่ทัพเฉินนั้นหลงรักเยว่จินมาก เพราะนางเป็นสาวน้อยที่น่ารัก สดใส และงดงามดังดอกเหม่ยกุ้ยที่แรกแย้ม
เขากับนางคบหากันดังเช่นคนรัก และขณะนั้นทหารหนุ่มน้อยนายนั้น ก็สัญญากับสาวน้อยอดีตเพื่อนวัยเด็กว่าเขาจะรักเพียงนางแค่คนเดียว จะไม่มองสตรีอื่นที่ไหนทั้งสิ้น และหากถึงเวลาที่จะออกเรือน เขาก็จะให้ท่านย่าสู่ขอนางกับแม่นมหวัง เพื่อที่จะได้รับนางเป็นฮูหยิน
ความรักของพวกเขาในเวลานั้นช่างสดใส และมีความสุขมาก ส่วนมู่หลันก็ยินดีนักกับพี่สะใภ้ที่สนิทและรักใคร่กันจนเปรียบดังสหายเช่นซ่งจินเยว่ เวลานั้นทุก ๆ คนในจวนต่างก็รับรู้ และแน่ใจว่าอีกไม่นานซ่งจินเยว่หลานสาวกำพร้าของแม่นมหวังก็คงจะได้หมั้นหมายและในที่สุดก็คงจะได้แต่งงานเป็นฮูหยินของแม่ทัพเฉินมู่หยางแน่ ๆ ไม่มีทางผิดไปจากนี้ได้
ยามเขาจะต้องออกไปรบ จินเยว่นั้นก็เป็นกังวลเพราะเป็นห่วงคนรัก วันที่เขาออกเดินทางนางหอบห่อของกินที่เป็นของแห้งที่เก็บเอาไว้ได้นาน ที่นางพยายามทำอย่างสุดฝีมือ และเพียรเสาะหาเฉพาะที่ชนิดที่เก็บเอาไว้ได้นาน ไปส่งให้กับคนสนิทของคนรักก่อนที่จะออกเดินทาง เพราะนางเป็นห่วงคนรักมาก เกรงว่าที่ชายแดนอาหารการกินจะลำบาก
วันนี้นางมอบผ้าเช็ดหน้าที่นางทำเองและปักชื่อย่อของทั้งสองเอาไว้ที่มุมผ้าเช็ดหน้าเพื่อมอบให้กับคนรักเอาติดตัวไว้ดูต่างหน้า และเพื่อเตือนใจของเขาว่านางยังรอเขาอยู่เสมอ ทั้งสองร่ำลากันด้วยความเศร้าและเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน
จินเยว่ยืนรอส่งคนรักจนกระทั่งเขาโหนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าคู่ใจของเขา แล้วก็หันมาโบกมือลานางเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จึงได้บังคับให้ม้าตัวนั้น ค่อยเยื้องย่างนำหน้าขบวนทัพของเขาแล้วก็จากไป
จินเยว่ยืนส่งคนรักจนกระทั่งขบวนทหารของเขาลับสายตาไป น้ำตาของนางเอ่อคลอตาแต่ก็หักห้ามตัวเองเอาไว้เพราะเกรงว่าจะเป็นลางไม่ดี หลังจากนั้นเป็นต้นมานางก็มักจะเขียนจดหมายถึงคนรักอยู่เสมอ และฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาหานางเป็นประจำ
แต่พัก ๆ หลัง ๆ ก็จะมีห่างหายไปบ้าง นาน ๆ ครั้งจึงจะส่งจดหมายมา นางคิดว่าเขาคงจะติดพันการรบ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก นางยังคงเพียรเขียนจดหมายหาคนรัก บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ทางบ้านให้เขาฟัง หวังเพียงว่าจะช่วยให้เขาได้คลายความคิดถึงบ้าน และมีกำลังใจสู้ศึก ทั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่านางยังคงเฝ้ารอเขาอย่างภักดี แม้อยู่ทางนี้จะมีแม่สื่อมาทาบทามหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่นางก็ปฏิเสธไปเสมอ เพราะหัวใจนางเฝ้ารอเพียงเฉินมู่หยางคนรักของนางเพียงเท่านั้น
พอบ่าวชายที่ใช้ให้ไปดูขบวนทหารว่าเข้าประตูเมืองมาหรือยัง ได้วิ่งเข้ามารายงานฮูหยินผู้เฒ่าว่าบัดนี้ ขบวนของท่านแม่ทัพเฉินมู่หยางได้เข้าประตูเมืองมาแล้วและกำลังมุ่งหน้าไปทางวังหลวง
“คงจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กระมังเจ้าคะ” แม่นมหวังเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“คงจะเช่นนั้น เขามาถึงเมืองหลวงแล้ว คงจะต้องเข้าไปถวายรายงานเรื่องการศึกนี้แก่ฮ่องเต้ก่อน จึงได้กลับจวนได้ รออีกนิดก็จะได้พบหน้ากันแล้ว อาหารที่สั่งให้ทำเพื่อต้อนรับเขาเรียบร้อยแล้วหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปถามแม่นมหวัง ที่พยักหน้ารับทันที
“เจ้าค่ะ อาหารทุกอย่างล้วนเป็นอาหารที่ท่านแม่ทัพชื่นชอบทั้งนั้นเจ้าค่ะ เยว่เอ๋อลงมือเข้าครัวเองเลยนะเจ้าคะ " ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างพอใจ เพราะรู้ว่าจินเยว่ก็เฝ้ารอคอยคนรักของนางอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน คราวนี้คงจะได้ลงเอยกันเสียที ฮูหยินผู้เฒ่าคิดอย่างสบายใจ
เมื่อทหารที่แม่ทัพมู่หยางให้มาส่งข่าวที่จวนว่าเขากำลังจะออกจากวังหลวงมาแล้วมาส่งข่าวให้กับที่จวนได้ทราบ พวกเขาก็พากันออกไปรับท่านแม่ทัพเฉินมู่หยางกันที่หน้าจวนกันอย่างตื่นเต้น บ่าวทั้งชายและหญิงเข้าแถวเรียงหน้ากระดานเพื่อรอต้อนรับท่านแม่ทัพ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าและหลานสาวคนเล็กมู่หลัน และแม่นมหวังรวมถึงซ่งจินเยว่หลานสาวก็ต่างพากันมายืนออกันอยู่หน้าประตูเพื่อรอรับแม่ทัพหนุ่มกลับเข้าจวน
และเวลาสำคัญก็มาถึง พวกเขาเห็นแม่ทัพมู่หยางควบม้ามาแต่ไกล ด้านหลังเขาก็มีคนสนิทสามสี่คนที่ต่างก็ควบม้าติดตามกันมา และเมื่อเขาควบม้ามาใกล้จะถึงหน้าประตู ก็ทำเอาทุกคนชะงักค้างนิ่งงันกันไปหมด
เพราะในอ้อมแขนของท่านแม่ทัพ มีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าบนม้าตัวเดียวกันกับเขามาด้วย สตรีนางนั้นอยู่ในวัยใกล้เคียงกับมู่หลันและจินเยว่ และมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่น้อย และเมื่อม้าสีน้ำตาลตัวสูงใหญ่งามสง่าที่เป็นม้าคู่กายของท่านแม่ทัพหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่ต่อหน้าต่อตาทุก ๆ คนแล้ว
แม่ทัพมู่หยางก็โหนกายลงจากม้า แล้วก็หันกลับไปจับเอวคอดของสตรีนางนั้นที่โดยสารมากับม้าตัวเดียวกันกับเขาให้ลงจากม้าแล้วอุ้มนางวางไว้บนพื้นข้างกายของเขา
หลายวันต่อมา ว่าที่ฮูหยินคนใหม่ของท่านแม่ทัพก็เข้าพำนักในเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ห่างจากเรือนหลักมากนัก บัดนี้ท่านย่าพอจะทำใจได้บ้างแล้ว และด้วยจินเยว่นั้นมาบอกว่านางไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว หากท่านแม่ทัพไม่ต้องการนาง ก็ไม่อยากจะฝืนใจเขา ต่างคนต่างไปมีหนทางของตนเองเช่นนี้ก็ดีแล้ว นั่นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจขึ้นแม้จะไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันกลับกลายมาเป็นเช่นนี้เลย แต่ด้วยไม่อยากจะบังคับใจหลานชาย จึงได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป และก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ให้การแต่งงานของหลานชายเกิดขึ้นเร็วนัก เพราะอยากให้เขาแน่ใจตัวเองจริง ๆ ว่าต้องการสตรีนางนั้นเป็นฮูหยินของเขาจริง ๆ ก่อน จึงจะจัดการแต่งงานให้กับหลานชายเพียงคนเดียว แม้ในใจส่วนลึกก็ยังอยากจะได้จินเยว่กลับมาเป็นหลานสะใภ้ของตัวเองเช่นเดิม แต่เมื่อมองดูแล้วความฝันนี้ก็ช่างเลือนลางเหลือเกิน เพราะวัน ๆ เห็นแต่หลานชายเฝ้าเอาอกเอาใจสตรีคนใหม่ของเขา เหมือนรักใคร่นางเสียมากมาย วันหนึ่งจินเยว่เดินออกจากเรือนของตนเองเพื่อจะไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อจะอ่านหนังสือยามบ่ายให้กับฮูหยินผู้เฒ่าฟังเช่นปกติ ขณะเดินตัดผ่าน
ทั้งหมดพากันเข้าไปในห้องโถงภายในเรือนหลักของจวนแม่ทัพ“ เอาละ ยังไม่ต้องพูดอะไรกันหรอก ไว้เจ้าไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวกันก่อน ย่าสั่งให้เขาเตรียมอาหารให้เจ้ามากมายเต็มไปหมด ล้วนมีแต่ของที่เจ้าชอบกินทั้งนั้น ” ท่านย่าเอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนเข้าไปรวมกันในห้องโถงแล้ว“ท่านย่า ช่วยสั่งให้คนจัดเรือนให้กับหนิงอันด้วยเถิดขอรับ เอาที่ใกล้ ๆ เรือนของข้าหน่อย ไปมาหาสู่กันจะได้สะดวกขอรับ หนิงอัน เจ้าตามสาวใช้ไปนะ ไปอาบน้ำแล้วก็มากินข้าวด้วยกันที่เรือนนี้เข้าใจหรือไม่”แม่ทัพมู่หยางหันไปสั่งคนรักใหม่ของเขา ที่หันมารับคำอย่างว่าง่ายด้วยท่าทางอ่อนหวานน่ารัก พอสาวใช้เดินมาที่นางแล้ว หนิงอันก็ลุกขึ้นนางหันไปย่อกายทำความเคารพท่านย่าของคนรักอย่างอ่อนช้อย“หนิงอันคารวะท่านย่ากับแม่นมหวังใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่พูดถึงพวกท่านอยู่บ่อย ๆ เจ้าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นหลานสาวด้วยคนนะเจ้าค่ะ”นางหันไปยิ้มให้กับผู้อาวุโสทั้งสองและย่อกายความเคารพอย่างอ่อนช้อย ใบหน้ายิ้มละไมให้กับทั้งผู้อาวุโสและให้กับมู่หลันที่เป็นน้องสาวของคนรักอีกด้วย แม้มู่หลันจะเมินไปทางอื่นทันทีนางก็ไม่ได้สนใจ“เอาละ เจ
แล้วแม่ทัพหนุ่มก็หันมายกมือคารวะท่านย่าของเขาที่ตอนนี้ก็ชะงักนิ่งงันจ้องมองเขากับสตรีน้อยนางนั้นเช่นเดียวทุกๆ คนในจวน ใบหน้าของทั้งท่านย่าแม่นมหวังนั้นไม่ต่างกันมากนัก“ คารวะท่านย่าขอรับ ข้าคิดถึงท่านย่าและทุกคน ๆ ที่จวนมาก ๆ เลยขอรับ ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว การศึกที่ยืดเยื้อมาตลอดห้าปีจบสิ้นลงแล้ว ต่อไปข้าคงจะได้อยู่ที่จวนกับท่านย่าและแม่นมหวังได้นาน ๆ แล้วขอรับ ”เขาหันมาคารวะท่านย่ากับแม่นมหวังแล้วก็ร้องทักทายอย่างดีใจส่วนทั้งมู่หลันและเยว่ซินที่ยืนอยู่ข้างกันก็นิ่งมองแม่ทัพหนุ่มตาค้าง ใบหน้างามของเยว่ซินนั้นหม่นแสงลงเล็กน้อย แต่นางก็พยายามคิดในแง่ดีว่า สตรีที่นั่งม้าตัวเดียวกันกับพี่มู่หยางของนางมานั้น อาจจะไม่ได้เป็นอะไรกับเขาก็ได้ นางอาจจะเพียงแค่จำต้องนั่งม้ามาด้วยกันเพราะขี่ม้าไม่เป็นก็เป็นได้“ ท่านพี่มู่หยาง ท่านพาใครมาด้วยเจ้าคะ ”แต่เป็นมู่หลันที่อดใจไม่ไหว เอ่ยถามในทันที ดวงตากลมจ้องมองสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายของพี่ชายนิ่ง ด้วยใบหน้างุนงงเป็นอย่างมาก“ ข้าลืมแนะนำไป นางคือ หลู้หนิงอัน นางเป็นคนรักของข้า กลับมาครั้งนี้ ข้าจะขอท่านย่าแต่งงานกับนางรับนางเป็นฮูหยินของข้า ”สิ้น
เช้าวันอันสดใสที่ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันโห่ร้องยินดี เมื่อม้าเร็ววิ่งเข้ามารายงานว่าขบวนของกองทัพของแม่ทัพเฉินมู่หยางนั้นได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงแล้ว อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเดินทางเข้าสู่ประตูเมืองหลวง ทั่วทั้งเมืองล้วนตื่นเต้นยินดี ทางวังหลวงฮ่องเต้มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาทันที หลังจากที่พวกเขาเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วภายในวังหลวงนั้นมีการจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารที่กลับมาจากการสู้ศึกที่ชายแดนที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว และตอนนี้ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แม่ทัพเฉินมู่หยางแม่ทัพใหญ่ของกองทัพนี้ได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเป็นทัพแรก ส่วนกองทัพในบังคับบัญชาของแม่ทัพอื่น ๆ ก็กำลังทยอยกันเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างพากันตื่นเต้นดีใจ และพากันออกมารอต้อนรับขบวนทหารตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้คนพากันออกมายืนรออยู่สองข้างทางตั้งแต่ประตูใหญ่ด้านหน้าเมืองจนกระทั่งสุดถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงส่วนที่จวนสกุลเฉินที่เป็นจวนของแม่ทัพเฉินมู่หยางก็ล้วนแต่ตื่นเต้นยินดีนัก ที่ได้รับข่าวดีเช่นนี้ คนทั้งจวนพากันดีใจ โดยเฉพาะท่านย่าและแม่นมหวังพากันดีใจจนน้ำ






Comments