เดลรีบช้อนร่างระทดระทวยขึ้นอุ้ม เมื่อการชมเชยเพียงภายนอกไม่อาจทำให้คนทั้งสองบรรลุในความปรารถนาที่มีต่อกัน ปลายเท้าน้อยๆของโซเฟียละลิ่วลอยจากพื้น เขาอุ้มเธอเดินดุ่มไปยังห้องนอนของเธอซึ่งอยู่ไม่ไกล
เมื่อเขาวางเธอลงบนที่นอนด้วยอาการทะนุถนอม โซเฟียกระถดร่างเข้าไปใกล้หัวเตียง คว้าเอาหมอนมารองหลัง แล้วเอนพิงพนักหัวเตียง อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มองดูเดลคลายเข็มขัด ปลดเปลื้องเสื้อผ้าลนลาน
เสี้ยวอึดใจ ทว่าช่างรู้สึกว่ามันยาวนานสำหรับคนรอ ร่างนั้นก็เปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้า
โซเฟียเหมือนเชลยศึกซึ่งเพลี่ยงพล้ำอยู่กลางสนามรบ หัวใจเต้นระส่ำ รอคอยการลงทัณฑ์อันแสนหวาน จากศาสตราวุธที่แลเห็นรูปลำน่าเกรงขามของมันเหวี่ยงไหวอยู่ในแสงแดดลำสุดท้ายของยามเย็นที่สาดลอดช่องหน้าต่างมาทางเบื้องทิศตะวันตก
จากนั้นเขาก็โถมถาเข้าหาเธอที่ชันเข่ารอ
“คิดถึงเหลือเกินโซเฟีย”
กล่าวพร้อมกับคว้าชายกระโปรง ถลกเลิกมันขึ้นไปกองอยู่เหนือหน้าท้อง ลำตัวหนาแทรกลงกลางความอบอุ่นที่อ้ารับ เดลเริ่มเคลื่อนไหว ด้วยการคลึงขยับบั้นท้าย กระถดไถเบาๆ ทำราวกับเป็นวัวกระทิงตัวผู้ที่ตรงเข้าเกลือกกายกับกับพุ่มแพรไหมสีทองระยับ ให้ความรู้สึกเหมือนต้นหญ้าอ่อนๆที่ผลิรับฝนแรก
ร่างกายที่เสียดสีกันจนอุ่น ทว่าแค่เพียงสัมผัสคงไม่อาจทำให้อิ่ม เดลจึงอาสาทำหน้าที่เป็นคนสวนที่กำลังจะปลูกต้นไม้ใหญ่ลงในสวนของเธอ เมื่อผืนดินของเธอพร้อมแล้ว จากการไถพรวนของเขา เดลจึงค่อยๆเคลื่อนลำต้นของไม้ใหญ่ ละเลียดลึกลงไปในหลุ่มอารมณ์ที่ตัวเองขุดเอาไว้รอ
เพราะความขรุขระของเปลือกและลำต้นอันใหญ่หนา ทำให้โซเฟียต้องหลับตาปี๋ กับความรู้สึกเสียดสาก เมื่อเขาพยายามจะหยั่งรากลึกลงในผืนดินที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรับรู้ จนสุดลิ่มลำของความกระหาย
โซเฟียสะดุ้งเฮือก เหลือกลูกตาขึ้นมองเพดาน ลมหายใจสะท้าน พ่นพรูออกมาช้าๆ ค่อยๆออมลมหายใจเอาไว้ ราวกับกลัวว่ามันจะหมดลงเสียก่อนที่จะได้แลกเหงื่อกับเขา
รู้สึกได้เลยว่าต้นไม้ของเดล กำลังหยั่งรากลึกเข้าไปในผืนดินของเธอ เสี้ยวนาทีสั้นๆ รากของมันก็แทรกเข้าไปสานรวมอยู่ในอณูเซลล์ของความสัมพันธ์อันซับซ้อน แต่เป็นสุขเหลือเกิน
“เดล” เธอเรียกชื่อเขา เดลตอบด้วยเสียงพ่นลมหายใจถี่กระชั้น เมื่อมันถึงที่สุดในการเดินทางของเขา
แม้ไม่ได้มองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้ชัดๆ หากโซเฟียก็รู้สึกได้ถึงร่างกายที่โยกโยน เนื้อตัวของเขาเริ่มเปลี่ยนจากอุ่นไปเป็นร้อน เมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหว ผิวกายก็ชื้นจนอาบสายเหงื่อไปในที่สุด เขาพลิ้วไหวเหมือนลมที่พัดใบยูคาลิปตัสอยู่ภายนอก ไม่ผ่อนพักแม้แต่เสี้ยววินาที นับจากที่มันเชื่อมประสาน
เดลชอบฟังเสียงครางของโซเฟีย มันไพเพราะกว่าบทเพลงใดๆที่เคยถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ เสียงนั้นอาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันว่าเธอต้องการเขา แม้โซเฟียจะไม่เคยหยิบยื่น ‘คำรัก’ ให้เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เดลมีความสุข เมื่อลอบชำเลืองมองดวงตาปรือปรอยของโซเฟีย ดวงตาคู่ที่กำลังกระพริบถี่เหมือนคนหายใจไม่ทัน ยืนยันว่าหล่อนปรารถนา เรียกร้องจนดวงหน้าสวยร่อนลอยด้วยความลืมตัว เร่งเร้าให้เขาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย
เนื้อตัวของเขาใหญ่ บั้นท้ายของเขาแกร่ง ทุกจังหวะจึงหนักแน่นรุนแรง สองร่างบดกระทั้นจนโซเฟียกัดฟัน กลั้นเสียงร้องเอาไว้ไม่ไหว ผมยาวสลวยที่ขมวดมวยเอาไว้ ลุ่ยหลุดกระเจิงกระจาย เรี่ยอยู่ที่แผ่นหลังซึ่งโยกโยนไปตามเสียงกึกกักของเตียงที่กระแทกผนัง
เธอเร่งเขาด้วยมือที่จิกเกร็งอยู่บนผืนผ้าปูที่นอนซีดเก่า เมื่อแลเห็นสวรรค์รำไร ในดินแดนไกลโพ้นที่มีดอกไม้โรยรองใต้ร่างของเธอและเขา แลเห็นสายรุ้งรำไร ดวงดาวผุดพราย และสะพานทอดยาวไปสู่ประตูสวรรค์คล้ายภาพลวงตา พร่าเลือนอยู่ตรงหน้า หากความรู้สึกก็สัมผัสได้ถึงความมีอยู่จริงของมัน
เดลรีบเร่งจังหวะเพื่อส่งเธอไปสู่อีกความรู้สึก หล่อนส่งสัญญาณด้วยการจิกปลายเล็บจนเจ็บเนื้อ ทว่าเดลก็เต็มใจที่จะรับความเจ็บปวดนั้นไว้ กระทั่งเสียงหายใจของเธอและเขาขาดหายไปเป็นห้วงๆ กระท่อนกระแท่นเหมือนหัวใจจะขาด
จากนั้นไม่นาน โซเฟียก็เป็นฝ่ายปลดปล่อยเสียงครางยาวออกมาก่อน แผ่วเบาจนเกือบกลืนกลบไปกับเสียงลมที่พัดอื้ออึงอยู่ภายนอก ในหูของเธอได้ยินแต่เสียงบทเพลงที่บรรเลงจากเครื่องดนตรีอันประกอบขึ้นด้วยเนื้อกระทบเนื้อ
เดลเหมือนคนอดอยาก ทุกรอยประทับของเขาที่ฝากเอาไว้ จึงแน่นหนักจนริมฝีปากของเธอเผยออ้า กัดเม้มกลีบปากของตัวเองไปมา พยายามกลืนเสียงครางลงลำคอไปช้าๆ มือน้อยๆไขว่คว้าได้แต่ต้นคอหนาและแผ่นหลังเรียบลื่นชื้นเหงื่อของเขา
มือสากใหญ่ของเดลคลึงเคล้าเต้าทรวงสล้างทั้งสองข้างของเธอ บีบจนหนั่นเนื้อปูดปลิ้นออกมาตามช่องว่างระหว่างซอกนิ้ว สลับกับก้มลงเชยชมทั้งซ้ายขวา นึกในใจว่าไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตนี้ ที่เขารู้สึกอิ่มหนำในเนื้อหนังมังสาของเธอถึงเพียงนี้
อยู่ๆ…ในจังหวะที่เสียงหัวเตียงกำลังกระทบกระแทกผนังอยู่นั้น เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงที่เดินร้องเพลงเข้ามาช้าๆด้วยอาการเริงร่าอารมณ์ดี ก็ดังแว่วมาจากหลังครัว
“แม่คะ…ทำอะไรอยู่คะ หม้อไหม้หมดแล้วค่ะ”
ซาบรีน่าทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นซุปข้าวโพดที่แห้งกรังอยู่ในหม้อ กลิ่นไหม้ลอยกรุ่นไปทั้งหลังครัว แลเห็นควันสีขาวพวยพุ่ง กระเจิงกระจาย คลุ้งอยู่ในบรรยากาศใกล้ค่ำ ลอยขึ้นสู่เพดานครัวที่เต็มไปด้วยเขม่าฟืนจับเป็นคราบอยู่ใต้หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำ
โซเฟียตกใจ รีบผลักร่างของเดลที่คว่ำหน้า หายใจรวยริน รดซอกคอของเธออยู่
“ฉันรักเธอ” เดลซึ่งอยู่ในอาการของคนที่ยังไม่หมดความในใจ รีบกล่าวคำนั้นออกมา ราวกับกลัวว่าชายอื่นจะชิงตัดหน้าเขาเสียก่อน อยากให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เขาและเธอได้ทำร่วมกัน มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการและความอ้างว้างเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากความรัก
เดลครุ่นคิดอยู่ในใจว่าอีกสองเดือนข้างหน้า เมื่อเสร็จงาน…เขาจะรีบกลับมาขอเธอแต่งงานทันที
“…….” โซเฟียไม่ได้กล่าวอะไร เธอนิ่งเหมือนทุกครั้งเมื่อเดลเอ่ยถึงความรัก จากนั้นจึงรีบคว้าเสื้อมาใส่
เดลพลิกร่างเปลือยล่อน นอนหงาย พ่นลมหายใจรวยริน รู้สึกโปร่งโล่ง สบายเนื้อสบายตัวขึ้นนมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเรือสำราญลำใหญ่ได้แล่นเข้าจอดเทียบท่า รอให้คลื่นลมแห่งความปรารถนาค่อยๆสงบลง
“ดึกดื่นป่านนี้ คุณหนูจะไปไหนครับ” คนรับใช้ถามด้วยความแปลกใจ“ไปบ้านของจอร์จ…เร็ว! แล้วอย่าถามอะไรมาก”จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงเท้าของแซนดร้าที่วิ่งลงบันไดบ้านไปเมื่อครู่ เสียงเฟืองและล้อรถม้าที่เสียดสีกับพื้นกรวดจากการออกตัวด้วยความเร็ว ดังขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้าน โทนี่และซินเทียที่กำลังวิวาทะกันอยู่ในขณะนั้น รีบชะโงกหน้าออกมามอง“แซนดร้า…นั่นลูกจะไปไหน”ด้วยความตกใจ ซินเทียตะโกนไล่หลังรถม้าที่กำลังจะพาร่างของแซนดร้าหายลับไปในราตรีกาลอันมืดมิดจอร์จส่ายหน้า…น้ำตาซึม นึกตำหนิในอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ถ้าแซนดร้าเป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดสองเดือนผ่านไป“ช่างเป็นชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด…” ซาบรีน่าซึ่งอยู่ในชุดวิวาห์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม รำพึงออกมาลอยๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก “เธอตะหากที่สมบูรณ์แบบ…ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย”คริสโตเฟอร์ในชุดเจ้าบ่าวสีเทาขรึม ก้าวเข้ามาใกล้ ทาบร่างกายกำยำใหญ่เอาไว้ที่ด้านหลังของซาบรีน่า กอดและก้มกระซิบเบาๆที่หลังใบหูเพียงปีแรกหลังแต่งงาน ทั้งสองก็ได้ทายาทเป็นลูกชายไว้สืบสกุล และอีกปีถัด
โทนี่ถอดหมวก ถอดเสื้อโค้ทสีดำออกช้าๆ แขวนไว้ที่หลังประตูแล้วก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยไม่ลืมมองไปที่ห้องนอนของแซนดร้าผู้เป็นลูกสาว พบว่าเธอไม่อยู่ จำได้ว่าแซนดร้าบอกเอาไว้ว่าจะออกไปหาคริสโตเฟอร์ เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมที่ทำให้แซนดร้าดีใจจนเนื้อเต้น “ยังไม่นอนอีกหรือ” โทนี่ถามภรรยาที่ทอดร่างอยู่บนเตียงนอน อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าแม้เธอจะยังไม่หลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าซินเทียกำลังรอคอยการกลับมาของเขา “คุณหายไปไหนตั้งนาน” ซินเทียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ห่วงฉันด้วยหรือ” สามีขมวดคิ้ว นิ่วหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น...ถามเหมือนคุณไม่รู้ใจฉัน คุณเป็นสามีของฉันนะโทนี่” ซินเทียตัดพ้อโทนี่อยากจะตอบว่า ‘ใช่…ฉันไม่เคยรู้ถึงจิตใจลึกๆของเธอเลย…ซินเทีย’ทว่าสุดท้าย เขาก็เก็บถ้อยคำยอกย้อนนั้นเอาไว้ในใจ “ไม่ห่วงคุณแล้วจะห่วงใคร…คุณเป็นสามีฉันนะโทนี่” เธอกล่าวให้เขาได้คิด “สามียังงั้นรึ!....ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าฉันควรจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม?” โทนี่ทำน้ำเสียงเย้ยหยัน เหมือนกับคนที่สูญสิ้นศรัทธาในชีวิตคู่ของตนมานานแล้ว ซินเทียขมวดคิ้
สีหน้าของโทนี่เต็มไปด้วยความขมขื่น นิ่งฟังเสียงตึงตังของเตียงที่เคลื่อนไปกระแทกผนัง ดังอยู่เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและยาวนาน ยิ่งได้ยินยิ่งโกรธแค้น ชิงชัง และริษยาจอร์จที่บรรเลงลีลารักได้ยาวนานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับเขาที่มักจะล้มเหลวในทุกครั้ง จากความบกพร่องของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวของกับการกลั้นเกร็งการหลั่งซึ่งไม่อาจบังคับได้อวัยวะชิ้นนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมของเขามานานแล้ว สืบเนื่องมาจากประสาทรับความรู้สึกบางส่วนได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆกับการผ่าตัด ภายหลังจากอุบัติเหตุตกม้า โทนี่คว้าเหล้าในขวดขึ้นมากระดกดื่มเหมือนน้ำ สบถด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยถัอยคำหยาบโลน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองที่อ่อนแอทั้งกายและใจ ซินเทียคงหนักแน่นพอที่จะประคับประคองความซื่อสัตย์ต่อกันเอาไว้ได้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะอันทุกข์ตรมขมขื่นเช่นนี้ จากนั้นไม่นาน โทนี่ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เขาหลับลงเพราะฤทธิ์สุราที่กรอกลงคอเพื่อให้ลืมทุกอย่างในชีวิต แม้รู้ดีว่าเหล้าอาจช่วยบิดเบือนความจริงอันเจ็บปวดได้ในช่วงสั้นๆก็ตาม จากเหตุการณ์อัปยศที่กำลังดำเนินอยู่นั้น โทนี่แทบจะไม่โทษซินเทีย เขาโยนความผิ
อีกครั้ง รั้งบั้นท้ายเปลือยร่อนไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะรองรับบางสิ่งซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่กันและกันหล่อนผ่อนลมหายใจเหมือนจะนับถอยหลัง ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง หากก็เดาได้ถึงความเครียดเขม็งที่จรดเล็งลงตรงหลืบลับในสรีระของหล่อนเพียงพรวดสั้นๆ…ที่หล่อนจำต้องกัดฟันด้วยความทรมาน เสี้ยวสั้นๆที่เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเธอและเขาตลอดไป ซินเทียสูดและพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสับสน แบ่งรับแบ่งสู้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามารุนแรงเหล้าหลายแก้วที่หล่อนดื่ม ความมึนเมาในตอนนั้น ทำให้โซเฟียไม่ได้ฉงนใจกับความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น ทว่าความรู้สึกอึดอัด รัด แน่น ก็ยืนยันว่า ‘ไม่ใช่โทนี่อย่างแน่นอน’เมื่อได้สติ…โซเฟียพยายามสะบัดสะโพกหนี หากเขาก็ดำดิ่งสู่แอ่งอารมณ์ของหล่อนไปแล้ว ความรู้สึกของซินเทียในตอนนั้น มันเหมือนกับมีรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในอุโมงค์ความปรารถนาอันมืดมิดและคับแคบของเธอ ซินเทียเหมือนผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวความมืด ได้แต่ภาวนาให้ความยาวลึกของรถขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไปเสียที ยิ่งช้ายิ่งอึดอัด ยิ่งนานยิ่งทรมาน แต่เมื่อถึงที่สุดของมัน…กลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่า ราวกับว่านรกและสวรรค์ได้ม
เหล้ารัมอีกขวดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน โทนี่ใช้มือหมุนขวดเปล่าไปมา มองดูมันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ขวดเหล้าไม่ต่างอะไรกับจิตใจของเขาในตอนนั้น บางครั้งก็มั่นคง แข็งแกร่ง ทว่าอยู่ๆกลับอ่อนแอ ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนขวดเหล้า ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตของโทนี่ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไร้ค่าขนาดนี้จากนั้นเขาก็ทอดร่างลงเหยียดยาว นอนหงายที่กลางพื้น มือก่ายหน้าผาก กวาดสายพาพร่าพรางไปที่เพดานบ้าน ราวกำลังค้นหาแมงมุมสักตัวที่อาจจะกำลังชักใยระโยงระยางอยู่ในตอนนั้นโทนี่ค้นพบว่านอกจากเหล้าจะไม่ช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเก่าๆที่กร่อนกินใจ แต่มันยิ่งกลับไปกวนตะกอนความแค้นที่กาลเวลากดทับมันเอาไว้ ให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขาหยัดร่างซวนเซขึ้นมาจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนทรยศ...คนชั่วช้า การที่ทำแบบนี้ มันเท่ากับว่าแกกำลังล้ำเส้นฉัน” โทนี่กล่าวถึงคนที่ตนกำลังโกรธ สาดเสียงสบถไปในความว่างเปล่า นอนฟังน้ำเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง กังวานของมันกระทบผนังและสะท้อนกลับเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังปวดแปลบ รู้สึกแสบเหมือนโดนสุราราดรดลงกลางบาดแผลหัวใจที่กลัดหนอง ความพิโรธสะท้อ
“ไม่แน่ใจขนาดนั้นหรอกมาธาร์…แต่ถ้าจะเป็นพินัยกรรมจริง คุณพ่อก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นอย่างแน่นอน” “แต่ก็มีพยานรับรู้อย่างถูกต้องนะคะ” มาธาร์ให้เหตุผล “จะมีประโยชน์อะไร…ถ้าพยานเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จอร์จวางเอาไว้ในกระดาน” คริสโตเฟอร์เปรียบเปรย มาธาร์หรี่ตา ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ “ถ้าคุณไม่ยอมรับพินัยกรรม หรือต้องการจะหาข้อจริงใดๆมาโต้แย้ง ก็ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะในพินัยกรรมระบุเอาไว้ชัดว่าคุณจะต้องแต่งงานกับแซนดร้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่พินัยกรรมฉบับนี้ได้ถูกเปิด” มาธาร์เตือนด้วยความหวังดี ที่บ้านของแซนดร้า ใกล้ค่ำของวันนั้น แซนดร้าที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจสุดขีด โผเข้ากอดกับซินเทียผู้เป็นแม่ ภายหลังจากตัวแทนจากสำนักงานกฏหมายที่ชื่อเดวิด แวะมาแจ้งข่าวให้แซนดร้าได้ทราบเกี่ยวกับเนื้อหาในพินัยกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเธอ “แม่ได้ยินเหมือนกับที่หนูได้ยินใช่ไหมคะ” แซนดร้าละล่ำละลัก ถามออกมาด้วยความดีใจเหมือนต้องการคนยืนยัน ทันทีที่ร่างท้วมของเดวิดหายลับไปที่เบื้องหลังประตู “จริงแท้ที่สุด…แม่ดี