ดานิกากลับเข้ามาในห้องนอนตนเอง ก็พบว่ารอยเลือดที่หยดบนพื้นถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จสรรพ
บนเตียงมีเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัววางอยู่ข้างกัน เด็กสาวใช้เวลาอาบน้ำสระผมก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดเดรสผ้านิ่มใส่สบาย
เสื้อผ้าคุณภาพดีที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกโอบกอดด้วยตุ๊กตาหมีตัวนุ่ม
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ดานิการีบหันไปมองที่ต้นทางก็เห็นว่าเป็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามา เด็กสาวถอยกรูดออกไปอยู่มุมห้อง ส่วนมาเฟียหนุ่มก็นั่งไขว่ห้างพาดแขนกับโซฟาสีเบจในห้องนอน
"เดี๋ยวจะมีหมอมา"
เธอกะพริบตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าถาม
"พูดได้ทุกเรื่อง คนของฉันเอง"
เน้นย้ำว่า 'ทุกเรื่อง' เพราะมีผลต่อการประเมินการรักษา
"มานั่งนี่" นิ้วเรียวชี้มาที่โซฟาพร้อมกับรอดูท่าทีของเธอ
ดานิกายืนลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้างุดเดินเข้ามานั่งที่โซฟาอีกตัว
"ยังเจ็บคออยู่ไหม"
เธอพยักหน้าช้าๆ เริ่มยกมือขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ เมื่อภาพคืนนั้นฉายซ้ำขึ้นในหัวหลังจากถูกถามเรื่องบาดแผล
"จะมีแค่เธอ ฉัน คีย์ และจิตแพทย์ที่รู้เรื่องคืนนั้น เข้าใจไหม"
ดานิกาพยักหน้ารัวอย่างเข้าใจ เธอก็ไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้เช่นกัน
"นะ หนูไม่ได้ตั้งใจ..."เริ่มออกอาการจะร้องไห้อีกครั้ง
"ต่อให้ตั้งใจก็ไม่เป็นไร" สาสมแล้วกับไอ้เวรนั่น "ฉันก็เพิ่งฆ่าคนไปวันเดียวกันกับเธอ"
เขาเอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาเบาๆ ให้เธอรับรู้ว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ที่เธอจะต้องมาแสดงท่าทีเกรงกลัวความผิดบาปเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
"ไอ้วิฑูรย์ เจ้าของผับที่มันขังเธอ" เขาอธิบายเพิ่มเมื่อดานิกามองหน้าเขาอย่างสนใจ
เธอไม่ได้สนใจเรื่องฆ่าแกงกัน แต่กำลังรู้สึกว่ามีคนทำผิดเช่นเดียวกันกับเธออยู่ในห้อง
"คนอื่นที่อยู่ใต้ดินออกมาหมดแล้ว"
ใบหน้าเล็กพยักหน้าซ้ำอีกรอบรับรู้สิ่งที่เขาพูด ก่อนจะยกมือลูบใบหน้าตัวเองเพื่อสลัดความเครียดออกจากใจ
"มาร์ติน แม็กคาร์ตนีย์คือชื่อฉัน" ดวงตาสีอำพันมองกลับมาอย่างคาดหวังคำตอบที่มากกว่าการพยักหน้า
"ดานิกาค่ะ เรียกหนูว่าดา"
"ดานิกาแปลว่าอะไร"
"ดาวศุกร์ค่ะ"
เพราะเกิดตอนย่ำรุ่ง บิดาเห็นดาวศุกร์สว่างไสวกว่าดาวดวงใดในยามเช้าจึงไปหาชื่อนี้มา
"จะเอายังไงต่อ อยากอยู่ที่นี่ไหม ฉันจะยกเซฟเฮาส์ให้เฝ้า"
"คุณจะไปไหนเหรอคะ"
"กลับฮ่องกง นานๆ ทีฉันจะมาไทย อาจจะสองปีครั้ง" เขาบอกเธอตามจริงเพื่อหาทางออกให้กับเธอ
อายุสิบเจ็ดไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะอยู่คนเดียวที่นี่ และเธอเองก็คงอยู่ไม่ไหว เพราะต้องรักษาอาการที่ตกค้างจากเรื่องคืนนั้น
"อยากเกิดใหม่ไหม?" เรื่องใหญ่ที่คิดอยู่ในหัวถูกถามออกมา "เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนครอบครัว ย้ายประเทศ"
ไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะทำ มีคนคอยช่วยเหลือเขามากมาย เพียงแค่เจ้าตัวตรงหน้าตอบตกลง
"หนูไปอยู่กับคุณได้ไหมคะ" ถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ คงมีแต่เขาที่เธอไว้ใจในตอนนี้
"ได้ แต่เธอต้องทำตามแผนที่ฉันวางไว้ให้ได้"
เขาหยักยิ้มพอใจที่เธอตัดสินใจได้ ไม่มีประโยชน์อะไรจะต้องเสียดายชาติกำเนิดที่เลวร้ายนั้น พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว แถมยังมีความผิดติดตัว
มีแต่จะต้องรีเซ็ตชีวิตเท่านั้น และเขาจะทำให้เธอดูเอง
"นะ หนูต้องทำอะไรบ้างคะ"
"อย่างแรกเลย ชื่อของเธอต่อจากนี้คือวีนัส"
สามวันต่อมา
มาร์ตินก็ได้รับผลวินิจฉัยจากจิตแพทย์และแพทย์เจ้าของไข้ร่วมกันตรวจวีนัสอย่างละเอียด เป็นอย่างที่เขาคิดไม่ผิด
เด็กคนนั้นมีภาวะ PTSD[1]
มือหนาถือเอกสารของเธอและข้อมูลที่เขาเตรียมการสำหรับตัวตนใหม่ของเด็กคนนั้น ก่อนจะเดินไปยังห้องรับแขก ที่มีแขกคนสำคัญมานั่งรอก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว
"เรียกกูมาทำไม"
ทันทีที่เขานั่งลง แขกคนสำคัญก็ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมาทันที
"นิสัยไม่รู้จักบุญคุณคนนี่ มันแก้ไม่ได้ใช่ไหม" ดุด่าเพื่อนอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะปรายตาไปยังผู้หญิงอีกคนในชุดนักศึกษา "เอาเมียมาทำไม"
"พริมโรสเพิ่งเลิกเรียน กูแค่แวะมาหามึงแป๊บเดียว" เซนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน "พูดธุระมึงมา"
เจ้าของเซฟเฮาส์ปรายตามองเพื่อนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ก็ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก
เด็กสาวในชุดเดรสกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนเดินเท้าเปล่าเข้ามาแอบมองผู้มาเยือนอยู่ที่ข้างประตู สีหน้ากังวลระคนหวาดระแวงทำให้มาร์ตินเข้าใจ
"วีนัสมานี่"
เสียงเรียกของเขาทำให้เธอเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ก่อนจะกอดขาและซบหน้าลงที่หน้าขาแกร่งด้วยความเคยชิน
มาเฟียหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาไม่ชอบให้ใครแตะต้องร่างกาย แต่หลายวันมานี้วีนัสไม่คุยกับใครเลย จะกินข้าวก็ต่อเมื่อเขากิน จะนอนก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในห้อง
มาร์ตินจึงกลายเป็นคนเฝ้าไข้เด็กที่เก็บมาอย่างช่วยไม่ได้ หากตื่นมาแล้วไม่เห็นเขา วีนัสก็จะร้องไห้วิ่งหาเขาทั่วเซฟเฮาส์
"ใคร?"
"วีนัส" เขาไม่ตอบทันทีว่าเธอคือใคร แต่ก้มมองคนที่นอนซบหน้าที่ขาตนเองสลับกับพริมโรสเป็นนัย
หมอบอกเขาว่าให้เลี่ยงคุยเหตุการณ์ที่ทำให้เธอป่วยต่อหน้า
"คีย์ พาพริมโรสกับวีนัสไปที่ห้องอาหาร" มาเฟียหนุ่มออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท
พริมโรสพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย ต่างจากเด็กสาวที่ซบหน้าที่ตักเข้าอยู่ เธอสะดุ้งแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
"วีนัส ไปรอที่ห้องอาหาร อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลาอาหารเย็น" ยกฝ่ามือวางที่ศีรษะเบาๆ
วีนัสเงยหน้าสบตาเขาอย่างลังเล ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่เขาบอก ยอมเดินตามคีย์และพริมโรสไปรอที่ห้องอาหาร แต่มิวายหันกลับมามองเขาอย่างอาลัยอาวรณ์
"รอยที่คอ..." เซนถามขึ้นทันทีที่ห้องเหลือเขากับมาร์ตินเพียงสองคน
"เรื่องนี้แหละที่กูอยากให้มึงช่วย" ยื่นเอกสารทั้งหมดให้เพื่อนก่อนจะเอามือกอดอก เอนหลังพิงพนักโซฟา "กูอยากให้มึงช่วยส่งเด็กคนนี้ไปอังกฤษ ในฐานะลูกสาวของวิลเลียม แอนเดอร์สัน"
เซนกวาดสายตาอ่านเอกสารใากมายในมือคร่าวๆ ก่อนจะเก็บใส่ซองแล้วยื่นให้มือขวาของตนเองไปจัดการ
"ไม่มีปัญหา พาสปอร์ตกับเอกสารยืนยันตัวตนจะส่งมาในอีกสองอาทิตย์ ระหว่างนี้มึงรีบรักษาเด็กคนนั่นให้เป็นปกติที่สุด"
เอกสารไม่ใช่ปัญหา การให้ได้สัญชาติใหม่มาก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ต้องไม่แสดงออกต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
"กูจะให้คีย์ไปส่งวีนัสที่อังกฤษภายในสิ้นเดือน ฝากมึงเร่งจัดการเอกสารด้วย"
"กูไม่เข้าใจ ว่าทำไมมึงต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก"
คำถามของเพื่อนทำให้มาร์ตินเงียบลง เขาไม่ได้บอกเพื่อนว่าเด็กคนนี้ฆ่าคนตาย อธิบายเพียงว่าเธอถูกขายและเขาพบตอนถูกทารุณกรรมเท่านั้น
"เพราะกูไม่มั่นใจ ว่าต่อให้กูจัดการลุงกับป้าของวีนัส จะยังมีคนที่รู้จักเด็กคนนี้อีกหรือเปล่า"
เซนที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่คิดจะถามเพื่อนต่อ แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่การที่มาร์ตินไม่บอกเขา นั่นแปลว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเพื่อนกับวีนัส
เชิงอรรถ
[1] PTSD (Post-traumatic stress disorder) เป็นความผิดปกติทางจิตใจหลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งความเครียดเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย