คะนึงรักรู้ตัวว่าโดนแซะ อารมณ์โกรธก็เริ่มกรุ่นๆ แต่ยังคลี่ยิ้ม “ก็นี่ขนาดยังโสด ยังซิง ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักเท่าไหร่ ยังได้ขึ้นเป็นผู้จัดการที่สาขาใหญ่ของเลิฟ เลิฟ การ์เดนเลยนะ แถมรายได้ของสาขาที่ฉันดูแล ทะลุเกินเป้าไปดาวอังคารแทบทุกเดือนเลย”
“อาศัยบุญเก่าของการเป็นสาขาใหญ่ด้วยล่ะมั้ง”
“ก็มีส่วนนะ” คะนึงรักยอมรับตามตรงเพราะผู้จัดการสาขาคนก่อนบริหารงานไว้ดีมากทำให้เธอเข้ามาต่อยอดความสำเร็จได้โดยง่าย “แต่มันก็ต้องใช้ฝีมือของฉันด้วยนั่นแหละ ไม่ใช่ใครเข้ามาก็จะทำได้เสียที่ไหน จริงสิ...ตอนนี้พิมได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขาแล้วใช่ไหม ดีใจด้วยนะ สาขาแถบปริมณฑลของเธอก็ดีพอใช้ได้อยู่แหละ พยายามอีกนิด ภายในไม่กี่ปี เธอก็คงขึ้นเป็นผู้จัดการสาขาได้ คราวนี้ละ จะได้ดูแลลูกน้องสี่ซ้าห้าคนในสาขาแบบเต็มตัวเสียที ดูแลสาขาเล็กๆ ก็มีข้อดีอย่างนี้แหละนะ ไม่เหนื่อยมาก ดูแลทุกคนได้ทั่วถึงประหนึ่งดูแลญาติสนิท และมีเวลาว่างไปหาแฟนได้”
พิมรดาหน้าตึงเมื่อรู้ตัวว่าถูกแซะกลับ แต่เพียงครู่เดียวก็ปรับสีหน้าได้
“แหม...คนอย่างฉันเรียกว่าบาลานซ์ชีวิตได้ดีต่างหาก ฉันไม่ได้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับงานโดยไม่สนชีวิตส่วนตัวเหมือนเธอนี่ ทำงานจนแห้งเหี่ยวเพราะขาดผู้ เอ๊ย ขาดคนรัก ไม่คิดบ้างหรือว่าหนึ่งในหัวข้อสัมมนาในวันพรุ่งนี้ แทบจะจัดขึ้นมาเพื่ออบรมคนไม่มีคู่อย่างเธอโดยเฉพาะเลยนะสาลี่ เพราะผู้หญิงบางคนน่ะ สวยแต่รูป จูบไม่หอม ถึงยังไม่มีใครเอาไง”
“ขอบใจนะที่ชมว่าฉันสวย” คะนึงรักแกล้งโง่
พิมรดาแกล้งค้อนไม่จริงจังนัก “ฉันหมายถึงเธอเหมาะกับหัวข้อสัมมนา ‘คนมีรักย่อมเข้าใจในรัก’ อะไรนั่นต่างหาก ผู้หญิงแห้งกรัง ไร้คู่อย่างเธอน่ะ ควรจะฟังอย่างตั้งใจ ทำความเข้าใจและจดให้ละเอียดจะได้เข้าใจความต้องการของลูกค้าไง ฟังเยอะๆ จะได้ทำงานได้ดีขึ้น”
คะนึงรักนึกถึงหัวข้อสัมมนาที่ผ่านตา รู้สึกว่าหัวข้อสัมมนาในช่วงเช้าจะเริ่มด้วย คนมีรักย่อมเข้าใจในรัก บรรยายโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาอะไรสักอย่างที่คะนึงรักไม่ทันได้สนใจ หญิงสาวเบ้ปาก
“แหม...อย่าพูดเหมือนคนโสดเป็นง่อย ทำงานไม่ได้ถ้าไม่เคยมีผัว เอ๊ย ไม่เคยมีแฟนหน่อยเลย เอาตรงๆ นะ ฉันแค่ไม่มีเวลาว่างเท่านั้น ถึงยังไม่มีแฟน ถ้าฉันอยากมี ทำไมจะมีไม่ได้” หญิงสาวคุยโอ่ ทั้งที่รู้ดีว่าการหาแฟนสักคนไม่ง่ายสักนิด
“งั้นเหรอ”
“เออสิ”
“องุ่นเปรี้ยวหรือเปล่าเธอ”
“ก็แล้วแต่จะคิด” คะนึงรักยักไหล่เก๋ๆ ทำเหมือนไม่แยแส แต่จริงๆ แล้วคำพูดของพิมรดาจี้ถูกจุด เพราะหญิงสาวรู้สึกเหมือนโดนมีดปักดังฉึกที่กลางหัวใจ
ใช่...เธอเป็นผู้หญิงประเภทองุ่นเปรี้ยวอย่างที่พิมรดาสบประมาทจริงๆ นั่นแหละ อย่าว่าแต่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เป็นรูปเป็นร่างเลย แค่จะหาผู้ชายสักคนมาเปิดประสบการณ์หวามไหวยังยาก แม้แต่จูบดูดดื่มก็ยังไม่เคยลิ้มลองเลยสักครั้ง ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการแนบชิดนัวเนียผู้ชายก็คือการเล่นมวยปล้ำกับเพื่อนสมัยอยู่ประถมสอง
หญิงสาวพยายามทำตัวให้สวยพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา เรียกว่าเพอร์เฟกต์แทบจะทุกอย่าง ส่วนด้านความสามารถนั้น เธอเข้าคอร์สอบรมต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้รอบด้านอย่างสม่ำเสมอ แต่สุดท้ายพวกผู้ชายกลับมองว่าเธอสวยและเก่งเกินไป จนไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบ ทำให้คะนึงรักยังครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้
พิมรดายิ้มเยาะ กอดแขนแฟนหนุ่มแน่นขึ้นแล้วบอก “คุยกับคนไร้คู่ยังไงซะก็คงไม่เข้าใจ ฉันไม่คุยกับเธอแล้วนะ เสียเวลาสวีต เอาเวลาไปถ่ายเซลฟี่กับพี่ตุลย์ดีกว่า บาย แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่งานสัมมนานะสาลี่”
“โพสต์รูปคู่ลงโซเชียลบ่อยๆ ระวังไปซ้ำกับคนอื่นนะ”
“อะไรซ้ำ วิวเหรอ”
“คนน่ะ” คะนึงรักลุกขึ้นยืน หยิบแว่นกันแดดขึ้นสวม หันหลังให้เพื่อยุติบทสนทนา ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ ของพิมรดาที่ด่าใครว่าบ้าสักคน แต่หญิงสาวไม่สนใจ แล้วเดินเชิดๆ เริดๆ ออกมาจากบริเวณนั้น พิมรดาทำอะไรไม่ได้ จึงลากแฟนหนุ่มออกไปที่ชายหาดอย่างหัวเสีย
คะนึงรักทิ้งเรื่องราวน่าหงุดหงิดของพิมรดากับแฟนหนุ่มไว้ด้านหลัง เธอขึ้นห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ จากนั้นก็ลงมาที่สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ตอนนี้เป็นเวลาราวสี่โมงครึ่ง แม้แดดไม่ร้อนแต่ก็ยังมีคนไม่มาก
ในระหว่างที่กำลังทาครีมกันแดดอยู่นั้น ผู้ชายคนหนึ่งก็ยันตัวขึ้นจากสระน้ำไม่ห่างจากเก้าอี้ชายหาดสีขาวตัวยาวที่หญิงสาวนั่งอยู่นัก รูปร่างของเขาสูง อกแกร่งกำยำราวกับนักกีฬา หน้าท้องขึ้นลอนสวย แถมยังผิวยังขาวสว่างเจิดจ้าจนตาเธอแทบบอด เธอลอบมองเขาด้วยความชื่นชม แต่เมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็ลอบถอนใจด้วยความเสียดาย เพราะคนที่เดินมาน่าจะเป็น ‘เด็กหนุ่ม’ มากกว่าชายหนุ่มเต็มตัวอย่างที่เธอชอบ
หล่อน่ากินจัง อายุถึงยี่สิบรึยังลูก ไม่น่าเกิดช้าเลย เธอนึกในใจ พลางมองเขาตาปรอย คนอะไรช่างเหมาะกับคำจำกัดความที่ว่า...หน้าตาดิสนีย์ บอดีมาเวลล์จริงๆ
ชายหนุ่มก้าวมายังเก้าอี้ชายหาดข้างเธอ หยิบเสื้อคลุมสีขาวที่พาดอยู่มาสวม จากนั้นก็หยิบแว่นสายตากรอบบางสีเงินมาใส่ ก่อนจะสะบัดผมที่เปียกลู่เล็กน้อยด้วยความไม่ตั้งใจ แต่ช่างเป็นอากัปกิริยาที่เป็นธรรมชาติและดูมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ เหมือนเขาจะรู้ว่าถูกแอบมอง จึงตวัดสายตามาทางเธอ
คะนึงรักดึงสายตากลับไม่ทัน จึงจำต้องสานสบนัยน์ตากับเขาอยู่อย่างนั้น เขามองเธอนิ่ง ก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างน่ารัก ทำเอาหัวใจสาววัยยี่สิบหกปีอย่างเธอเต้นโครมคราม จากนั้นเขาก็โค้งศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงขอตัว และเดินออกไปจากบริเวณสระว่ายน้ำ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจช้าๆ เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่นั้นตนเองกลั้นหายใจอยู่ อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อตอนเจอพิมรดาหายวับจนไม่เหลือ รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มละลายใจของหนุ่มน้อยแสนน่ารักนุบนิบ
ทำไมน่ารักน่ากินอย่างนี้ละลูก ทำไมหนูไม่เกิดให้เร็วกว่านี้สักห้าปีสิบปี พี่สาวจะได้เสพอาหารตาโดยไม่รู้สึกผิดแบบนี้
เธอทอดมองร่างสูงแกร่งไปจนลับตา นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่เลิกใจสั่นกับผู้ชายวัยเดียวกันมาหลายปี แต่กลับมาหวั่นไหวกับเสน่ห์ของเด็กหนุ่ม ปลาตายน้ำตื้นแท้ๆ
ประตูห้องรักษาเปิดออก พร้อมกับร่างสูงกำยำของวิณทร์วายุที่ก้าวเข้าไปนั่งสบายๆ บนเก้าอี้โซฟาเดี่ยว ส่วนที่โต๊ะทำงานซึ่งห่างออกไป มีหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกำลังจัดแฟ้มงานบนโต๊ะอยู่พินทุอรเป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นเดียวกับเขา ไปเป็นอินเทิร์นหรือแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่เธอเลือกเรียนต่อเฉพาะทางเลย จึงเข้าเป็นเรสซิเดนท์ก่อน ต่างกับเขาซึ่งทำงานอยู่ระยะหนึ่งก่อนเพื่อค้นหาตัวตนให้แน่ใจแล้วค่อยต่อเฉพาะทาง ทำให้หญิงสาวกลายเป็นจิตแพทย์รุ่นพี่“ขอปรึกษาหมออิงหน่อย เรื่องด่วน”เมื่อจิตแพทย์สาวเห็นว่าเป็นใครก็ถามเสียงเนือย “นัดล่วงหน้ามาหรือเปล่าคะ ไม่รู้หรือคะว่าจิตแพทย์ที่นี่ไม่รับนัดวอล์กอินนะ”“กำลังจะทำนัดอยู่นี่ไง นัดกับหมอนี่แหละ นัดเลย คุยเลย อย่าลีลา” ชายหนุ่มหยิบหมอนอิงบนเก้าอี้มากอด เอนหลังในท่าที่สบายขึ้น“ไปหาหมอคนอื่น ฉันไม่รับ”“เดี๋ยวเลี้ยงข้าวที่แคนทีน”“ไม่ว่าง แกไปหาหมอน็อตสิ” พินทุอรหมายถึงจิตแพทย์รุ่งน้องอีกคนซึ่งจะมาตรวจที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละครั้ง“ไม่เอา อายไอ้น็อตมัน”“แล้วกับฉันไม่อายเหรอไอ้วิณทร์ ฉันเป็นหมอสาวแสนสวยนะ”“ไม่อาย แกนิสัยเหมือนผู้ชายมากกว่าไอ้น็อตอีก
“คุณเปิดไฟทำไม”“ผมปลอมตัวเป็นหิ่งห้อย เปล่งแสงหาคู่ไง”คะนึงรักหลุดขำออกมานิดหนึ่ง แสงนวลจากดวงไฟดวงเล็กส่งให้ใบหน้าสวยหวานดูผุดผ่องเรืองรอง รอยยิ้มน้อยๆ จากริมฝีปากอิ่มทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบการที่เขาใจเต้นเมื่อตอนบ่ายวันก่อนที่ได้จูบคะนึงรักนั้น วิณทร์วายุไม่แปลกใจหรือเอะใจเลยสักนิด เขาคิดว่ามันคือความตื่นเต้น เพราะใจคิดไปถึงเรื่องหวานๆ หื่นๆ ครั้งก่อนและกำลังดีใจที่มันกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งก็เหมือนตอนที่เขากำลังจะลากผู้หญิงฮ็อตๆ สักคนขึ้นเตียงนั่นแหละ ทั้งหวั่นไหวและคาดหวังถึงเซ็กซ์ที่เผ็ดร้อน หัวใจเขาจึงเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่แต่การที่เขากำลังใจเต้นอยู่ตอนนี้นี่สิ...แปลก เพราะเขายังไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดหญิงสาวแม้แต่น้อย“ผู้ชายอย่างคุณหมอวิณทร์ ไม่ต้องเปล่งแสงหรอก แค่มองแล้วยิ้ม ก็เรียกผู้หญิงเข้าไปหาได้นับสิบๆ คนแล้วมั้ง แทบจะไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ”“คุณก็พูดเกินไป”“ลี่พูดในสิ่งที่คุณเองรู้อยู่แล้วนั่นแหละ”คะนึงรักกดปิดไฟฉาย จากนั้นยื่นผ้าห่มผืนบางขนาดย่อมมาให้ “อากาศไม่หนาว แต่ก็มีลม มีน้ำค้าง แม่ลี่บอกว่าคนกรุงเทพฯ อย่างคุณน่าจะกระหม่อมบาง เดี๋ยวจะไม่สบาย”“คุณห่มเถอะ
เพชรพร้อมมองชายหนุ่มหน้าขาวใสประหนึ่งโบกบีบีครีมครึ่งหลอดบนใบหน้า กำลังมองตามร่างบางของคะนึงรักไป ริมฝีปากอมชมพูคลี่ยิ้มน้อยๆ ดวงตาเรียวรีทอประกายเจิดจ้า“คุณมีอะไรในใจกับน้องผมหรือเปล่า”“มีอะไรนะครับ...”“มีอะไรในใจ” เพชรพร้อมย้ำ“ผม...” อีกฝ่ายกะพริบตาช้าๆ สามสี่ที ดูดน้ำมะพร้าวอีกอึกใหญ่ ก่อนจะบอกตรง “ไม่แน่ใจ ไม่รู้สิครับ”“ถ้าไม่รู้ ยังไม่แน่ใจ ก็อย่ามองแบบนั้น”“เรื่องความรู้สึกมันห้ามกันได้ด้วยเหรอครับ ตอนนี้ผมไม่รู้ ไม่แน่ใจ ผมก็ตอบตามตรงเท่านั้นเอง”“ผมมีน้องสาวคนเดียว ทั้งรักทั้งหวง ถ้าคุณมาหลอกน้องสาวผม รับรองว่าผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่ ผมจะอัดคุณให้จมดินเลย” หนุ่มร่างยักษ์พูดพลางหยิบท่อนไม้ขนาดเกือบเท่าแขนเด็กมาหักเล่นชายหนุ่มหน้าขาวยิ้มอ่อนโยน ส่งให้ใบหน้านั้นยิ่งดูอ่อนเยาว์ “คุณจะต่อยผมก็ได้ แต่ก่อนจะมีวันนั้น ผมต้องบอกคุณเสียก่อนว่าตอนเด็กๆ ผมเคยได้เหรียญเงินเทควันโดในกีฬาเยาวชนแห่งชาติมาก่อน ส่วนปัจจุบันนี้ ผมฝึกยูโดจนได้สายดำ และกีฬาที่โปรดปรานอีกอย่างก็คือมวยไทย”“ฝึกไปทำไมเยอะแยะ” เพชรพร้อมขมวดคิ้ว“เพราะผมหน้าอ่อนไงคุณ แถมยังผิวขาว ดูยังไงก็ไม่พ้นไอ้ไก่อ่อน แต่ผมดันหล
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ็ดโมงเช้าไม่ขาดไม่เกิน วิณทร์วายุก็ลงมาที่โต๊ะอาหารซึ่งครอบครัวสาลี่โฮมสเตย์อยู่พร้อมหน้า อาหารเช้าในวันนี้เป็นโจ๊กหมูใส่ตับ ฝีมือของคุณนายรำพึง ส่วนปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้นั้น พฤกษ์ซื้อมาจากตลาดเช้าของหมู่บ้านหลังจากกินอาหารเช้าและพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว คะนึงรักก็นำจิตแพทย์หนุ่มไปยังท่าน้ำเพื่อเดินทางไปสวนมะพร้าว“ลี่จะพายเรือไปเองเหรอ”“พี่เพชรจะมารับเราตอนเก้าโมง” หญิงสาวตอบ“พี่เพชร?”“ลูกพี่ลูกน้องของลี่เอง พี่เพชรเป็นลูกชายลุง พี่ชายแท้ๆ ของแม่ค่ะ นั่นไง พี่เพชรมารอแล้ว” ประโยคสุดท้ายเธอพูดพร้อมชี้ไปทางท่าน้ำซึ่งมีเรือลำเล็กลอยลำรออยู่ภายในเรือลำน้อยมีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่น ผิวสีแทนค่อนไปทางคล้ำ ผมยาวระต้นคอ แถมยังไม่ค่อยชอบโกนหนวดโกนเครา ทำให้ชายหนุ่มยิ่งดูเหมือนพวกโจรป่าที่ชอบมาดักปล้นพรหมจรรย์นางเอก“สวัสดีพี่เพชรย้อม” คะนึงรักทักทายด้วยชื่อแปร่งหูที่มีแต่เธอเท่านั้นเป็นคนเรียก แม้กล้ามแขนที่โผล่พ้นเสื้อยืดย้วยๆ สีเทาของเพชรพร้อมน่าจะหักคอเธอได้ด้วยมือเปล่า แต่หญิงสาวไม่เคยนึกกลัวเพชรพร้อมลุกขึ้นยืนเท้าเอว เอียงคอมองเหมือนพร้อมมีเรื่อง“มาถึง
เสียงเคาะประตูหน้าห้องของคะนึงรักดังขึ้นราวสามทุ่ม หญิงสาวสวมชุดนอนตัวเก่งเดินมาเปิดประตู แล้วก็เห็นพ่อกับแม่แต่งตัวเต็มยศเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก คืนนี้คุณนายรำพึงยิ่งสวยกว่าปกติ เพราะนางม้วนผมเป็นลอนสวย แถมยังตีโป่งตั้งกระบังแบบมองเห็นได้จากหน้าเวทีลิเกเลยทีเดียว“แม่กับพ่อจะออกไปดูลิเก ตอนแรกเห็นว่ามีแขกวีไอพีมาพัก เลยตัดใจแล้ว โชคดีที่ลี่กลับมาพอดี ช่างเป็นอภิชาตบุตรของแม่เหลือเกิน”คะนึงรักมองบิดา “พระเอกคนนี้ที่แม่ตามคล้องพวงมาลัยใช่ไหมพ่อ”“ใช่ พ่อเลยต้องตามไปด้วย กลัวกลับดึกแล้วจะอันตราย” คนเป็นพ่อตอบ“ไม่ใช่ตามไปคุมเหรอ ขี้หึง” คุณนายรำพึงหลิ่วตาพฤกษ์นิ่วหน้า “ใครหึง ไม่มี้”หญิงสาวอมยิ้ม เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พ่อเธอก็ยังรักยังหลงแม่เธอไม่เคยเปลี่ยน “ไปเถอะค่ะ เที่ยวให้สนุกนะ ไม่ต้องกังวล ลี่ดูแลแขกให้เอง แต่คิดว่าคุณวิณทร์เขาคงนอนแล้วแหละ”“ส่วนพรุ่งนี้เช้า ตามโปรแกรมของสาลี่โฮมสเตย์ หลังกินข้าวเช้าแล้ว แขกจะได้นั่งเรือเที่ยวสวนมะพร้าวตอนเก้าโมง แวะกินข้าวเที่ยงที่ตลาด แล้วกลับมาพักผ่อนตามอัธยาศัยที่บ้านตอนบ่าย” มารดาสาธยาย“บ้านเรามีสวนมะพร้าวที่ไหนกัน เห็นมีแต่พวกผลไม
“กลับมาแล้วเหรอลี่” เสียงของคุณนายรำพึงดังมาก่อนตัวคะนึงรักลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าว วิ่งเข้าไปสวมกอดมารดาโดยมีบิดาตามเข้ามาห่างๆ เมื่อกอดมารดาเสร็จก็โผไปกอดบิดาต่อสายตาของคุณนายรำพึงมองเลยไปเห็นคนตัวสูงนั่งหน้าแป้นอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ตกใจ “ตายจริง มัวแต่ดีใจ ลืมไปเลยว่าวันนี้บ้านเรามีแขกวีไอพี”“เขาลงมาจากห้องแล้วเหรอ” พฤกษ์ถามแล้วหันไปมองตาม“ลงมาตั้งนานแล้วแม่ เปี๊ยกไม่ได้บอกเหรอ”“ไม่ได้บอกน่ะสิ บอกแค่ลี่ให้มาตาม ไอ้เด็กคนนี้ ใช้ไม่ได้เลย” บิดาบ่นคุณนายรำพึงกุลีกุจอเข้าไปหาแขกคนสำคัญ “ขอโทษทีนะพ่อคุณ เบื่อแย่เลย”“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมนั่งคุยเล่นกับคุณลี่เพลินๆ ชวนกันทำโน่นทำนี่ ไม่เบื่อครับ”เห็นสายตาที่มีคำถามของมารดาแล้ว คะนึงรักจึงรีบอธิบาย “โลกกลมมากแม่ คุณวิณทร์เป็นเพื่อนสนิทของบอสลี่เอง เราสองคนรู้จักกันมาก่อน”“สนิทกันด้วยครับ” วิณทร์วายุเสริม“จริงเหรอ” คุณนายรำพึงถาม“จริงครับแม่”คะนึงรักส่งสายตาดุๆ ไปให้ ‘ลูก’ ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น อยากจะถามเขาเหลือเกินว่าเธอไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ใจไม่กล้าพอเพราะกลัวคำตอบของจิตแพทย์หนุ่ม ก็ถ้าเกิดเขาโพล่งออกไปว่าเธอกับเขาสนิทกัน