“ไม่มีนี่ พี่ไม่ได้นัดใครไว้นะ”
“หนู... หนูก็ไม่รู้ค่ะ เธอบอกว่า... ถ้าคุณจิ๋วเห็นเธอ คุณจิ๋วก็จะรู้เองค่ะ”
“อย่างนั้นเลยเหรอ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างนึกสนุก อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำตัวมีอิทธิพลเหนือเขา และจากประสบการณ์โชกโชน เขามั่นใจว่าผู้หญิงที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ ถ้าไม่สวยหยาดฟ้ามาดิน ก็คงจะเนื้อนมไข่จนเขาปวดหนึบไปทั้งร่าง แต่เธอคนนี้... เป็นแบบไหนล่ะ
“คนไหน...”
จิณณ์เดินไปจนสุดผนังกระจกซึ่งจะมองเห็นพื้นที่ออฟฟิศด้านล่างได้ทั่ว ได้เห็นเธอก่อนเขาจะได้วางแผน ‘ไล่ล่า’ ได้ทัน แต่ตลอดทั่วทั้งออฟฟิศชั้นล่างที่รวมเอาจุดรับรองลูกเอาไว้ด้วยนั้น เขาไม่เห็นใครที่แปลกตา
“ไหนล่ะน้องนาย ไม่เห็นมีใครนี่”
“เอ... เมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่ที่ห้องโน้นเลยนะคะ”
“โอเค... ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลงไปเอง”
“ค่ะ...”
น้องนายหัวหด เพราะเจ้านายคนเดิมกลับมาแล้ว คำว่า ‘พี่’ หายวับ กลับกลายเป็น ‘ฉัน’ มาแทน แต่ก่อนที่จะถอยออกไป สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวจากด้านล่าง
“นั่นไงคะคุณจิ๋ว คนนั้นน่ะค่ะ”
สาวตัวเล็กหันบอกและก็ได้เห็นดวงตาคมเข้มของเจ้านายมองตรงไปที่เธอคนนั้นพอดี จึงได้แต่ยิ้มแหยและค่อยๆ เคลื่อนกายห่างออกมา เพราะเธอคงเป็นคนนอกสายตาของเจ้านายไปแล้ว
.
.
สาวร่างงามระหงในจั้มสูทลายเสือดาว ท่อนบนเป็นเสื้อแขนกุดและท่อนล่างเป็นกางเกงทรงฮาเร็ม สวมรองเท้าผ้าใบสีดำเข้ากับคอลเลคชั่นของกระเป๋าเป้ เธอก้าวเข้ามาในออฟฟิศทันทีที่ประตูอัตโนมัติเคลื่อนเปิด
ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าของส่วนสูงราว 170 เซนติเมตร ตรึงสายตาจนจิณณ์ไม่อาจจะละหนีไปทางไหนได้ โดยเฉพาะสัดส่วนจากการคาดคะเน 36-24-36 นั่นคือสวรรค์ประทานมาให้เธอ หรือวิทยาศาสตร์อัพขนาดให้ แต่จากความเชี่ยวชาญ เขาคาดว่าอัตราการกระเพิ่มขึ้นลงขณะก้าวเดินนั้น มั่นใจว่าผลไม้หวานลิ้นผลใหญ่เป็นของแท้แม้ให้มาแน่นอน
นอกเหนือจากรูปร่างทรมานใจชายแล้วนั้น ใบหน้าภายใต้แว่นกันแดดกรอบโตเหลียวซ้ายแลขวามองหาคนที่ต้องการ ก่อนจะแหงนขึ้นมองมาที่เขา
จิณณ์แทบลืมหายใจเมื่อเห็นเครื่องหน้าของเธอ ปาก คอ คิ้ว คาง และปลายจมูกโด่ง แม้จะอยู่ในระยะไกล แต่เขากลับเห็นความสวยงามที่ผสานกันลงตัว เหลือเพียงหน้าต่างแห่งหัวใจที่ถูกปิดทับด้วยม่านสีชาเท่านั้นที่เขายังไม่เห็น แต่ถึงอย่างนั้นจิณณ์กลับบอกตัวเองว่าเขาเห็นความถือดีเจืออยู่
ผู้หญิงที่สวยเสร็จเด็ดสะระตี่ขนาดนี้ ท้าทายความเข้มแข็งของเขาอย่างแรง
จิณณ์ไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของสาวสวยแต่ปลายหางตาก็ยังเห็นทีมงานหนุ่มๆ ก้าวมายืนอออยู่ด้านข้าง และหงุดหงิดมากขึ้นเมื่ออาร์ตทำเสียงราวละเมอ
“โห... นางฟ้าหรือเปล่าเนี่ย หุ่นยังกับ อืม... เด็ดสุด”
ต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนคนใจสั่นของณัฐ “พี่จิ๋วครับ น้องเขา... เอ่อ... มาหาพี่จิ๋วเหรอครับ ”
แต่เขาไม่มีเวลาจะตอบคำถามใครหรอก สิ่งที่เขาอยากรู้ก็คือ เธอเป็นใคร ชื่ออะไร มาหาเขาด้วยเรื่องเหตุอะไร แล้วทำไมเธอถึงบอกว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นใคร...
“ไม่นะ... ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ต้องไม่ใช่...”
จิณณ์ไม่กล้าพูดคำตอบที่เขาคิดออกมา สองเท้าพาก้าวเร็วออกจากห้องประชุม ไม่ฟังเสียงร้องถามของทีมงาน เพราะสิ่งที่เขาสงสัย เขาต้องได้รับคำอธิบายเดี๋ยวนี้
“พี่จิ๋วครับ พี่จิ๋ว... อ้าว... สรุปแล้วน้องเขาเป็นใครวะ”
ณัฐหันไปถามอาร์ต มองขิม ภานุ ใหญ่ ทุกคนต่างส่ายหน้า แต่แล้วอาร์ตกลับทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“เฮ้ย! หรือว่าน้องพนักงานใหม่วะ”
“ว่าจะถามอยู่เชียว พนักงานใหม่อะไรวะ ไม่เห็นพี่จิ๋วบอกเลย เจ้นารู้มั้ยคะ” ขิมพูดเสียงห้วนกับอาร์ตก่อนจะหันไปถามวีนาเสียงหวานมีคะขา
วีนาเดินมาชิดกระจก เพื่อมองหญิงสาวที่ทำให้จิณณ์ผลุนผลันลงไป เรื่องพนักงานใหม่นั้นเธอรู้แล้ว เพราะจิณณ์บอกไว้ตั้งแต่เพื่อนรุ่นพี่โทรศัพท์มาฝากฝังลูกสาวเข้าทำงาน แต่ผู้หญิงที่สวย เปรี้ยว เฉี่ยว ปนเท่เล็กๆ นั้น ไม่น่าจะใช่แน่ ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นลูกไก่ตัวน้อยๆ ของจิณณ์อีกตามเคย ซึ่งเธอก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นหน้าเจ้าหล่อนพวกนั้นทุกคน จะได้หาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน เพราะหมดความอดทนที่ต้องกลายเป็น ‘ไม้กันหมา’ ให้จิณณ์ทุกครั้งที่ต้องการสลัดลูกไก่เหล่านั้นให้พ้นตัว
“น้องเขาจะมาทำงานที่นี่เหรอครับเจ้นา”
ณัฐอีกคนที่เอ่ยถาม แต่สายตาก็แทบจะไม่ละไปจากใบหน้าและเรือนร่างงดงามนั้นสักนิด และยิ่งเห็นเจ้านายก้าวอาดๆ เข้าใกล้เธอ เขายิ่งละสายตาไปไม่ได้สักเสี้ยววินาที เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่า ‘เธอ’ เป็นหนึ่งในลูกไก่ของเจ้านายหรือเปล่า
“เจ้ไม่รู้หรอก พวกเธอทุกคนต้องไปถามเจ้านายของเธอเอาเอง แต่ถ้าเป็นพนักงานใหม่จริง เดี๋ยวจิ๋วก็คงจะพามาแนะนำให้พวกเธอรู้จักเองนั่นแหละ แต่ถ้าไม่พามา หวังว่าคงรู้กันนะว่าผู้หญิงสวยขนาดนั้น มาหาเจ้านายของพวกเธอทำไม เฮ้อ! ความวัวยังคาราคาซังอยู่ ความควายก็จะมาแทรกอีกแล้ว คราวนี้ฉันจะเอาวัวไปขายจริงๆ ด้วย”
วีนาเดินบ่นกระปอดกระแปดออกไปจากห้องประชุมทำให้คนที่เหลือได้แต่มองหน้ากัน แต่สุดท้ายสายตาก็ไปสิ้นสุดที่หนุ่มสาวด้านล่าง เมื่อจิณณ์เดินไปถึง ณ ที่สาวสวยยืนอยู่
“เฮ้ย! ณัฐ แกว่าเธอเป็นพนักงานใหม่ หรือว่าเป็นไก่ของพี่จิ๋วกันแน่วะ”
“แล้วนายจะยุ่งอะไรด้วยอาร์ต จะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับนายทั้งนั้นแหละ”
คนตอบไม่ใช่ณัฐ แต่เป็นขิม เพราะสายตาของณัฐยังคงมองไปที่จุดนั้น
“ไม่ใช่ไก่หรอก นั่นลูกเจี๊ยบต่างหาก”
แต่คำตอบนี้กลับทำให้ทุกคนหันมอง ภานุยิ้มน้อยๆ สายตามองตรงไปยังสาวสวยเบื้องล่าง ก่อนจะส่งยิ้มให้กับบรรดาเพื่อนร่วมงานที่มองมาที่เขาอย่างต้องการคำตอบด่วน!
ลิ้นร้อนตวัดลงตามรอยแยกที่มองเห็นเป็นสีชมพูสด หอมหวานและเย้ายวนใจจนจิณณ์อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแยกกลีบดอกออกจากกัน และเขาก็ได้เห็นอีกหนึ่งความงดงามที่รอคอย หยาดเยิ้ม และท่วมท้น มนตกานต์พร้อมแล้ว สิ่งสัมผัสที่หยุดลงพร้อมกับกายแกร่งลุกขึ้นนั่งแทรกกลางระหว่างขา ทำให้มนตกานต์เบิกดวงตากว้างมองดูเขา ก่อนจะหลุบมองความยิ่งใหญ่ที่เธอกลัวเหลือเกิน เมื่อสิ่งนั้นคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต ดวงตาสวยหวานจึงต้องเสมองไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูสิ่งนั้นได้อีก เพราะเจ้าของความยิ่งใหญ่กำลังทอดสายตามองเธออย่างร้องขอ “อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” ทว่าคำพูดจากเขากลับทำให้มนตกานต์ต้องหันมอง นั่นคือการร้องขอ มนตกานต์พยักหน้าน้อยๆ ทั้งกลัวทั้งอายจนทนมองหน้าเขาไม่ไหว แต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เมื่อจิณณ์ขยับท่อนขาเข้ามาใต้สะโพก มนตกานต์ก็หลับตาพริ้ม ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับความยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ทว่า... “อาจิ๋ว!” “อืม... อาจะค่อยๆ อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” อีกครั้งที่เสียงหวานบอกรักนั้นทำให้มนตกานต์ล่องลอย แม้ความอึดอัดคับแน่นจนอาจเรียกว่าเจ็บนั้นกำลั
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจะไม่ทำแบบนั้น แต่อาจะทำแบบเมื่อคืนกับเมื่อเช้า นะ...” จิณณ์ไม่รอคำตอบเพราะทันทีที่มนตกานต์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากเร่าร้อนก็ประทับจูบที่ปากสีระเรื่อทันที ความหวานปะปนความเร่าร้อนดูดดื่มชอนชิมไม่หยุด ตวัดต้อน ชอนลึก จนมนตกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนของจิณณ์จะหยอกยั่วให้มนตกานต์คล้อยตาม ลิ้นสากอุ่นชื้นสอนให้ลิ้นน้อยอ่อนไหวแตะไต่ตอบสนอง ตวัดต้อนชอนชิมความดุดันของเขาบ้าง 2 ครั้งแรกนั้นมนตกานต์กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีบ้าง และสำลักบ้าง แต่ครั้งนี้เธอทำได้ดี ลิ้นน้อยหยอกเย้าดูดดุนความสากชื้น จนมนตกานต์ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าสวยจึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ลิ้นน้อยทำหน้าที่ต่อสู้ฟาดฟันกับจิณณ์ไม่ลดละ ปากประกบ ลิ้นต่อสู้ และฝ่ามือของเจ้าบ่าวก็ทำหน้าที่ จิณณ์เอื้อมฝ่ามือไปใต้แผ่นหลัง ค่อยๆ รูดซิปชุดเดรสตัวสวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรั้งให้พ้นร่างงามอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเจ้าสาวที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ามือจึงเหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้เข้าชุด จากนั้นนิ้วเร่าร้อนก็ทำหน้าที่ปลดรังดุมได้ตัวเอง ก่อนที่จิณณ์จะครางด้วยความซ่านเสียว เพร
ส่วนภานุก็รับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเลร่วมกับวีนาที่คอยดูความเรียบร้อยโดยรวม แม้จะมีป้าแม่บ้านกับน้องฝึกงานที่ออฟฟิศมาช่วยแล้วก็ตาม บรรยากาศชื่นมื่นมีความสุข ทว่าเจ้าบ่าวก็หงุดหงิดไม่เลิก “เป็นอะไรนักหนาวะจิ๋ว แกทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวใครเขาก็เอาไปพูดว่าพี่ให้ลูกสาวมาจับแกนะโว้ย แล้วนี่หงุดหงิดเรื่องอะไร” “กี่โมงแล้วพี่” จิณณ์ตอบไม่ตรงคำถามแต่กลับถามไก่อูกลับ “แกก็มีนาฬิกา ทำไมไม่ดูเองล่ะ” “ก็ผมอยากให้พี่ดู” ไก่อูงงแต่ก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม” “พี่อ่ะ ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วน่ะสิ พี่ลืมอะไรไปหรือเปล่า” “ลืมอะไรวะ ไม่มี!” ไก่อูเสียงสูง ยิ่งทำให้จิณณ์หน้าบึ้ง ก่อนว่าที่พ่อตาจะหลุดขำ เพราะ 4 ทุ่ม 59 นาทีเป็นเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ นั่นจึงทำให้จิณณ์กระวนกระวาย “เฮ้ยจิ๋ว แกนี่เสียชื่อตัวพ่อสายดาร์กหมดเลยนะโว้ย แกตื่นเต้นเหรอที่จะได้เข้าหอ ไม่ต้องตื่นเต้นนะน้อง มันเรื่องธรรมดา นี่ม้าแกกับพี่นกก็ไปปูที่นอนรอแล้วไง” “จริงเหรอพี่” จิณณ์เกาะแขนไก่อูถามเพื่อความแน่ใจ
มนตกานต์หลบเลี่ยงเมื่อจิณณ์ทำท่าจะโถมเข้ามา ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหนุ่มสาวที่กำลังก้าวออกจากออฟฟิศตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพราะณัฐอาสาจะพาขิมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล “พี่ขิมชอบพี่ณัฐค่ะ” “ไม่ได้ชอบ แต่ขิมรักณัฐ รักมาสามปีแล้ว ณัฐมันไม่รู้หรอก มันคิดว่าไอ้ขิมเป็นทอม” “ไม่จริงมั้งคะ ลูกเจี๊ยบว่าพี่ณัฐเขารู้แล้วนะ อาจิ๋วดูสิ” ภาพที่เห็นคือณัฐกำลังใส่หมวกกันน็อคให้ขิมอย่างระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้โดนแผล และขิมก็อายกับสัมผัสใกล้ชิดจนต้องหลุบสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของณัฐแฉลบแผลของเธอไป ณัฐตกใจที่ทำขิมเจ็บ ดึงขิมเข้ามากอด ก่อนที่สาวทอมประจำออฟฟิศจะสั่นสะอื้นฮึกฮักอยู่กับอกของณัฐ “สงสัยจะเจ็บแผล” “ผิดค่ะ มีความสุขต่างหาก” “หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านเถอะ” “อื้อ... ยังไม่เลิกงานเลยค่ะ” “วันนี้วันทำงานที่ไหนเล่า” “อาจิ๋วจะแกล้งอะไรลูกเจี๊ยบอีกเนี่ย เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ” “ทีนึงอะไร ยังไม่ได้สักที” “อาจิ๋ว!” จิณณ์ยิ้มเข้ามาสวมกอดมนตกานต์ที่หน้าแดงจากคำพูดของเขา พลางชี้ชวนใ
มนตกานต์อมยิ้มน้อยๆ เพราะสาเหตุที่จิณณ์บอกว่าจะเข้างานสาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอเข้าใจ แต่เป็นสิ่งนี้ เธอเปิดซองกระดาษหยิบเอกสารด้านในออกมาดู เพราะตอนที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ ความตื่นเต้นและเขินอายมีมากจนไม่กล้าจะชื่นชม ดวงตาสวยหวานไล่ไปตามตัวอักษรที่กำกับอยู่บนกระดาษสีนวลมีลวดลายดอกกุหลาบอยู่รอบด้าน ‘ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายจิณณ์ จิตติกรณรงค์ กับ นางสาวมนตกานต์ ฤทธาอภินันท์ ได้จดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียน... จังหวัด... เลขทะเบียนที่... เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคม พ.ศ.2560 นายทะเบียน’ “เราแต่งงานกันแล้วนะ” รอยยิ้มแสนหวานส่งให้คนที่กระชับฝ่ามือ “ขอบคุณนะคะอาจิ๋ว ขอบคุณที่รักลูกเจี๊ยบ ขอบคุณทุกอย่างค่ะ” “อาสิต้องขอบคุณลูกเจี๊ยบ ที่สอนให้อารู้จักความรัก อาไม่สัญญานะว่าจะรักลูกเจี๊ยบมากที่สุดในโลก แต่อาสัญญาว่าจะรักลูกเจี๊ยบทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หัวค่ำ ก่อนนอน และล้างหน้าไก่” “อาจิ๋วอ่ะบ้า!” “บ้าแต่ไม่ห้ามใช่มั้ย” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์ฮึดฮัดด้วยความอายก่อนจะเร่งให้จิณณ์รีบออกรถ เพราะที่จิณณ์ว่าสิบโมง แต่น
ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้เขา อยู่ในชุดเดรสสีเทาอ่อนแขนสั้นตัวยาวกรอมเท้าดูสุภาพอยู่นะ ถ้าด้านหลังจะไม่กว้านลึกจนถึงบั้นเอว ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นกันล่ะ “อุ้ย!” มนตกานต์สะดุ้งเมื่อท่อนแขนแกร่งแทรกเข้ามากระชับบั้นเอว พร้อมริมฝีปากแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม แค่นั้นความร้อนก็วูบขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะกระจายวาบไปทั่วร่าง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง “หอมจัง... วันนี้มีอะไรกิน” คนพูดว่าหอมจัง หอมอีกหลายครั้งที่สองแก้ม สลับไปมาซ้ายขวา ดั่งความหอมนั้นไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นสองแก้มนี้ “ข้าวต้มไก่น่ะค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ข้าวเย็นเลยเหลือเยอะ ลูกเจี๊ยบเลยเอามาทำข้าวต้มมื้อเช้า” “อืม... ข้าวต้มมื้อเช้า อยากกินจังเลย เมื่อคืนกินไม่อิ่ม” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์หน้าร้อนซ่าน คำพูดสองแง่สองง่ามนั้น เขาช่างพูดได้ไม่อายปาก “เสียงดังทำไม ก็เมื่อคืนอากินข้าวไม่อิ่มจริงๆ นี่นา ได้กินข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า เพิ่มพลังงานดีออก อยากกินแล้วล่ะ จะกินให้เกลี้ยงชามเลย” จิณณ์หัวเราะในลำคอเ