“นายทำฉันอีกแล้วนะนายจิ๋ว... ฉันไปเป็นเมียนายตั้งแต่เมื่อไหร่”
น้ำเสียงเข่นเครียดของวีนาทำให้ณัฐอ้าปากค้าง อาร์ตกับขิมหันมองกันแบบเอ๋อๆ ภานุสำลักน้ำ และใหญ่ก็หันมองวีนาก่อนจะขยับตัวออกห่างจากรังสีอำมหิตนั้น มีเพียงจิณณ์คนเดียวที่ยังคงยืนยิ้มทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้
“เจ้นากับพี่จิ๋ว... เป็น...”
“เฮ้ย! ไม่ใช่ ไม่ได้เป็น” คำพูดอ้ำอึ้งของขิมทำให้จิณณ์รีบปฎิเสธแต่วีนาที่ลุกขึ้นพรวดกลับทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง
“เป็น! นายไปบอกนังนั่นได้ยังไงว่าฉันเป็นเมียนาย นาย... นาย... นายจิ๋ว! ฉันจะฟ้องอี๊”
“ไม่นะเจ้นา โธ่เจ้! เรื่องแค่นี้เอง” จิณณ์เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขเมื่อวีนางัดไม้ตายมาใช้ เรื่องนี้จะให้รู้ถึงหูแม่เขาไม่ได้เด็ดขาด
“แค่นี้ยังไง แค่นี้ฉันก็ขึ้นคานอยู่แล้ว นี่นายยังจะไปบอกนังพวกนั้นว่าฉันเป็นเมียเก็บของนาย นายทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไงนายจิ๋ว ฉันจะฟ้องอี๊ นายจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่นายทำ”
“ไม่เอาน่าเจ้นา อย่าฟ้องม้านะ”
ขณะที่สองพี่น้องเถียงข้ามโต๊ะประชุมกันไปมา เหล่าพนักงานทั้ง 5 ก็ได้แต่นั่งยิ้มแหย ไม่ได้อยากฟัง แต่ลุกไปไหนไม่ได้ แต่เมื่อวีนาบอกว่าจิณณ์ต้องรับผิดชอบ ขิมก็หูผึ่ง ถลาเข้าไปกระซิบกับอาร์ตในทันที
“รับผิดชอบอะไรวะอาร์ต พี่จิ๋วต้องแต่งงานกับเจ้นาเหรอว่ะ”
“ไม่ใช่!”
จิณณ์และวีนาที่ตะโกนออกมาพร้อมๆ กัน พร้อมจ้องมาที่ขิมอย่างเอาเรื่อง ทำให้ขิมยิ้มแหย อยากจะแทรกร่างลงไปใต้โต๊ะ เพราะคำพูดราวกระซิบ แต่สองคนก็ยังได้ยิน ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปปะทะกันต่อ
“โธ่เจ้... เดี๋ยวผมเคลียร์เอง เจ้ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ผมก็แค่บอกน้องมุกคนเดียว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอก”
“อ๋อใช่สิ! นายบอกน้องมุกคนเดียวว่าฉันเป็นเมีย แต่ที่นายบอกน้องอิ๋วสาวไฮโซว่าฉันเป็นแม่ยายจอมจุ้นชอบมาเฝ้านายที่ออฟฟิศแทนเมีย บอกน้องเก๋ว่าฉันเป็นพี่เมียที่ชอบหวงผัวน้องสาว จนยัยน้องเก๋มันโทร. มาว่าฉันว่าหวงผัวน้องไว้กินเอง ไหนจะยัยน้องกิ๊บ เชอร์รี่ กล้วย ส้ม อ้อย มะละกอ ของนายอีก ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ คราวนี้ฉันจะไม่ยอม ฉันจะฟ้อง!”
“ใจเย็นก่อนน่าเจ้ เดี๋ยวเราค่อยเคลียร์กันนะ ขอผมพาเจ้าพวกนี้ไปดูหน้างานก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกันนะเจ้ เฮ้ย! พวกนาย ลุกขึ้นสิ! พี่รีบ เร็วๆ เข้า!”
จิณณ์หันไปเร่งเร้าให้ณัฐ อาร์ต และขิม รีบลุกขึ้น หวังจะไปให้พ้นจากวีนา ขอแค่ได้ออกไปจากห้องประชุม เดี๋ยวเขาค่อยโทรศัพท์มาชักแม่น้ำทั้งประเทศให้วีนาคลายโมโหเอง และลูกน้องก็รู้งาน รีบลุกขึ้นเก็บข้าวของบนโต๊ะโดยด่วน แม้จะเกร็งๆ กับรังสีอำมหิตของวีนา แต่การไปให้พ้นจากจุดนี้น่าจะดีสุด แต่ก่อนที่ทุกคนจะออกไป เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น
จิณณ์ตวัดสายตามองนักศึกษาสาวร่างเล็กที่ยืนทำหน้าหวาดๆ อยู่ด้านนอก เพราะเขาดีไซน์ห้องประชุมให้เป็นห้องกระจกไม่เว้นแม้กระทั่งประตู เพื่อให้ทีมงานมีความคิดที่กว้างไกล บางงานที่คิดไม่ออก แต่เมื่อได้มองเห็นสิ่งภายนอก อาจได้ไอเดียใหม่ๆ มาต่อยอดได้ตลอดเวลา ดังนั้นกฎของการใช้ห้องประชุมก็คือ ‘ห้าม’ ขึ้นมารบกวนหากการประชุมยังไม่สิ้นสุด ถ้ามีเรื่องด่วนให้ส่งข้อความเข้าโทรศัพท์เพื่อได้รับอนุญาตก่อน แต่ครั้งนี้เขาคงต้องขอบคุณ
“อ้าว... น้องนาย มีอะไรเหรอครับ ถึงต้องมาตามพี่จิ๋วถึงบนนี้”
“เอ่อ...”
นักศึกษาสาวเปลี่ยนสีหน้าหวาดๆ เป็นเอ๋อน้อยๆ เมื่อเจ้าของบริษัทฯ มาเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง ทั้งที่ควรจะดุ แต่เจ้านายกลับยิ้มแย้มราวกับอารมณ์ดีหนักหนา แถมยังแทนตัวเองว่า ‘พี่’ อีกด้วย และเมื่อมองไปยังทีมดีไซน์ ทุกคนก็พยักหน้าให้เธอพูดในสิ่งที่ตั้งใจมา
“ว่าไงละครับ มีอะไร ถ้าไม่พูด พี่จิ๋วต้องไปล่ะนะ ไปพวกเรา” ประโยคหลังนั้นจิณณ์หันไปพูดกับทีมดีไซน์ พยายามจะพาตัวเองออกจากจุดนี้ให้เร็ว
“เอ่อ... มีคนมาขอพบคุณจิ๋วค่ะ แต่หนูส่งข้อความมาสักพักแล้วนะคะ แต่... แต่คุณจิ๋วยังไม่ได้อ่าน...”
น้องนายพูดตะกุกตะกัก เพราะเธออาจถูกดุได้ที่ไม่ทำตามขั้นตอนที่เจ้านายวางไว้ มาฝึกงานที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้ว แม้จะยังไม่เห็นว่าเจ้านายดุพนักงานคนไหนจริงจัง แต่กิตติศัพท์เรื่องความเฮี้ยบในงานของจิณณ์ก็สวนทางกับความหล่อ จนทำให้เธอไม่กล้าแหยมแม้จะสำรวจความหล่อของเจ้านายตรงๆ สักครั้ง
“อืม... ไม่เป็นไร แล้วเขาชื่ออะไรล่ะ”
“เธอไม่ได้บอกชื่อค่ะ แต่บอกว่านัดไว้แล้ว”
ถ้าในเวลาปกติ เขาคงต้องส่งน้องนักศึกษาฝึกงานคนนี้ไปให้วีนาอบรม ฐานที่ไม่รอบคอบในการทำงาน เพราะสิ่งที่ควรทำคือถามชื่อและรายละเอียดของคนที่มาติดต่อให้ครบถ้วน ไม่ต่างจากนิทาน ‘หมาใต้ถุนศาลา’ คนที่ละเอียดรอบคอบเท่านั้นจึงจะเก็บรายละเอียดของลูกหมาที่คลอดใหม่ได้ครบ และน้องนักศึกษาคนนี้ก็ควรจะได้รับการชี้แนะพื้นฐานการทำงานที่ถูกต้อง เพื่อตัวของน้องเองในอนาคต แต่ในเวลานี้คงต้องจัดการเรื่องเฉพาะหน้าไปก่อน
“ผู้หญิงเหรอ แล้วใครนัดเอาไว้...”
จิณณ์หันไปมองทีมดีไซน์ ภานุ และใหญ่ ทุกคนส่ายหน้าว่าไม่ได้นัด จิณณ์จึงค่อยๆ มองไปยังวีนาที่ยังคงหน้ามุ่ย แต่ก็เชิดหน้าไปอีกทาง นั่นก็แปลว่าไม่มีใครในที่นี้นัดเอาไว้
ลิ้นร้อนตวัดลงตามรอยแยกที่มองเห็นเป็นสีชมพูสด หอมหวานและเย้ายวนใจจนจิณณ์อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแยกกลีบดอกออกจากกัน และเขาก็ได้เห็นอีกหนึ่งความงดงามที่รอคอย หยาดเยิ้ม และท่วมท้น มนตกานต์พร้อมแล้ว สิ่งสัมผัสที่หยุดลงพร้อมกับกายแกร่งลุกขึ้นนั่งแทรกกลางระหว่างขา ทำให้มนตกานต์เบิกดวงตากว้างมองดูเขา ก่อนจะหลุบมองความยิ่งใหญ่ที่เธอกลัวเหลือเกิน เมื่อสิ่งนั้นคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต ดวงตาสวยหวานจึงต้องเสมองไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูสิ่งนั้นได้อีก เพราะเจ้าของความยิ่งใหญ่กำลังทอดสายตามองเธออย่างร้องขอ “อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” ทว่าคำพูดจากเขากลับทำให้มนตกานต์ต้องหันมอง นั่นคือการร้องขอ มนตกานต์พยักหน้าน้อยๆ ทั้งกลัวทั้งอายจนทนมองหน้าเขาไม่ไหว แต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เมื่อจิณณ์ขยับท่อนขาเข้ามาใต้สะโพก มนตกานต์ก็หลับตาพริ้ม ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับความยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ทว่า... “อาจิ๋ว!” “อืม... อาจะค่อยๆ อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” อีกครั้งที่เสียงหวานบอกรักนั้นทำให้มนตกานต์ล่องลอย แม้ความอึดอัดคับแน่นจนอาจเรียกว่าเจ็บนั้นกำลั
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจะไม่ทำแบบนั้น แต่อาจะทำแบบเมื่อคืนกับเมื่อเช้า นะ...” จิณณ์ไม่รอคำตอบเพราะทันทีที่มนตกานต์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากเร่าร้อนก็ประทับจูบที่ปากสีระเรื่อทันที ความหวานปะปนความเร่าร้อนดูดดื่มชอนชิมไม่หยุด ตวัดต้อน ชอนลึก จนมนตกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนของจิณณ์จะหยอกยั่วให้มนตกานต์คล้อยตาม ลิ้นสากอุ่นชื้นสอนให้ลิ้นน้อยอ่อนไหวแตะไต่ตอบสนอง ตวัดต้อนชอนชิมความดุดันของเขาบ้าง 2 ครั้งแรกนั้นมนตกานต์กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีบ้าง และสำลักบ้าง แต่ครั้งนี้เธอทำได้ดี ลิ้นน้อยหยอกเย้าดูดดุนความสากชื้น จนมนตกานต์ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าสวยจึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ลิ้นน้อยทำหน้าที่ต่อสู้ฟาดฟันกับจิณณ์ไม่ลดละ ปากประกบ ลิ้นต่อสู้ และฝ่ามือของเจ้าบ่าวก็ทำหน้าที่ จิณณ์เอื้อมฝ่ามือไปใต้แผ่นหลัง ค่อยๆ รูดซิปชุดเดรสตัวสวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรั้งให้พ้นร่างงามอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเจ้าสาวที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ามือจึงเหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้เข้าชุด จากนั้นนิ้วเร่าร้อนก็ทำหน้าที่ปลดรังดุมได้ตัวเอง ก่อนที่จิณณ์จะครางด้วยความซ่านเสียว เพร
ส่วนภานุก็รับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเลร่วมกับวีนาที่คอยดูความเรียบร้อยโดยรวม แม้จะมีป้าแม่บ้านกับน้องฝึกงานที่ออฟฟิศมาช่วยแล้วก็ตาม บรรยากาศชื่นมื่นมีความสุข ทว่าเจ้าบ่าวก็หงุดหงิดไม่เลิก “เป็นอะไรนักหนาวะจิ๋ว แกทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวใครเขาก็เอาไปพูดว่าพี่ให้ลูกสาวมาจับแกนะโว้ย แล้วนี่หงุดหงิดเรื่องอะไร” “กี่โมงแล้วพี่” จิณณ์ตอบไม่ตรงคำถามแต่กลับถามไก่อูกลับ “แกก็มีนาฬิกา ทำไมไม่ดูเองล่ะ” “ก็ผมอยากให้พี่ดู” ไก่อูงงแต่ก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม” “พี่อ่ะ ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วน่ะสิ พี่ลืมอะไรไปหรือเปล่า” “ลืมอะไรวะ ไม่มี!” ไก่อูเสียงสูง ยิ่งทำให้จิณณ์หน้าบึ้ง ก่อนว่าที่พ่อตาจะหลุดขำ เพราะ 4 ทุ่ม 59 นาทีเป็นเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ นั่นจึงทำให้จิณณ์กระวนกระวาย “เฮ้ยจิ๋ว แกนี่เสียชื่อตัวพ่อสายดาร์กหมดเลยนะโว้ย แกตื่นเต้นเหรอที่จะได้เข้าหอ ไม่ต้องตื่นเต้นนะน้อง มันเรื่องธรรมดา นี่ม้าแกกับพี่นกก็ไปปูที่นอนรอแล้วไง” “จริงเหรอพี่” จิณณ์เกาะแขนไก่อูถามเพื่อความแน่ใจ
มนตกานต์หลบเลี่ยงเมื่อจิณณ์ทำท่าจะโถมเข้ามา ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหนุ่มสาวที่กำลังก้าวออกจากออฟฟิศตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพราะณัฐอาสาจะพาขิมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล “พี่ขิมชอบพี่ณัฐค่ะ” “ไม่ได้ชอบ แต่ขิมรักณัฐ รักมาสามปีแล้ว ณัฐมันไม่รู้หรอก มันคิดว่าไอ้ขิมเป็นทอม” “ไม่จริงมั้งคะ ลูกเจี๊ยบว่าพี่ณัฐเขารู้แล้วนะ อาจิ๋วดูสิ” ภาพที่เห็นคือณัฐกำลังใส่หมวกกันน็อคให้ขิมอย่างระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้โดนแผล และขิมก็อายกับสัมผัสใกล้ชิดจนต้องหลุบสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของณัฐแฉลบแผลของเธอไป ณัฐตกใจที่ทำขิมเจ็บ ดึงขิมเข้ามากอด ก่อนที่สาวทอมประจำออฟฟิศจะสั่นสะอื้นฮึกฮักอยู่กับอกของณัฐ “สงสัยจะเจ็บแผล” “ผิดค่ะ มีความสุขต่างหาก” “หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านเถอะ” “อื้อ... ยังไม่เลิกงานเลยค่ะ” “วันนี้วันทำงานที่ไหนเล่า” “อาจิ๋วจะแกล้งอะไรลูกเจี๊ยบอีกเนี่ย เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ” “ทีนึงอะไร ยังไม่ได้สักที” “อาจิ๋ว!” จิณณ์ยิ้มเข้ามาสวมกอดมนตกานต์ที่หน้าแดงจากคำพูดของเขา พลางชี้ชวนใ
มนตกานต์อมยิ้มน้อยๆ เพราะสาเหตุที่จิณณ์บอกว่าจะเข้างานสาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอเข้าใจ แต่เป็นสิ่งนี้ เธอเปิดซองกระดาษหยิบเอกสารด้านในออกมาดู เพราะตอนที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ ความตื่นเต้นและเขินอายมีมากจนไม่กล้าจะชื่นชม ดวงตาสวยหวานไล่ไปตามตัวอักษรที่กำกับอยู่บนกระดาษสีนวลมีลวดลายดอกกุหลาบอยู่รอบด้าน ‘ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายจิณณ์ จิตติกรณรงค์ กับ นางสาวมนตกานต์ ฤทธาอภินันท์ ได้จดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียน... จังหวัด... เลขทะเบียนที่... เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคม พ.ศ.2560 นายทะเบียน’ “เราแต่งงานกันแล้วนะ” รอยยิ้มแสนหวานส่งให้คนที่กระชับฝ่ามือ “ขอบคุณนะคะอาจิ๋ว ขอบคุณที่รักลูกเจี๊ยบ ขอบคุณทุกอย่างค่ะ” “อาสิต้องขอบคุณลูกเจี๊ยบ ที่สอนให้อารู้จักความรัก อาไม่สัญญานะว่าจะรักลูกเจี๊ยบมากที่สุดในโลก แต่อาสัญญาว่าจะรักลูกเจี๊ยบทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หัวค่ำ ก่อนนอน และล้างหน้าไก่” “อาจิ๋วอ่ะบ้า!” “บ้าแต่ไม่ห้ามใช่มั้ย” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์ฮึดฮัดด้วยความอายก่อนจะเร่งให้จิณณ์รีบออกรถ เพราะที่จิณณ์ว่าสิบโมง แต่น
ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้เขา อยู่ในชุดเดรสสีเทาอ่อนแขนสั้นตัวยาวกรอมเท้าดูสุภาพอยู่นะ ถ้าด้านหลังจะไม่กว้านลึกจนถึงบั้นเอว ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นกันล่ะ “อุ้ย!” มนตกานต์สะดุ้งเมื่อท่อนแขนแกร่งแทรกเข้ามากระชับบั้นเอว พร้อมริมฝีปากแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม แค่นั้นความร้อนก็วูบขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะกระจายวาบไปทั่วร่าง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง “หอมจัง... วันนี้มีอะไรกิน” คนพูดว่าหอมจัง หอมอีกหลายครั้งที่สองแก้ม สลับไปมาซ้ายขวา ดั่งความหอมนั้นไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นสองแก้มนี้ “ข้าวต้มไก่น่ะค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ข้าวเย็นเลยเหลือเยอะ ลูกเจี๊ยบเลยเอามาทำข้าวต้มมื้อเช้า” “อืม... ข้าวต้มมื้อเช้า อยากกินจังเลย เมื่อคืนกินไม่อิ่ม” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์หน้าร้อนซ่าน คำพูดสองแง่สองง่ามนั้น เขาช่างพูดได้ไม่อายปาก “เสียงดังทำไม ก็เมื่อคืนอากินข้าวไม่อิ่มจริงๆ นี่นา ได้กินข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า เพิ่มพลังงานดีออก อยากกินแล้วล่ะ จะกินให้เกลี้ยงชามเลย” จิณณ์หัวเราะในลำคอเ