หลังจากมื้ออาหาร ศจีและรุจน์ก็ให้ข้าวหอมขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบน ส่วนทั้งคู่ก็ออกไปทำงานตามปกติ
ขณะที่ข้าวหอมกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ความทรงจำของร่างที่เธอสถิตอยู่ก็ค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เธอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาและชื่อเหมือนเธอทุกประการ สิ่งที่แตกต่างคือร่างนี้มีอายุ 17 ย่าง 18 ปี อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกล และอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2520 สำหรับครอบครัวในชาตินี้ของเธอ สมาชิกมีเพียงพ่อและแม่ ซึ่งมีใบหน้าเหมือนพ่อแม่ที่ร่ำรวยของเธอในชาติก่อนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่พ่อกับแม่ของเธอในภพนี้ กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการย้อนเวลากลับมาเหมือนเธอเลย ทั้งสองคนมีอาชีพหลักคือ ทำนา และรับจ้างทั่วไป ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัดขัดสนนิดหน่อย “ทำไมถึงซวยแบบนี้เนี่ย ใครกันที่ส่งฉันมาในยุคนี้!” ข้าวหอมรำพึงกับตัวเองเบา ๆ สลับกับการก่นด่าโชคชะตา “ต่อให้เป็นเทวดา ฉันก็ไม่มีวันให้อภัย!” ขณะที่ข้าวหอมกำลังก่นด่าชะตาตัวเอง พลางนึกย้อนไปถึงความสบายในอดีตที่หายวับไปกับตา ณ อีกมิติหนึ่ง “สายเมฆ” เทวดาหนุ่มผู้ที่ให้พรกับศจีก็กำลังยืนมองผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองด้วยสีหน้าภูมิใจจนแทบจะกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ เขารีบหันไปหา “พายุ” ผู้คุมกฎสวรรค์ที่ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกลนัก “ในที่สุดข้าก็ให้พรมนุษย์ครบ 2000 ข้อ ทีนี้ท่านก็ให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตที่สะดวกสบายบนสวรรค์ต่อได้แล้วนะ” สายเมฆเอ่ยอย่างร่าเริง ดวงตาเป็นประกายวับวาว พายุถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองสายเมฆด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอือมระอา “เดี๋ยวนะ ท่านเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า คำว่า ‘พรสำเร็จ’ ที่ท่านพูดถึงเนี่ย มันคืออะไรกันแน่?” พายุส่ายหน้าช้า ๆ ตอนเขารับงานนี้ เพื่อนเขาก็เคยเตือนว่าพายุไม่เหมือนคนอื่น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหนักขนาดนี้ เจ้านี่น้ำเข้าสมองรึไงกันทำไมคิดอะไรเพี้ยนไปหมด สายเมฆเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พลางชี้มือไปทางข้าวหอม “ก็นี่ไง แม่ของเด็กนี่ขอให้ลูกสาวคุณหนูของนางรู้จักทำการงาน รู้คุณค่าของเงิน ข้าก็เลยส่งเด็กนี่มาให้พบเจอกับความลำบากขนาดนี้ ยังไงเสียจากคุณหนูเอาแต่ใจ นางก็ต้องกลับตัวกลับใจเป็นคนขยันขันแข็งและเห็นคุณค่าของเงินขึ้นมาบ้างแหละ อย่างน้อยก็ต้องมีซักนิดนึงแหละ!” พายุทำหน้าบึ้งตึงกว่าเดิม คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้ เขารู้สึกว่าความอดทนที่มีต่อเทวดาจอมซื่อบื้อผู้นี้ชักจะถึงขีดจำกัดแล้ว “ท่านจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่หนูนั่นจะขยันขึ้นมา? บางทีนางอาจจะขี้เกียจหนักกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าก็ได้นะ ท่านไม่เห็นหรือไงว่าพ่อแม่นางประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในหินขนาดไหน? แล้วอีกอย่างนะ...” พายุเว้นจังหวะพลางสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ “ท่านเล่นให้นางย้อนเวลากลับมาลำบากคนเดียวยังไม่พอ ยังจะพ่วงพ่อกับแม่นางให้ต้องมาลำบากด้วยอีกเนี่ยนะ? จริง ๆ แล้วท่านทำผิดกฎสวรรค์เต็ม ๆ เลยรู้ตัวบ้างไหม?” สายเมฆยืนนิ่ง สีหน้าเริ่มเจื่อนลงเรื่อย ๆ เขาพยายามประมวลผลคำพูดของพายุช้า ๆ ในหัว “เอ่อ...จริงด้วยแฮะ...” “แล้วข้าต้องทำยังไงดี” สายเมฆเริ่มร้อนรน ข้าไม่อยากติดอยู่ในรูปนั้นอีกแล้ว ท่านต้องหาทางให้ข้านะ ถ้าข้าติดอยู่ในรูป ท่านก็ต้องคอยมาตรวจสอบข้า ท่านก็จะไม่อิสระเหมือนกัน” จริงด้วยแฮะ พายุชะงักไปครู่หนึ่ง เขายอมรับว่าอย่างน้อยสายเมฆก็พูดถูกเรื่องหนึ่ง...ถ้าไอ้เจ้าเทวดาจอมซื่อบื้อนี่กลับไปติดอยู่ในรูปนี้ เขาก็จะต้องเสียเวลาอันมีค่ามาคอยตรวจสอบมันอยู่ร่ำไป และบอกตามตรงว่าเขาก็เบื่อที่จะต้องทำหน้าที่นี้เต็มทีแล้วเหมือนกัน พายุเดินไปเดินมาพลางใช้ความคิดอย่างหนัก เขานึกถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ของสวรรค์ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าแผนที่เขาวงกต ก่อนจะหยุดเดินและเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ความจริงก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง เพียงแต่….” “เพียงแต่อะไร ท่านรีบ ๆ พูดมาเถอะข้าร้อนใจจะแย่แล้ว” สายเมฆแทบจะกระโจนเข้าใส่พายุด้วยความกระวนกระวาย “ถ้าท่านอยากเป็นอิสระ ท่านจะต้อง ทิ้งอำนาจวิเศษทั้งหมดที่ท่านมี และลงไปช่วยให้พ่อกับแม่ของแม่หนูข้าวหอมนั่นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเหมือนเดิม ก่อนที่พวกเขาจะถูกย้อนเวลากลับมาลำบากด้วยฝีมืออันโง่งม ของท่านนั่นแหละ” พายุอธิบายอย่างใจเย็น พลางพยักเพยิดไปทางโลกมนุษย์ “แต่ท่านไม่ต้องกังวลหรอกนะ...ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ไปข้าจะไม่ต้องรับผิดชอบท่านโดยตรงแล้ว แต่ถ้าท่านต้องการความช่วยเหลือจริงๆ และเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ข้าก็จะช่วยเหลือท่านเอง” สายเมฆยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาจ้องมองไปยังโลกมนุษย์ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะน่าสนใจขึ้นมานิดหน่อย ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะเขาเบื่อเหลือเกินกับการต้องรอคอยให้มนุษย์มาขอพรจากรูป ออกไปลองใช้ชีวิตแบบมนุษย์ดูบ้างก็อาจจะไม่เลวร้ายนักนี่นา...สุดท้ายแล้ว สายเมฆก็พยักหน้าตอบตกลงเมื่อศจีกับรุจน์รับประทานอาหารเช้าที่สายเมฆจัดเตรียมให้อย่างเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าบ้านมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงล้อมข้าวหอมและสายเมฆอยู่“คุณคะ ทำไมคนมารุมข้าวหอมกับสายเมฆแบบนั้นล่ะ ลูกเราไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย” ศจีถามรุจน์ด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวลรุจน์เพ่งมองไปยังกลุ่มคนก่อนจะหันมาตอบศจี “ไม่น่าใช่นะแม่ ดูเหมือนทุกคนกำลังคุยกับยัยหนูและสายเมฆดี ๆ ไม่มีทีท่าจะทะเลาะอะไรกันเลย แต่ก็แปลกที่ทำไมชาวบ้านถึงมาคุยกับยัยหนูกันเยอะแยะขนาดนั้น”ไม่รอให้รุจน์คิดหาสาเหตุ ศจีก็คว้าแขนรุจน์ลงบันไดไปตรงรี่เข้าไปหาข้าวหอมและสายเมฆทันทีป้าแจ่มซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่เห็นสองสามีภรรยาเดินมาก็เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม“แกสองคนนี่เลี้ยงยัยข้าวหอมไม่เสียทีจริง ๆ นะ วันนี้เริ่มช่วยหาเงินหาทองได้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะเลี้ยงให้เป็นเด็กไม่เอาไหนเสียอีก ที่ไหนได้ นางก็มีความรู้ความสามารถทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกันนะเนี่ย” ป้าแจ่มกล่าวชื่นชมปนแปลกใจศจีและรุจน์มองหน้ากันด้วยความงุนงง ‘อะไรคือข้าวหอมหาเงิน? หรือลูกเราแอบเอาอะไรในบ้านมาขายอีกแล้วเนี่ย’ ค
เช้าวันถัดมา ข้าวหอมซึ่งนัดแนะกับสายเมฆว่าวันนี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยกันทำกับข้าวให้พ่อแม่กินก่อนออกไปทำนา หลังจากนั้นทั้งสองจะทำการตากเนื้อแห้ง พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเตรียมของก่อนออกไปทำงาน“นี่พี่สายเมฆ... พี่ว่าวิธีของพี่มันจะได้ผลจริง ๆ เหรอคะ” ข้าวหอมถามย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความลังเลในแผนการของสายเมฆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลงมือทำกิจการของตัวเองจริงๆ มันเลยรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเป็นพิเศษสายเมฆรู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยที่ข้าวหอมเรียกเขาว่าพี่แล้ว“ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ไปลองกันเลย” สายเมฆที่ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี ยื่นมือมาจับข้อมือของข้าวหอมเบา ๆ แล้วดึงให้ลงไปข้างล่างตรงโต๊ะกลางบ้าน มีที่ตากเนื้อแห้งหลายขนาดวางเรียงรายอยู่ ข้าวหอมและสายเมฆช่วยกันยกโต๊ะออกมาตั้งไว้ตรงแถวรั้วบ้าน เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งคู่ช่วยกันนำเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำมาวางบนชั้นของที่ตากเนื้อแห้ง จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบทีละชั้นช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านในหมู่บ้านกำลังจะเดินทางออกไปทำนาพอดี ป้าแจ่ม เจ้าข
ตกเย็น หลังจากศจีและรุจน์กลับมาจากนาของป้าแจ่ม ข้าวหอมก็รีบวิ่งไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่สดใส เธอแทบจะตรงเข้าไปกอดทั้งสองไว้ด้วยความคิดถึงระคนดีใจที่ได้เห็นพ่อกับแม่ในภพนี้ยังคงอยู่เคียงข้างเธอ“พ่อขา แม่ขา ข้าวหอมมีอะไรจะอวดค่ะ!” ข้าวหอมพูดพลางยกที่ตากเนื้อแห้งขึ้นมาอย่างภูมิใจให้พ่อกับแม่ดู“มันคืออะไรกันข้าวหอม?” รุจน์รับที่ตากเนื้อแห้งมาพิจารณาในมือ มันเป็นโครงที่ประดิษฐ์ขึ้นจากไม้ไผ่เหลาอย่างปราณีต มีที่วางเป็นชั้นสองชั้น และถูกคลุมด้วยผ้าตามุ้งอย่างมิดชิด ด้านบนมีตะขอและเชือกสำหรับใช้ห้อยแขวน“นี่คือที่ตากเนื้อของแม่ไงคะ! ทีนี้แม่จะตากเนื้อเยอะแค่ไหนก็ได้แล้ว แถมยังแขวนไว้ในที่สูง ๆ เจ้าหมาก็แอบขโมยกินไม่ได้แล้วล่ะค่ะ!” ข้าวหอมพรีเซนต์อุปกรณ์ชิ้นใหม่ให้รุจน์ฟังอย่างกระตือรือร้น“แถมมุ้งที่คลุมนี้ก็ช่วยป้องกันแมลงวันได้ด้วยนะคะ! ตอนนี้หน้าร้อน เราต้องรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ไม่งั้นท้องร่วงแล้วจะลำบากแย่เลยค่ะ!”“อ่อ... ที่สายเมฆเขาทำตอนเช้าน่ะเหรอลูก” ศจีเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้ม พร้อมพยักหน้าขอบคุณสายเมฆที่ยืนอยู่ไม่ไกล“หนูก็ทำด้วยนะคะ! หนูเสนอความคิดว่าควรทำเป็นสองชั้นด้วยซ้
“งั้นผมขออนุญาตทำให้คุณป้าลองใช้ดูนะครับ” เสียงทุ้มของสายเมฆดังเข้ามาถึงในห้องนอน ทำให้ข้าวหอมที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องงัวเงียเล็กน้อย เธอพลิกตัวบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงนอนไม้เก่า ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก‘เจ้ามิจฉาชีพนั่นมาหลอกอะไรคุณแม่อีกแล้วเนี่ย ดีนะที่ฉันตื่นมาพอดี ไม่งั้นมีหวังแม่ต้องโดนหลอกจนหมดตัวแน่ ๆ !’ ข้าวหอมคิดอย่างขุ่นเคือง เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอก็รีบเปิดประตูห้องพรวดพราดออกไปแทบจะทันทีในห้องครัว แม่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเช้า ส่งกลิ่นหอมของข้าวต้มและกับข้าวอ่อนๆ คลุ้งไปทั่ว ส่วนสายเมฆก็กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ ๆ เตาไฟ“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะแม่?” ข้าวหอมถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ดังพอที่จะให้ชายหนุ่มอีกคนได้ยิน ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องเขม็งไปยังสายเมฆอย่างไม่วางตา แววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจฉายชัดเจนจนใครก็ดูออก‘ยัยเด็กบ้านี่… มองฉันแบบนี้อีกแล้วนะ! ฉันกำลังช่วยแม่เธออยู่นะเนี่ย!’ สายเมฆไม่ได้ตอบโต้คำถามของข้าวหอม เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำที่ตากเนื้อแห้งต่อ เพียงแต่ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างอดกลั้นศจี จึงหันมาตอบลูกสาว
หลังจากที่ ศจี แนะนำให้ข้าวหอมรู้จักกับชายหนุ่มผู้มาใหม่แล้ว เธอก็เล่าเรื่องราวต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจว่า วันนี้ตอนที่เธอกับสามีกำลังจะเดินทางกลับจากทุ่งนา ก็พบกับชายหนุ่มคนนี้ นอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่ที่คันนา ตอนแรกก็ตกใจคิดว่ามีคนฆ่าแล้วนำศพมาทิ้งไว้เสียอีก เพราะการแต่งตัวของเขาดูแปลกตา ไม่เหมือนคนแถวนี้เลยแม้แต่น้อย พอพลิกตัวมาดูก็ถึงได้รู้ว่ายังไม่ตาย จึงรีบช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงได้ความว่าเขาเป็นลมไปเพราะไม่ได้กินข้าว รุจน์ผู้เป็นพ่อจึงชวนให้เขามารับประทานอาหารที่บ้านด้วยความเห็นอกเห็นใจ ‘เดี๋ยวนะ! นี่พ่อแม่ฉันในชาตินี้ไว้ใจคนง่ายไปรึเปล่าเนี่ย?!’ ข้าวหอมฟังที่แม่เล่าแล้วถึงกับคิดในใจอย่างหัวเสีย ‘มิจฉาชีพบางทีก็เอาหน้าตาดี ๆ แบบนี้แหละเข้ามาหลอกลวงนะ!’ เธอพลันรู้สึกว่าตัวเองจะต้องรีบ ปฏิวัติความคิดของคนในครอบครัวเสียใหม่ โดยด่วนที่สุด ในขณะที่ข้าวหอมกำลังครุ่นคิดถึงแผนการปฏิวัติครอบครัวอยู่นั้น สายตาของเธอก็พลันเหลือบไปมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำภายใต้เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเล็กน้อยจากการดับไฟ เผยให้เห
ข้าวหอมพยายามทำความเข้าใจและยอมรับสภาพชีวิตใหม่ที่รายล้อมตัวเธอ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกขัดแย้งและไม่คุ้นเคยกับความไม่สะดวก แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้ให้ได้ ‘อย่างน้อยเราก็ยังมีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องกังวลไปนะข้าวหอม!’ เธอพยายามปลอบใจตัวเองด้วยความคิดบวก แม้ความกังวลจะยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจอย่างเงียบงัน ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับบ้าน ความเงียบที่โรยตัวลงมาทำให้ข้าวหอมรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ปกติแล้วท่านทั้งสองไม่เคยกลับดึกเช่นนี้ เพราะเป็นห่วงที่จะทิ้งให้ข้าวหอมอยู่บ้านคนเดียว เธอเดินวนไปมาในบ้านด้วยใจที่ร้อนรุ่ม พลางคิดไปต่างๆ นานา ‘มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือเปล่า’ ความรู้สึกว้าวุ่นใจถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่จะกังวลไปก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าวหอมตัดสินใจที่จะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เธอเดินตรงไปยังห้องครัวที่มืดสลัว สายตาสำรวจไปรอบ ๆ ห้องเพื่อมองหาสิ่งที่พอจะนำมาทำอาหารรอพ่อกับแม่ได้ ในมุมหนึ่งของห้อง เธอเห็นข้าวสารเหลืออยู่ประมาณครึ่งถัง ถัดไปไม่ไกล มีไข่ไก่เหลืออยู่หกฟอง