ログインจิ๊ดริด เด็กน้อยตัวอวบ (ที่กำลังจะแหย่เท้าเข้าไปในเขตอ้วนอยู่ทุกขณะ) ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามจากคนสนิทรอบตัวว่าเป็นนางฟ้านำโชค แล้วเธอก็ชอบสมญานามนี้ของตัวเองมาก จิ๊ดริดเกิดมามีพ่อชื่อวรรณารีและแม่ชื่อวรรณารี ซึ่งเธอก็ไม่คิดว่ามันผิดปกติตรงไหนตราบใดที่ชีวิตตอนนี้มีความสุข แต่มาวันหนึ่งเธอก็ต้องแปลกใจที่จู่ ๆ ก็มีพ่อชื่อพีรายุโผล่เข้ามาเฉยเลย (แต่แม่ก็ยังชื่อวรรณารีนะ) เอาล่ะสิ ยุ่งแล้ว จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ จะไม่ยุ่งได้อย่างไรในเมื่อแม่ไม่ยอมให้เธอมีพ่อชื่อพีรายุ ไม่เท่านั้นยังมีแม่มดใจร้ายและยาเสน่ห์เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เด็กหญิงจิ๊ดริดแบบเธอจะทำยังไงล่ะเนี่ย! ++ นิยายชายหญิง ++ feelgood ค่ะ จบดี ไม่มีดราม่า ไม่มีปมใด ๆ ++จะเป็นเรื่องเล่าแนวเด็ก ๆ คล้ายแนวนิทานเรื่องหนึ่ง ++ไม่มี NC
もっと見るกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
เอ๊ะ??
ไม่ใช่สิ แค่ไม่กี่ปีเอง ไม่นานขนาดนั้น
อืม...แต่คิดอีกที ผ่านไปแค่หนึ่งวินาทีมันก็คืออดีตไม่ใช่หรือ ต้องเรียกกาลครั้งหนึ่งได้ หยวน ๆ
เอาล่ะ! เริ่มแล้วนะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในยามค่ำคืน ณ คฤหาสน์หรูใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไปทั้งหลังแบบไม่กลัวค่าไฟ แต่สภาพอารมณ์ของผู้อยู่อาศัยในคฤหาสน์ตอนนี้กลับไม่ได้เย็นเหมือนสภาพแวดล้อมรอบตัวเลยสักนิด
“ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น เรารู้จักกันมานานคุณก็น่าจะรู้นิสัยฉันดี ทำไมคุณเปลี่ยนไปแบบนี้คะพี เมื่อสองวันก่อนคุณยังบอกว่ารักฉันมากอยู่เลย แต่มาวันนี้กลับปรักปรำฉัน ฉันไม่ได้ทำจริง ๆ” วรรณารีที่นั่งคุกเข่าสะอื้นไห้อยู่กับพื้นได้เอื้อมมือมากอดขาสามีเอาไว้แน่นและเงยหน้าที่มีแต่คราบน้ำตามองเขาอย่างเสียใจปานจะขาดใจตาย
พีรายุที่ใบหน้าดำคล้ำก้มลงมองภรรยาแววตาขุ่นและแฝงด้วยความรังเกียจอย่างสุดประมาณ เขากระตุกขาข้างที่โดนกอดออกอย่างแรงทำให้วรรณารีเสียจังหวะล้มกลิ้งกับพื้น
“โอ๊ย” วรรณารีอุทานด้วยความเจ็บ
“วรรณ” พีรายุหน้าเสีย แววตาตอนนี้กลับกลายเป็นเสียใจและรู้สึกผิดอย่างสุดประมาณแทน เขาทำท่าจะเข้าไปประคองภรรยา แต่โดนมือเรียวของหญิงสาวอีกคนหนึ่งรั้งเอาไว้เสียก่อน
“พีคะ” จินดาราเรียกชื่อและมองสบตาเขาด้วยแววตาดำลึกยากจะหยั่งถึง
พีรายุร่างกายกระตุกเมื่อเจอสัมผัสของจินดารา แววตาของเขาที่มองตรงไปยังวรรณารีเปลี่ยนเป็นประกายกร้าวอีกครั้ง
เขาใช้นิ้วชี้หน้าวรรณารี “ถ้าไม่ยอมบอกว่าเอาเครื่องเพชรประจำตระกูลฉันไปไว้ที่ไหน ขี้ขโมยแบบเธอก็อยู่ที่บ้านนี้ไม่ได้อีก เลือกเอาว่าจะยอมบอกหรือว่าให้ฉันไล่เธอออกไป”
วรรณารีเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ในใจตอนนี้เหมือนมีหนามแหลมนับพันมารุมข่วนจนเจ็บปวดแทบปางตาย “ฉันไม่ได้ทำ” เธอเค้นเสียงผ่านไรฟัน
พีรายุสาวเท้าเข้าหาด้วยสีหน้าถมึงทึง สายตาที่มองมายังวรรณารีนั้นแข็งกระด้างไม่หลงเหลือความรักความเสน่หาเหมือนที่เคยเป็นอีก “งั้นเธอออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้ บ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับคนสารเลว นิสัยน่าขยะแขยงแบบเธออีก ในเมื่อไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร ฉันยกให้ ถือว่าเอาไปเป็นเงินเผาศพตอนตายของเธอก็แล้วกัน ออกไป๊! ออกไปก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาลากเธอเข้าคุก”
วรรณารีเหมือนโดนสายฟ้าฟาด เธอมองเขาเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ทำไมคุณกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลใช้แต่อารมณ์แบบนี้ คุณเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืนได้ยังไง” หลังพูดจบเธอก็สาดสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังไปยังจินดาราที่ยืนควงแขนพีรายุและทำหน้าเย้ยหยันอยู่ด้านข้าง
“เพราะเธอใช่ไหมที่เป่าหูคุณ เธอเป็นคนเล่าเรื่องใส่ร้ายฉันแล้วคุณก็เชื่อ ทำไมคุณเป็นแบบนี้ คุณลืมความรักนับสิบปีของเราไปหมดเพียงเพราะได้นอนกับผู้หญิงคนนี้แค่ครั้งเดียว คุณโดนผู้หญิงคนนี้วางยาหรือไง”
จินดาราที่ยืนอยู่ด้านข้างมองวรรณารีตาขวาง
ฉาด! ฉาด!
พีรายุตบหน้าวรรณารีอย่างแรง “ห้ามว่าเมียฉันเสีย ๆ หาย ๆ แบบนี้”
วรรณารีที่ล้มพังพาบอยู่กับพื้นใช้มือกุมแก้มอย่างตกใจและเสียใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พีรายุทำร้ายร่างกายเธอ
หญิงสาวโซเซลุกขึ้นยืนและมองหน้าสามีอย่างโกรธแค้น “ในเมื่อทำกันขนาดนี้ ชาตินี้อย่าได้หวังจะเจอกันอีก ฉันจะไม่มีวันอภัยให้คุณเลย”
วรรณารีวิ่งออกจากบ้านไปด้วยสภาพที่บอบช้ำทั้งกายและใจ
พีรายุทำท่ามึนงงอยู่ชั่วขณะ เขาสะบัดหน้าไปมาอยู่หลายทีเพื่อเรียกสติ กระทั่งเห็นแผ่นหลังของวรรณารีหายลับไปจากประตูรั้ว ชายหนุ่มจึงมีสีหน้าตื่นตกใจให้เห็น
เขาตะโกนเรียกเธอเสียงดังลั่น “วรรณ ผมขอโทษ กลับมาก่อน” แล้วตั้งท่าจะวิ่งตามออกไป
จินดารารีบวิ่งไปกระชากแขนของเขาไว้ “พีคะ อย่าตามไปค่ะ” เธอจิกเล็บไปที่แขนเขาจนจมลึกเข้าไปในเนื้อ
พีรายุกลับมามีสีหน้ามึนงงอีกครั้ง เขาหันมามองจินดารา จากแววตาที่มองมาคล้ายคนแปลกหน้าได้ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นรักและลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น “นี่ผมเป็นอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงสับสน
“คุณคงเหนื่อยเกินไปค่ะ ไปพักกับจินในห้องดีกว่านะคะ” จินดาราเข้าไปคลอเคลีย “นอนพักเยอะ ๆ คุณจะได้หายเหนื่อย”
ชายหนุ่มมองเธอด้วยแววตาหวานเชื่อม “ขอบใจนะที่รัก คุณดีกับผมที่สุด ผมรักคุณนะ” พีรายุใช้ทั้งสองมือลูบไล้ไปทั่วเรือนกายเย้ายวนของจินดาราอย่างลุ่มหลงจนเธอหัวเราะรื่น สองหนุ่มสาวพากันตระกองกอดเดินไปยังห้องนอนคล้ายไม่มีเหตุวุ่นวายใด ๆ เกิดขึ้นมาก่อน
-----
วรรณารีสะดุ้งตื่นในช่วงหัวรุ่งพร้อมกับอาการหอบถี่และเหงื่อผุดซึมเต็มตัวคล้ายกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักมาก็ไม่ปาน
หญิงสาวค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างลำบากก่อนจะกระเถิบไปนั่งพิงกำแพงห้องอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ตื่นแล้วก็รีบลุก ตอนนี้ตีห้าแล้ว เดี๋ยวไม่ทันรถ” เสียงแหบของหญิงสูงวัยดังขึ้นที่หน้าห้อง
วรรณารีตอบกลับไปเสียงเบา “ขอล้างหน้าแปรงฟันสิบนาทีนะป้า” ว่าแล้วเธอก็เดินไปคว้าอุปกรณ์ล้างหน้าที่ใส่ขันไว้ตรงมุมห้องและเดินออกไปหลังบ้านเพื่อชำระล้างตัวเอง
สายเห็นใบหน้าซีดเผือดอย่างคนที่นอนหลับไม่สนิทของเธอก็ได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองเช่นกัน
ในช่วงเวลาหกโมงเช้าเช่นนี้อาจดูเช้าตรู่สำหรับใครหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่สำหรับกลุ่มคนหลายสิบชีวิตที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางภูเขาขยะกองมหึมาของจังหวัดสมุทรปราการ
ผู้คนหลายสิบคนเหล่านี้ต่างสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด รวมถึงใบหน้าของตนเองที่ปิดจนเกือบมิดเหลือแค่ดวงตาเท่านั้น
พวกเขาทั้งหลายต่างถือกระสอบฟางไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือไม้แหลมสำหรับคุ้ยเขี่ยบรรดาขยะที่ทับถมกันอยู่เพื่อหาสมบัติเอาไปขายแลกเศษเงินสำหรับประทังชีวิต
“ไหวหรือเปล่าวรรณ ท้องตั้งหกเดือนแล้ว วันนี้ก็ร้อนด้วย” เสียงถามอย่างเห็นใจดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ไหวพี่” วรรณารีหันใบหน้าที่มีแต่เหงื่อมาตอบสมร เพื่อนร่วมอาชีพที่ใจดีคนหนึ่ง
“เหงื่อเต็มเชียว เขาบอกคนท้องจะร้อนกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ไปนั่งพักสักสิบนาทีเถอะ ให้เหงื่อแห้งก่อนแล้วค่อยมาทำต่อ วันนี้มีขยะมาลงเยอะยังไงก็ไม่มีคนแย่งไปหมดหรอก”
วรรณารีพยักหน้าน้อย ๆ เพราะรู้สึกถึงสภาพร่างกายที่เริ่มทนไม่ไหวเช่นกัน เธอหิ้วกระสอบฟางส่วนของตนขึ้นมาและปลีกตัวมานั่งพักที่ข้างพงหญ้าสูง ระหว่างนั่งพักสายตาเธอก็มองไปรอบ ๆ ภูเขาขยะที่กลายเป็นแหล่งรายได้แหล่งเดียวของเธออย่างสะท้อนใจไปด้วย
หญิงสาวมองนิ่งไปที่ภูเขาขยะเบื้องหน้า แต่ใจนั้นกลับเหม่อลอยคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน
เธอวิ่งออกจากบ้านที่เคยเป็นเรือนหอของตัวเองด้วยใจที่แตกสลาย
ระหว่างนั่งรถเมล์ไปอย่างไร้จุดหมาย สายตาก็เหลือบไปเห็นบึงขนาดใหญ่ข้างทาง เธอรีบลงจากรถและมุ่งไปที่บึงกว้างแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล
ในเมื่อชีวิตนี้มันยากนักก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตให้ยุ่งยากอีกต่อไป!
ขณะที่ร่างกายกำลังจมมิดลงก้นบึงวรรณารีก็รู้สึกถึงแรงฉุดและกระชากร่างของเธอให้พ้นจากผิวน้ำ แม้จะดิ้นรนขัดขืนสักเพียงใดแต่ก็ไม่อาจทานแรงของคนที่ทำงานหนักมาโดยตลอดอย่างสายได้ เธอจึงโดนลากขึ้นบนบกและไปโรงพยาบาลอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด
แต่แล้วก็เหมือนโดนฟ้าผ่า ผลตรวจร่างกายของเธอนั้นพบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว
วรรณารีเรียกร้องให้เอาเด็กออกอย่างไม่ลังเล
ฉาด!
‘เวลาสนุก เธอกับผู้ชายก็สนุกกันสองคนโดยที่เด็กมันไม่ได้ร่วมรับรู้ด้วย แล้วพอมาเวลาแบบนี้กลับผลักให้เด็กมารับกรรมในสิ่งที่พ่อกับแม่ก่อไว้ มันใช้ได้ที่ไหน สำนึกความเป็นคนมีบ้างไหม ถึงตอนนี้เด็กมันจะโตแค่ถั่วเขียวแต่มันก็คือคนคนหนึ่ง เธอจะใจยักษ์ทำลายชีวิตคนคนหนึ่งไม่ให้เกิดมาได้ลงคอเชียวหรือ’
เพราะแรงตบและคำด่าของสายในวันนั้นทำให้วรรณารีสำนึกขึ้นได้ ใช่...เธอไม่ควรให้ลูกมารับกรรมแบบนี้
“แม่ขอโทษนะลูก แม่จะเลี้ยงดูหนูให้ดีที่สุด” วรรณารีก้มลงพูดกับครรภ์อายุหกเดือนของเธอ ขณะที่ดวงตายังคงหมองเศร้าอยู่ไม่รู้คลาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือราคาถูกของตัวเองมาเปิดดูข่าวการรับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นของพีรายุครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยใจที่เจ็บแปลบ
“ในเมื่อคิดจะตัดใจแล้วต้องตัดให้ขาด ไม่อย่างนั้นเราเองนั่นแหละจะลำบาก” เสียงแหบพร่าของสายดังขึ้น
วรรณารีเหลียวมองสายที่เดินมานั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับใช้หมวกฟางโบกพัดใบหน้าเพื่อคลายร้อนให้กับตัวเองไปด้วย
สายเหลียวมามอง “นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว อะไรควรตัดก็ให้ตัด มัวแต่เอาใจไปพัวพันกับเรื่องที่ทำร้ายเรามันก็ยิ่งทำให้เราเจ็บปวดมากขึ้น” สายนิ่งไปชั่วขณะก่อนพูดต่อ “ถ้าไม่อยากโดนคนมองว่าเป็นบ้าแบบฉันก็ให้รีบตัดใจ”
“เอาเวลามาใส่ใจเรื่องใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาดีกว่า” สายปรายตามองไปยังช่วงท้องที่เริ่มนูนอย่างเห็นได้ชัดของวรรณารีก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปยังภูเขาขยะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
วรรณารีใช้มือลูบท้องของเธออย่างทะนุถนอม ใช่...เธอควรตัดขาดเรื่องเก่า ๆ ออกไปให้หมดเสียที แล้วมาทุ่มเทกับห่วงที่เธอรับมาอย่างเต็มใจห่วงนี้ดีกว่า
“เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่
สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร
“แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง
“แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห
コメント