ข้าวหอมพยายามทำความเข้าใจและยอมรับสภาพชีวิตใหม่ที่รายล้อมตัวเธอ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกขัดแย้งและไม่คุ้นเคยกับความไม่สะดวก แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้ให้ได้
‘อย่างน้อยเราก็ยังมีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องกังวลไปนะข้าวหอม!’ เธอพยายามปลอบใจตัวเองด้วยความคิดบวก แม้ความกังวลจะยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจอย่างเงียบงัน ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับบ้าน ความเงียบที่โรยตัวลงมาทำให้ข้าวหอมรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ปกติแล้วท่านทั้งสองไม่เคยกลับดึกเช่นนี้ เพราะเป็นห่วงที่จะทิ้งให้ข้าวหอมอยู่บ้านคนเดียว เธอเดินวนไปมาในบ้านด้วยใจที่ร้อนรุ่ม พลางคิดไปต่างๆ นานา ‘มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือเปล่า’ ความรู้สึกว้าวุ่นใจถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่จะกังวลไปก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าวหอมตัดสินใจที่จะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เธอเดินตรงไปยังห้องครัวที่มืดสลัว สายตาสำรวจไปรอบ ๆ ห้องเพื่อมองหาสิ่งที่พอจะนำมาทำอาหารรอพ่อกับแม่ได้ ในมุมหนึ่งของห้อง เธอเห็นข้าวสารเหลืออยู่ประมาณครึ่งถัง ถัดไปไม่ไกล มีไข่ไก่เหลืออยู่หกฟองวางเรียงกัน และเหนือเตาไฟเก่า ๆ มีปลาตากแห้งแขวนอยู่หลายตัว ข้าวหอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจ ‘เอาล่ะ! ต้มไข่แล้วกัน อย่างน้อยก็คงไม่ยากเกินความสามารถของเรา’ ความทรงจำเลือนรางจากโลกเก่าผุดขึ้นมา “แค่ต้มน้ำแล้วหย่อนไข่ลงไปก็คงพอแล้วมั้ง?” เธอหยิบหม้ออะลูมิเนียมก้นดำที่บอกเล่าเรื่องราวการใช้งานมายาวนานออกมาจากชั้นวาง ตักน้ำจากตุ่มดินใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างครัวจนเต็ม “เดี๋ยวนะ! แล้วฉันจะเอาไฟที่ไหนมาต้มน้ำล่ะเนี่ย” ข้าวหอมกวาดสายตามองไปทั่วห้องครัวอย่างงุนงง เธอเดินหาไฟแช็กเท่าไรก็ไม่เจอ เจอแต่กลักไม้ขีดไฟเก่า ๆ ที่วางทิ้งไว้มุมห้อง เธอจำได้ว่าสมัยเรียนวิชาเนตรนารีเคยมีการสอนวิธีการจุดไฟด้วยไม้ขีด แต่ก็เป็นเพียงการสาธิตเท่านั้น ไม่เคยได้ลองทำจริงสักครั้ง ‘ไม่น่าจะยากหรอกมั้ง? ทุกคนก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้นแหละน่า!’ ข้าวหอมฮึดสู้ เธอจับไม้ขีดขึ้นมาหนึ่งก้าน แล้วเริ่มลงมือจุด แชะ! แชะ! เสียงเสียดสีของไม้ขีดกับข้างกลักดังขึ้น แต่เปลวไฟก็ยังคงไม่ปรากฏ เธอพยายามอยู่หลายครั้งจนเริ่มท้อใจ ความผิดหวังทำให้เธอเผลอโยนไม้ขีดทิ้งลงไปข้างตัว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าปลายก้านไม้ขีดนั้นยังคงมีประกายไฟเล็ก ๆ ติดอยู่ ประกายไฟเล็ก ๆ ค่อย ๆ ลุกลามไปยังเศษไม้แห้งที่กองอยู่ใกล้ ๆ และเริ่มแผ่ขยายวงกว้างออกไปอย่างช้า ๆ มันคืบคลานเข้าใกล้ตัวข้าวหอมเรื่อย ๆ “เอ๊ะ ทำไมรู้สึกร้อน ๆ อย่างนี้นะ การทำครัวนี่เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย เล่นเอาซะร้อนไปหมดเลย” ข้าวหอมบ่นกับตัวเองพลางหันไปจะหาพัดมาพัดแก้ร้อน แต่เมื่อเธอหันไป สายตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด เปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอยู่ใกล้ตัวเธอจนรู้สึกได้ถึงความร้อนระอุ “ว้ายยย! ไฟไหม้! ช่วยด้วย! ทำยังไงดี!” ข้าวหอมกรีดร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก เธอวิ่งไปยังตุ่มน้ำเพื่อตักน้ำมาดับไฟ แต่เปลวไฟกลับลุกลามเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทั้งห้องครัว ข้าวหอมวิ่งวนไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว ‘ไม่นะข้าวหอม! เธอเพิ่งจะข้ามภพมาวันเดียวเองนะ จะมาเผาบ้านแบบนี้ไม่ได้นะ! เป็นแบบนี้ต่อให้พ่อแม่รักแค่ไหน ก็มีหวังโดนเอาไปปล่อยวัดแน่ ๆ!’ “ข้าวหอม! ลูก!” เสียงของรุจน์ผู้เป็นพ่อดังขึ้นอย่างลนลาน เมื่อเขาก้าวขึ้นมาบนบ้านและเห็นเปลวไฟกำลังโหมกระหน่ำอยู่ในห้องครัว “พ่อคะ! ทำยังไงดีคะไฟมันลามไม่หยุดเลย!” ข้าวหอมบอกพ่อด้วยเสียงสั่นเครือ ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว “เอาน้ำมาดับสิลูก!” รุจน์กับศจี ผู้เป็นแม่ รีบวิ่งเข้าไปช่วยกันตักน้ำจากตุ่มมาสาดใส่กองไฟอย่างไม่คิดชีวิต แต่เปลวไฟก็ยังคงลุกโชนอย่างดุดัน ไม่มีทีท่าว่าจะดับลงได้ง่าย ๆ เลย… ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังวุ่นวายกับการตักน้ำสาดเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างสิ้นหวัง เสียงไม้และควันที่ลอยคละคลุ้งสร้างความอลหม่านไปทั่วห้องครัว ตรงมุมของบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง คนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น เขาดูโดดเด่นและดูสงบท่ามกลางความวุ่นวาย ด้วยรูปร่างที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบ แผ่นอกกว้างดูแข็งแรงรับกับช่วงไหล่กว้างที่ผายออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าที่ดูเรียบง่าย ใบหน้าคมสันรับกับจมูกโด่ง ดวงตาเรียวยาวทอประกายคมกริบแต่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น ผมสีดำสนิทถูกเสยขึ้นเผยให้เห็นหน้าผากกว้าง ขับเน้นให้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรที่หลุดมาจากภาพวาด ชายหนุ่มยืนมองทั้งสามด้วยสายตาคมกริบ เขาประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ยัยข้าวหอมนี่ชาติที่แล้วเรียนที่ไหนมาเนี่ย ไม่มีใครสอนรึไงว่าไฟที่เกิดจากน้ำมันน่ะ ห้ามใช้น้ำดับเด็ดขาด” สายเมฆไม่รอช้า เขาเดินตรงไปยังกองผ้าเก่า ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ แต่แล้วก็ชะงักไปชั่วครู่พลางนึกขึ้นได้ บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ดูทรุดโทรมหลังนี้คงไม่ได้มีข้าวของมากมายนัก หากเขาเอาผ้าเหล่านั้นมาดับไฟ อาจทำให้เสื้อผ้าของหญิงสาวเสียหาย และเธอคงลำบากในการหาเงินมาซื้อใหม่เป็นแน่ เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย มือหนาเอื้อมไปปลดแจ็คเก็ตสีเข้มที่สวมทับออก ตามด้วยเสื้อยืดสีขาวตัวใน เผยให้เห็นแผงอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ท่ามกลางแสงไฟที่ลุกโชน ร่างกายของเขาสะท้อนแสงไฟเป็นประกายวิบวับ ชวนให้หลงใหลในความสมบูรณ์แบบนั้น เขาก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังตุ่มน้ำ ตักน้ำขึ้นมาจนชุ่มโชกเสื้อผ้าในมือ ก่อนจะกลับมายังจุดที่ไฟกำลังลุกลามแล้วทาบผ้าเปียกนั้นลงไปบนกองไฟอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ฟู่!!! เสียงเปลวไฟที่คำรามเกรี้ยวกราดเมื่อครู่พลันเงียบสงบลง ควันสีขาวขุ่นพวยพุ่งขึ้นมาแทนที่ ก่อนที่เปลวไฟจะค่อย ๆ มอดดับลง ท่ามกลางความตะลึงงันของรุจน์ ศจี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวหอม! เมื่อไฟดับลงจนสนิท รุจน์และศจีต่างรีบเข้ามากล่าวขอบอกขอบใจสายเมฆเป็นการใหญ่ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้งที่เขาเข้ามาช่วยได้อย่างทันท่วงที ส่วนข้าวหอมนั้น หลังจากที่ดวงตาคู่สวยจ้องมองแผ่นอกกว้างและกล้ามเนื้อที่น่าทึ่งของสายเมฆอยู่นานราวกับต้องมนต์สะกด ความร้อนรุ่มที่หน้าผากค่อย ๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงความประหลาดใจและคำถามที่ผุดขึ้นในใจช้า ๆ “พ่อคะ แม่คะ คนนี้คือใครคะ?” ข้าวหอมถามด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ‘หรือว่า... ชาตินี้พ่อกับแม่ของเธอได้เตรียมหาสามีไว้ให้แล้วอย่างนั้นเหรอ’ ข้าวหอมเริ่มคิดเพ้อไปไกล ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย แต่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเธอก็ต้องดับลงเมื่อเสียงทุ้มนุ่มของพ่อเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “อ้อ พ่อกับแม่ลืมแนะนำไปเลย นี่ สายเมฆ น่ะ”เมื่อศจีกับรุจน์รับประทานอาหารเช้าที่สายเมฆจัดเตรียมให้อย่างเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าบ้านมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงล้อมข้าวหอมและสายเมฆอยู่“คุณคะ ทำไมคนมารุมข้าวหอมกับสายเมฆแบบนั้นล่ะ ลูกเราไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย” ศจีถามรุจน์ด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวลรุจน์เพ่งมองไปยังกลุ่มคนก่อนจะหันมาตอบศจี “ไม่น่าใช่นะแม่ ดูเหมือนทุกคนกำลังคุยกับยัยหนูและสายเมฆดี ๆ ไม่มีทีท่าจะทะเลาะอะไรกันเลย แต่ก็แปลกที่ทำไมชาวบ้านถึงมาคุยกับยัยหนูกันเยอะแยะขนาดนั้น”ไม่รอให้รุจน์คิดหาสาเหตุ ศจีก็คว้าแขนรุจน์ลงบันไดไปตรงรี่เข้าไปหาข้าวหอมและสายเมฆทันทีป้าแจ่มซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่เห็นสองสามีภรรยาเดินมาก็เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม“แกสองคนนี่เลี้ยงยัยข้าวหอมไม่เสียทีจริง ๆ นะ วันนี้เริ่มช่วยหาเงินหาทองได้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะเลี้ยงให้เป็นเด็กไม่เอาไหนเสียอีก ที่ไหนได้ นางก็มีความรู้ความสามารถทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกันนะเนี่ย” ป้าแจ่มกล่าวชื่นชมปนแปลกใจศจีและรุจน์มองหน้ากันด้วยความงุนงง ‘อะไรคือข้าวหอมหาเงิน? หรือลูกเราแอบเอาอะไรในบ้านมาขายอีกแล้วเนี่ย’ ค
เช้าวันถัดมา ข้าวหอมซึ่งนัดแนะกับสายเมฆว่าวันนี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยกันทำกับข้าวให้พ่อแม่กินก่อนออกไปทำนา หลังจากนั้นทั้งสองจะทำการตากเนื้อแห้ง พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเตรียมของก่อนออกไปทำงาน“นี่พี่สายเมฆ... พี่ว่าวิธีของพี่มันจะได้ผลจริง ๆ เหรอคะ” ข้าวหอมถามย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความลังเลในแผนการของสายเมฆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลงมือทำกิจการของตัวเองจริงๆ มันเลยรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเป็นพิเศษสายเมฆรู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยที่ข้าวหอมเรียกเขาว่าพี่แล้ว“ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ไปลองกันเลย” สายเมฆที่ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี ยื่นมือมาจับข้อมือของข้าวหอมเบา ๆ แล้วดึงให้ลงไปข้างล่างตรงโต๊ะกลางบ้าน มีที่ตากเนื้อแห้งหลายขนาดวางเรียงรายอยู่ ข้าวหอมและสายเมฆช่วยกันยกโต๊ะออกมาตั้งไว้ตรงแถวรั้วบ้าน เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งคู่ช่วยกันนำเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำมาวางบนชั้นของที่ตากเนื้อแห้ง จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบทีละชั้นช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านในหมู่บ้านกำลังจะเดินทางออกไปทำนาพอดี ป้าแจ่ม เจ้าข
ตกเย็น หลังจากศจีและรุจน์กลับมาจากนาของป้าแจ่ม ข้าวหอมก็รีบวิ่งไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่สดใส เธอแทบจะตรงเข้าไปกอดทั้งสองไว้ด้วยความคิดถึงระคนดีใจที่ได้เห็นพ่อกับแม่ในภพนี้ยังคงอยู่เคียงข้างเธอ“พ่อขา แม่ขา ข้าวหอมมีอะไรจะอวดค่ะ!” ข้าวหอมพูดพลางยกที่ตากเนื้อแห้งขึ้นมาอย่างภูมิใจให้พ่อกับแม่ดู“มันคืออะไรกันข้าวหอม?” รุจน์รับที่ตากเนื้อแห้งมาพิจารณาในมือ มันเป็นโครงที่ประดิษฐ์ขึ้นจากไม้ไผ่เหลาอย่างปราณีต มีที่วางเป็นชั้นสองชั้น และถูกคลุมด้วยผ้าตามุ้งอย่างมิดชิด ด้านบนมีตะขอและเชือกสำหรับใช้ห้อยแขวน“นี่คือที่ตากเนื้อของแม่ไงคะ! ทีนี้แม่จะตากเนื้อเยอะแค่ไหนก็ได้แล้ว แถมยังแขวนไว้ในที่สูง ๆ เจ้าหมาก็แอบขโมยกินไม่ได้แล้วล่ะค่ะ!” ข้าวหอมพรีเซนต์อุปกรณ์ชิ้นใหม่ให้รุจน์ฟังอย่างกระตือรือร้น“แถมมุ้งที่คลุมนี้ก็ช่วยป้องกันแมลงวันได้ด้วยนะคะ! ตอนนี้หน้าร้อน เราต้องรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ไม่งั้นท้องร่วงแล้วจะลำบากแย่เลยค่ะ!”“อ่อ... ที่สายเมฆเขาทำตอนเช้าน่ะเหรอลูก” ศจีเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้ม พร้อมพยักหน้าขอบคุณสายเมฆที่ยืนอยู่ไม่ไกล“หนูก็ทำด้วยนะคะ! หนูเสนอความคิดว่าควรทำเป็นสองชั้นด้วยซ้
“งั้นผมขออนุญาตทำให้คุณป้าลองใช้ดูนะครับ” เสียงทุ้มของสายเมฆดังเข้ามาถึงในห้องนอน ทำให้ข้าวหอมที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องงัวเงียเล็กน้อย เธอพลิกตัวบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงนอนไม้เก่า ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก‘เจ้ามิจฉาชีพนั่นมาหลอกอะไรคุณแม่อีกแล้วเนี่ย ดีนะที่ฉันตื่นมาพอดี ไม่งั้นมีหวังแม่ต้องโดนหลอกจนหมดตัวแน่ ๆ !’ ข้าวหอมคิดอย่างขุ่นเคือง เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอก็รีบเปิดประตูห้องพรวดพราดออกไปแทบจะทันทีในห้องครัว แม่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเช้า ส่งกลิ่นหอมของข้าวต้มและกับข้าวอ่อนๆ คลุ้งไปทั่ว ส่วนสายเมฆก็กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ ๆ เตาไฟ“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะแม่?” ข้าวหอมถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ดังพอที่จะให้ชายหนุ่มอีกคนได้ยิน ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องเขม็งไปยังสายเมฆอย่างไม่วางตา แววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจฉายชัดเจนจนใครก็ดูออก‘ยัยเด็กบ้านี่… มองฉันแบบนี้อีกแล้วนะ! ฉันกำลังช่วยแม่เธออยู่นะเนี่ย!’ สายเมฆไม่ได้ตอบโต้คำถามของข้าวหอม เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำที่ตากเนื้อแห้งต่อ เพียงแต่ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างอดกลั้นศจี จึงหันมาตอบลูกสาว
หลังจากที่ ศจี แนะนำให้ข้าวหอมรู้จักกับชายหนุ่มผู้มาใหม่แล้ว เธอก็เล่าเรื่องราวต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจว่า วันนี้ตอนที่เธอกับสามีกำลังจะเดินทางกลับจากทุ่งนา ก็พบกับชายหนุ่มคนนี้ นอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่ที่คันนา ตอนแรกก็ตกใจคิดว่ามีคนฆ่าแล้วนำศพมาทิ้งไว้เสียอีก เพราะการแต่งตัวของเขาดูแปลกตา ไม่เหมือนคนแถวนี้เลยแม้แต่น้อย พอพลิกตัวมาดูก็ถึงได้รู้ว่ายังไม่ตาย จึงรีบช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงได้ความว่าเขาเป็นลมไปเพราะไม่ได้กินข้าว รุจน์ผู้เป็นพ่อจึงชวนให้เขามารับประทานอาหารที่บ้านด้วยความเห็นอกเห็นใจ ‘เดี๋ยวนะ! นี่พ่อแม่ฉันในชาตินี้ไว้ใจคนง่ายไปรึเปล่าเนี่ย?!’ ข้าวหอมฟังที่แม่เล่าแล้วถึงกับคิดในใจอย่างหัวเสีย ‘มิจฉาชีพบางทีก็เอาหน้าตาดี ๆ แบบนี้แหละเข้ามาหลอกลวงนะ!’ เธอพลันรู้สึกว่าตัวเองจะต้องรีบ ปฏิวัติความคิดของคนในครอบครัวเสียใหม่ โดยด่วนที่สุด ในขณะที่ข้าวหอมกำลังครุ่นคิดถึงแผนการปฏิวัติครอบครัวอยู่นั้น สายตาของเธอก็พลันเหลือบไปมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำภายใต้เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเล็กน้อยจากการดับไฟ เผยให้เห
ข้าวหอมพยายามทำความเข้าใจและยอมรับสภาพชีวิตใหม่ที่รายล้อมตัวเธอ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกขัดแย้งและไม่คุ้นเคยกับความไม่สะดวก แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้ให้ได้ ‘อย่างน้อยเราก็ยังมีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องกังวลไปนะข้าวหอม!’ เธอพยายามปลอบใจตัวเองด้วยความคิดบวก แม้ความกังวลจะยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจอย่างเงียบงัน ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับบ้าน ความเงียบที่โรยตัวลงมาทำให้ข้าวหอมรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ปกติแล้วท่านทั้งสองไม่เคยกลับดึกเช่นนี้ เพราะเป็นห่วงที่จะทิ้งให้ข้าวหอมอยู่บ้านคนเดียว เธอเดินวนไปมาในบ้านด้วยใจที่ร้อนรุ่ม พลางคิดไปต่างๆ นานา ‘มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือเปล่า’ ความรู้สึกว้าวุ่นใจถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่จะกังวลไปก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าวหอมตัดสินใจที่จะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เธอเดินตรงไปยังห้องครัวที่มืดสลัว สายตาสำรวจไปรอบ ๆ ห้องเพื่อมองหาสิ่งที่พอจะนำมาทำอาหารรอพ่อกับแม่ได้ ในมุมหนึ่งของห้อง เธอเห็นข้าวสารเหลืออยู่ประมาณครึ่งถัง ถัดไปไม่ไกล มีไข่ไก่เหลืออยู่หกฟอง