ใต้เงารักศัตรู

ใต้เงารักศัตรู

last updateLast Updated : 2025-08-24
By:  BosskerrOngoing
Language: Thai
goodnovel18goodnovel
Not enough ratings
24Chapters
13views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

ในอดีต หลานซูเหยา คุณหนูตระกูลแม่ทัพหลานผู้สูงศักดิ์ เคยถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับและถูกหักหลังในยามที่ตระกูลหลานถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล จากเหตุการฆ่าล้างตระกูลหลานนั้น นางรอดตายเพียงคนเดียว ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือจากบุรุษลึกลับผู้สวมหน้ากากเงิน ม่อเฉิน เขาเลี้ยงดูและฝึกฝนนางอย่างโหดเหี้ยมเพื่อให้นางเป็นเบี้ยหมากในการล้างแค้นและเปิดโปงราชสำนัก

View More

Chapter 1

ตอนที่ 1 คืนแห่งการล้างบาง

หิมะต้นฤดูโปรยเบาเหมือนขี้เถ้าจากเตาใหญ่ ลอยเรี่ยหลังคากระเบื้องดำของจวนสกุลหลาน แล้วค่อยๆ ทับถมจนพื้นลานขาวโพลน เสียงกลองศึกที่เคยข่มศัตรูในสนามรบกลับเงียบงัน ราวกับวิญญาณนักรบหลายร้อยนายที่เคยยืนเรียงแถวตรงนี้ต่างรู้ดี คืนเพ็ญนี้ ไม่ใช่ค่ำคืนแห่งชัยชนะ แต่เป็นคืนแห่งล้างบาง

ข้าคือหลานซูเหยา บุตรีแม่ทัพหลาน เด็กหญิงผู้ตัวเล็กกว่าความยาวดาบของบิดา คืนนี้ ข้าซ่อนตัวงอตัวอยู่ใต้แท่นกลองศึกที่ท่านพ่อเคยเคาะเรียกระดมพล แผ่นไม้เย็นเฉียบซึมความชื้นจนกลิ่นยางไม้ระเหยฉุนจมูก เสียงฝีเท้าหนัก สายลมตีชายเสื้อเกราะ เสี้ยนโลหะขูดกันจนเกิดเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างในยามนี้กำลังสอดประสานเป็นบทเพลงสั้น ๆ ที่โหดเหี้ยม

“นำตัวคนของตระกูลหลานออกมาให้หมด!”

เสียงนายทหารกรมอาญาร้องลั่น เสียงนั้นชัดเจนราวคมมีดที่เฉือนผิว ข้าเห็นผ่านช่องไม้เล็ก ๆ ถึงธงหลวงที่สะบัดในแสงคบเพลิง และผ้าคาดแขนของทหารที่ปักลายมังกรคาบกลีบดอกท้อ

มังกรกับดอกท้อ เหตุใดต้องเป็นลายนี้?

บิดาข้า แม่ทัพหลาน ออกมายืนอยู่กลางลาน เขาไม่ได้สวมเกราะทำศึก แต่สวมเสื้อคลุมผ้าแพรสีดำ ก้าวเท้านิ่งสง่าเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่ก้าวลงสนามรบ

“ข้าหลานหย่งเฉิง ขอถาม”

เสียงของท่านพ่อไม่ดังนักแต่กลับดังก้องในหัวของข้า

“ด้วยโทษทัณฑ์ใดอันควร ตระกูลข้าถึงจำต้องถูกลากทุกชีวิตออกมาต่อหน้าธารกำนัลในยามแรมเดือนเพ็ญเช่นนี้”

นายทหารชูม้วนพระราชโองการขึ้นเหนือศีรษะ

“บัญชาจากเบื้องบน กล่าวโทษตระกูลหลานว่าคบคิดติดต่อศัตรู ยักยอกเสบียง นำภัยแก่แผ่นดิน!”

เอ่ยจบเขาก็คลี่ผืนกระดาษตราประทับแดงฉาน แสงคบเพลิงสะท้อนคราบผงยาพิษจาง ๆ บนขอบตรา ข้าคิดว่าตนแค่ตาฝาดจึงขยี้ตาอีกครั้ง พร้อมกับน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ

“มีหลักฐานอันใด?”

ท่านแม่ข้าโฉมสะคราญที่เคยคัดเลือกบทกวีให้ข้าท่องทุกค่ำคืน ก้าวล้ำออกมายืนเคียงท่านพ่อ ใบหน้าของนางยังสงบเย็นดุจผืนน้ำแข็ง แต่การกำชายแขนเสื้อแน่นจนปลายเล็บขาว เผยว่าหัวใจของนางเต้นรัวเพียงใด

“หรือเพียงคำของผู้มีอำนาจ ก็เพียงพอจะฆ่าคนทั้งจวนแล้ว?”

“หลักฐานถึงมือแล้ว” นายทหารตอบสั้น ๆ “และถึงคราจะต้องพิพากษา”

ข้าเม้มปากกัดปลายเรียวผ้าคลุม ท่านพ่อสอนอยู่เสมอว่า อย่าร้องไห้ต่อหน้าศัตรู แต่ในยามนี้ ข้ารู้สึกเหมือนเลือดอุ่น ๆ จากหัวใจตนเองกำลังไหลลงพื้นที่เย็นเฉียบ ไม่ใช่ผ่านแผลใด ทว่าไหลผ่านรอยแตกของความศรัทธาที่ข้าเคยมี

พวกทหารลากบ่าวไพร่ออกมาเป็นแถว เสียงร้องอ้อนวอนดังผสานกับเสียงกระบองฟาดหลัง ข้าเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่เคยเล่นด้วยกัน เขาเป็นลูกของบ่าวรับใช้ในจวน เขายังไม่พ้นวัยเล่นกงล้อไม้ คุกเข่าจนหัวชนพื้นหิมะ

“โปรดเมตตาด้วยขอรับ”

เขาร้องทั้งน้ำหูน้ำตา ท่านพ่อข้าเพียงหลับตาแน่น มือกำหมัดจนเส้นเลือดปูด แต่ก้าวเท้าไม่ถอย

“หยุด!”

เสียงหนึ่งที่ข้าคุ้นตลอดวัยเยาว์ เสียงของท่านพ่อดังจนใคร ๆ ต่างก็เงียบกริบ ท่านพ่อก้มลงถอดปิ่นหยกสีอ่อนจากมวยผมของตน ปิ่นนั้นสลักเป็นรูปกลีบดอกท้อสองกลีบซ้อนกัน

“ชิงเหยา” เขาหันมองไปทางเรือนใน ที่ข้าซ่อนอยู่ไม่ไกลนัก “ลูกอยู่ในนั้นใช่หรือไม่”

หัวใจข้าหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ ข้ายกมือปิดปากตัวเองอย่างแรง แต่ท่านแม่ข้าคำรามเบา ๆ

“หย่งเฉิง”

เสียงของท่านแม่เอ่ยเป็นเสียงเตือน ว่าอย่าให้คนพวกนั้นรู้!

ท่านพ่อยิ้มบางอย่างที่เขาเคยยิ้มให้ข้าตอนขัดเปลือกเมล็ดท้อให้กิน

“หากลูกได้ยินเสียงของพ่อ...”

เขาหย่อนปิ่นหยกลงในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่วางอยู่ข้างแท่นกลองศึก แล้วสอดบางสิ่งเข้าไปด้วย มันเป็นแผ่นกระดาษตัดสีขาว

“จงจำคำพ่อไว้ให้ชัด ดอกท้อไม่บานในฤดูหนาว”

เขาเคาะปลายนิ้วบนกระบอกไม้สองที ราวกับเคาะประตูสวรรค์

“เจ้าจงจำไว้...”

น้ำตามืดบังดวงตาข้า ข้าคืบคลานเอื้อมมือรับกระบอกไม้ไผ่ผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ใต้แท่นกลอง เงื้อมอย่างเบาที่สุดเท่าที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะทำได้ ลมหายใจพ่นเป็นควันขาว บนปลายนิ้วมีเลือดซึมเพราะเสี้ยนไม้ แต่ข้าก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมา

“ถึงเวลาแล้ว”

นายทหารสั่งเสียงเย็น เขาผายมือ ดาบหลายสิบเล่มชักขึ้นพร้อมกัน เสียงโลหะจี่กับปลอกดาบดังสะท้อนกำแพงลานกว้าง

            ท่านแม่ข้ายืดตัวขึ้นสูงเปรียบเสาเรือน

“หากแผ่นดินนี้ต้องการเลือด ก็จงรับจากพวกเราไป แต่อย่าหวังว่าเวลาจะล้างความเท็จให้ใครได้”

นางหันกายมองท่านพ่อ ส่งยิ้มให้เขา ยิ้มของสตรีที่ไม่เคยกลัวอะไรเลยนอกจากกลัวว่าบุตรสาวของตนจะประสบกับภัยร้าย

“ชิงเหยา” นางเรียกข้าในลมหายใจแทบไม่กี่เส้น “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ก็...”

“ตึง!”

เสียงกลองศึก กลองเดียวกันที่ข้าซ่อนอยู่ใต้แท่นดังขึ้น สั่นสะเทือนไปถึงกระดูกสันหลังข้า ราวกับมีใครถลึงตาใส่ดวงจันทร์แล้วสั่งมันให้ลืมความเมตตา ดาบกวัดวาบ แสงคบเพลิงสาดเงาทหารยาวบนหิมะ เหล่าบ่าวไพร่ถูกผลักให้คุกเข่าก้มหน้า เสียงแหบพร่าของบทสวดสุดท้ายผสมกันเป็นหมอก

ข้าเม้มฟันแน่นจนได้กลิ่นเหล็กจากเลือดในปาก

“หยุดนะ!”

เสียงนี้ก็อีกเสียงหนึ่งที่ข้าจะจำชั่วชีวิต เสียงของผู้สวมผ้าคาดแขนลายมังกรคาบกลีบดอกท้อ เขายกมือ ดาบทั้งหลายค้างอยู่กลางอากาศ เขาเดินไปหยุดตรงหน้าท่านพ่อข้า ระยะเพียงหนึ่งฝ่ามือ

“แม่ทัพหลาน คนอย่างเจ้าสมควรตายบนสนามรบมากกว่ากลางลานหิมะขาวเช่นนี้”

เขาเอียงคอ มุมปากยกอย่างเย้ยหยัน “ทว่าเบื้องบนสั่งมาเช่นไร เราก็ต้องทำเช่นนั้น”

ท่านพ่อไม่ตอบ เขาเพียงเอื้อมมือจับมือท่านแม่ไว้แน่น นิ้วมือทั้งสองเกี่ยวกันเหมือนสรวงสวรรค์เกี่ยวชะตาคนสองคนไว้ก่อนโยนลงดงลวดหนาม

            ดาบหนึ่งฟาดลง เสียงเปียกปอนตามมาเหมือนผ้าชุบน้ำตกกระทบพื้นหิน ข้าหยุดหายใจโดยไม่ทันรู้ตัว หากแต่เสียงร้องก็ไม่อาจกั้นออกจากลำคอได้ มันติดอยู่ที่นั่น เจ็บจนชา ชาเสียจนหนาวลึกเข้าไปถึงไขกระดูก

เปลวคบเพลิงโบกสะบัดแรงขึ้นเหมือนพายุคลั่ง หรือข้าเห็นภาพสั่นจากน้ำตาตนเองกันแน่? ลมคืนนี้แหลมคม ส่องผ่านรอยแตกของแท่นกลองเข้ามาบาดแก้มของข้า บาดจนข้านึกว่ามีใครขีดคำบางคำลงบนใบหน้า คำว่า “ศัตรู!”

เพลี้ยง! คบเพลิงหนึ่งหล่นใส่ซุ้มประตูไม้แห้ง เปลวไฟลุกพรึ่บอย่างรวดเร็ว กลิ่นควันยางไม้และไขคบเพลิงฉุนทะลวงหลอดลม เปลวไฟวิ่งไปตามพนักบัวยาว ราวกับงูไฟกำลังเลื้อยรัดจวนที่ข้าเกิดและเติบโตมาทุกตารางนิ้ว ข้าเห็นเงาเด็กชายที่ร้องไห้เมื่อครู่ถูกดึงถอยไปด้านหลังอย่างแรง เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็แค่อีกไม่กี่ลมหายใจ

“เผา” นายทหารคนนั้นสั่งเพียงคำเดียว

คนของข้าพากันแตกตื่น กรีดร้องและวิ่งหนี แต่ประตูใหญ่ถูกปิดตาย โซ่เหล็กหนักกระแทกกันดังกราว ข้ากระชับกระบอกไม้ไผ่ในมือแน่น รู้สึกถึงปลายปิ่นหยกทิ่มกดเนื้อฝ่ามือ ความเจ็บแสบเล็ก ๆ นั้นเป็นเสมือนคำสั่งสอนที่ท่านพ่อทิ้งไว้

ข้าขยับกายช้า ๆ คืบคลานตามทางว่างด้านในแท่นกลอง กระบอกไม้ไผ่ถูกสอดเข้าช่องผนังอิฐที่ท่านพ่อเคยชี้บอกไว้เมื่อนานมาแล้ว เขาพูดตอนนั้นว่ามันเป็น เส้นทางลมหายใจของจวน หากไฟไหม้ให้คลานไปตามช่องนี้ มันจะพาไปสู่ทางลับใต้ดินที่ออกสู่ป่าริมลำธารได้

“ชิงเหยา รีบหนีไป...”

เสียงของท่านแม่เหมือนลอยมาตามควัน หรือเป็นเพียงความจำของข้าเองก็ไม่รู้ได้? ท่านแม่ชอบปกป้องข้าเสมอ เวลาที่เกิดลมพายุ ท่านแม่ก็มักจะบอกข้า

“ลูกรีบเข้าด้านใน เดี๋ยวแม่ตามไป”

ไฟลามมาถึงชายผ้าแท่นกลอง กลายเป็นแถบสีส้มที่ไล่กัดกินผ้าอย่างหิวโหย ข้าเบียดตัวไปตามช่องอิฐที่แคบจนซี่โครงเสียดแน่นกับผนังหนาวเย็น ความมืดเหมือนผ้าคลุมตาแต่กลิ่นควันช่วยชี้นำทาง อีกไกลเท่าไร ข้าไม่รู้ เพียงรู้ว่าทุกวินาทีด้านหลัง มีดาบกับไฟกำลังไล่ตามหลังคอของข้าอย่างกระหาย

กึก กึก เสียงถอนกลอนเหล็กดังขึ้นใกล้ ๆ จนข้าตัวแข็ง

“มีคนอยู่ใต้แท่น!”

เสียงของทหารนายหนึ่งตะโกน หัวใจข้ากระเด็นไปชนซี่โครง เหงื่อเย็นผุดพราวแม้อากาศจะหนาวจนปลายนิ้วชา ในวินาทีที่ข้าคิดจะหันกลับไปกัดแขนคนที่ยื่นมาคว้าตัว มือหนึ่งกลับแตะไหล่ข้าเบา ๆ จากด้านหน้า มือนั้นเย็นดุจน้ำแข็งที่ตักขึ้นจากลำธารกลางราตรี แต่แรงคงมั่นและเฉียบ ข้าเกือบเผลอส่งเสียงร้อง แต่เสียงนั้นมาก่อน

“อย่าส่งเสียง” มันเป็นเสียงของบุรุษ ต่ำ นิ่ง และเรีบยคมเหมือนคมมีดที่ไม่สะท้อนแสง

“ยังไม่ถึงคราวตายของเจ้า”

ข้าเห็นเพียงแววตาคู่หนึ่งในความมืด ดุจแสงจากโลหะเย็นหลังหน้ากากที่คนผู้นั้นสวมไว้ แววตานั้นไม่ใช่แววของผู้มาเผาจวน ไม่ใช่แววของพวกทหารที่ย่ำยีเกียรติของตระกูลหลาน แต่เป็นแววของผู้ที่จ้องรอจังหวะในความมืดอย่างชำนาญ เหมือนเสือที่ชะงักฝีเท้าไว้ข้างหนึ่งก่อนกระโจนเข้าใส่เหยื่อ

เงาบุรุษผู้นั้นขยับ เขาปัดก้อนอิฐช่องลมหายใจอีกแผ่นอย่างเงียบเชียบ พื้นดินด้านล่างเผยช่องว่างเท่าตัวเด็กให้ไถลลง ข้าหันกลับชั่วพริบตา เพียงทันเห็นเปลวไฟแผดเผาผิวไม้ ลมหายใจของทหารสองสามคนกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ เงาเงื้อมมือราวจะคว้าผมของข้า

“ไป” เสียงนั้นสั้นและหนักแน่น น้ำเสียงบ่งบอกว่ามันไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำตัดสินชะตา

ข้ากัดฟันแน่น โผกายลงไปในช่องดินแคบ ร่างกายถลาลงสู่ความเย็นเฉียบของดินชื้น เสียงโลกด้านบนถูกอุ้มไว้ด้วยชั้นพื้นหนา เสียงดาบ เสียงร้อง เสียงไฟ กลายเป็นทำนองมัวหมองที่ไกลออกไปทุกลมหายใจ ข้าพลิกตัวมองขึ้น ช่องนั้นถูกก้อนอิฐดันกลับเข้าที่เงียบกริบ มีเพียงช่องลมเล็กกระจิ๋วที่ลมหายใจพอลอด

หัวใจยังเต้นแรงจนเจ็บซี่โครง กระบอกไม้ไผ่ในอกเสื้อทิ่มกดหน้าอกจนเจ็บ ข้ากำมันแน่นอย่างหวงแหน ปิ่นหยกของท่านพ่อ และกระดาษบันทึกบาง ๆ แผ่นนั้นยังอยู่

ในความมืดมิด แสงหนึ่งวาบขึ้น แสงจากแท่งไฟเล็กที่บุรุษผู้สวมหน้ากากจุดด้วยนิ้วเดียว ส่องให้เห็นทางอิฐโค้งต่ำทอดไปข้างหน้า เขาก้มศีรษะลงน้อย ๆ มองหน้าข้า แล้วเสียงต่ำเย็นนั้นก็กระซิบอีกครั้ง

“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยากมีโอกาสทวงความยุติธรรมกลับคืน”

ข้ากลืนน้ำลายลงคอ มันขมและเค็มเหมือนเลือด ข้าค้อมศีรษะช้าๆ ไม่ใช่โค้งให้เขา แต่โค้งให้คำสาบานที่เพิ่งเกิดในใจตนเอง

ข้าจะจำทุกสิ่งทุกอย่างในคืนนี้ให้ชัด ผ้าคาดแขนลายมังกรคาบกลีบดอกท้อ กลิ่นควันจากไม้กลองศึก เสียงดาบที่ฟาดลงบนชีวิตของคนสกุลหลาน และเสียงของบุรุษผู้ที่บอกว่าข้ายังไม่สมควรตาย

ข้าจะจำไว้ เพื่อวันหนึ่งจะได้ถามโลกนี้กลับว่า ใครกันแน่ที่สมควรตาย!

ข้าย่อตัวคลานตามแสงเล็กนั้นไปในอุโมงค์มืด ด้วยหัวใจที่เริ่มแข็งกระด้างขึ้นในทุกจังหวะเต้น อย่างคนที่เพิ่งก้าวเท้าจากวัยเยาว์สู่หุบเหวของโชคชะตา โดยทิ้งเสียงร้องไห้คร่ำครวญถึงบ้านเกิดไว้เบื้องหลัง ใต้เงาจันทร์เพ็ญสีเงินที่ไม่มีวันช่วยใครได้เลย

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
24 Chapters
ตอนที่ 1 คืนแห่งการล้างบาง
หิมะต้นฤดูโปรยเบาเหมือนขี้เถ้าจากเตาใหญ่ ลอยเรี่ยหลังคากระเบื้องดำของจวนสกุลหลาน แล้วค่อยๆ ทับถมจนพื้นลานขาวโพลน เสียงกลองศึกที่เคยข่มศัตรูในสนามรบกลับเงียบงัน ราวกับวิญญาณนักรบหลายร้อยนายที่เคยยืนเรียงแถวตรงนี้ต่างรู้ดี คืนเพ็ญนี้ ไม่ใช่ค่ำคืนแห่งชัยชนะ แต่เป็นคืนแห่งล้างบางข้าคือหลานซูเหยา บุตรีแม่ทัพหลาน เด็กหญิงผู้ตัวเล็กกว่าความยาวดาบของบิดา คืนนี้ ข้าซ่อนตัวงอตัวอยู่ใต้แท่นกลองศึกที่ท่านพ่อเคยเคาะเรียกระดมพล แผ่นไม้เย็นเฉียบซึมความชื้นจนกลิ่นยางไม้ระเหยฉุนจมูก เสียงฝีเท้าหนัก สายลมตีชายเสื้อเกราะ เสี้ยนโลหะขูดกันจนเกิดเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างในยามนี้กำลังสอดประสานเป็นบทเพลงสั้น ๆ ที่โหดเหี้ยม“นำตัวคนของตระกูลหลานออกมาให้หมด!”เสียงนายทหารกรมอาญาร้องลั่น เสียงนั้นชัดเจนราวคมมีดที่เฉือนผิว ข้าเห็นผ่านช่องไม้เล็ก ๆ ถึงธงหลวงที่สะบัดในแสงคบเพลิง และผ้าคาดแขนของทหารที่ปักลายมังกรคาบกลีบดอกท้อมังกรกับดอกท้อ เหตุใดต้องเป็นลายนี้?บิดาข้า แม่ทัพหลาน ออกมายืนอยู่กลางลาน เขาไม่ได้สวมเกราะทำศึก แต่สวมเสื้อคลุมผ้าแพรสีดำ ก้าวเท้านิ่งสง่าเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่ก้าวลงสนามรบ“ข้าหลานหย่งเฉิง
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 2 เลือดในคืนเพ็ญ
อุโมงค์ใต้ดินทอดยาวราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด ดินชื้นเย็นซึมผ่านชายเสื้อผ้าผิวกายจนความหนาวกัดลึกเข้าไปถึงกระดูก เสียงหยดน้ำดังติ๋ง ๆ เป็นจังหวะเดียวที่บอกข้าว่าเวลายังเดินอยู่ มือข้ายังจับกระบอกไม้ไผ่ไว้แน่น จนข้อนิ้วขาวราวกระดูกบุรุษสวมหน้ากากเงินเดินนำหน้า เขาไม่พูด ไม่หันกลับมามอง แต่ก้าวเท้าอย่างมั่นคงราวกับรู้ทุกก้อนดินในทางนี้ เขาเป็นเพียงเงาดำสูงใหญ่ที่คั่นระหว่างข้ากับความมืดมิด หากไม่มีเขา ข้าคงไม่รู้เลยว่าข้างหน้าเป็นเส้นทางสู่ความรอดหรือเหวลึกแห่งความตาย“เจ้าชื่ออะไร” เสียงต่ำเย็นนั้นดังขึ้นในที่สุด ข้าชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คาดว่าจะถูกถามเช่นนี้“ซูเหยา” ข้าตอบด้วยเสียงแผ่ว แทบจะกลืนหายไปในลมหายใจของตัวเองเขาพยักหน้าเพียงน้อย แต่ไม่พูดอะไรอีก นอกจากเดินต่อไปจนกระทั่งแสงรำไรสีเงินสาดลงจากช่องเปิดด้านบน กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นน้ำเย็นของลำธารลอยมาตามลม เป็นสัญญาณว่าเรากำลังใกล้ทางออกเขาใช้มือข้างเดียวดันฝาปิดไม้ขึ้นอย่างไร้เสียง ลำแสงจากดวงจันทร์เพ็ญส่องลงมากระทบหน้ากากเงินจนแวววาววาบในความมืด ชั่ววินาทีนั้น ข้ารู้สึกว่าหน้ากากนั้นไม่ใช่เพียงโลหะปิดบังใบหน้า แต่เป็นเกราะป้องกั
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 3 หน้ากากเงิน
หิมะยามรุ่งอรุณโปรยบางราวผงแป้งจากฟ้า แสงเช้าวันใหม่สะท้อนเงาบนผิวหิมะเป็นประกายเงินวับ แผ่นดินดูสงบเย็น แต่ในอกข้ายังคงคุกรุ่นด้วยภาพเปลวไฟที่เผาจวนตระกูลหลานไปทั้งจวนม่อเฉินหยุดยืนกลางทางดินแคบ ๆ ระหว่างป่าสน เขาหันกลับมา พลิกบางสิ่งออกมาจากถุงเครื่องมือแล้วส่งมาให้ข้า หน้ากากโลหะบางเฉียบ สลักลวดลายดอกท้อเพียงราง ๆ บนกรอบแก้มโลหะ สีเงินซีดสะท้อนแสงเช้าวับวาว“สวมมันซะ” เสียงเขาเย็นชัด ไม่มีน้ำหนักบังคับ แต่เต็มไปด้วยแรงที่ไม่อาจปฏิเสธข้ามองหน้ากากนั้น เย็นเยียบในมือ หนักไม่มากแต่กลับเหมือนมีพลังบางอย่างกดทับเข้าไปถึงหัวใจ ข้าเงยหน้ามองเขา เขายังคงสวมหน้ากากเงินเต็มใบ เงาสีขาวเงินสะท้อนสายตาข้าเหมือนกำลังทดสอบ“ทำไมต้องสวม” ข้าถามเสียงแผ่วแต่แน่วแน่“เพราะตั้งแต่คืนนี้ เจ้าจะไม่ใช่คนของตระกูลหลานอีกต่อไป แต่เป็นเงาในความมืด หากเจ้ายังอยากรอด และอยากให้ศัตรูจดจำชื่อเจ้า เจ้าก็ต้องซ่อนใบหน้าเสียก่อน”ข้าหลับตาลงเพียงชั่วอึดใจ ก่อนยกหน้ากากขึ้นแนบใบหน้า ความเย็นของโลหะซึมเข้าสู่ผิวจนขนลุกชันทั่วร่าง ราวกับความไร้เดียงสาสุดท้ายถูกดูดกลืนหายไปเมื่อข้าสวมมัน ม่อเฉินมองข้าอยู่ครู่หนึ่ง
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 4 เด็กหญิงกับดาบ
เสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง ๆ สะท้อนก้องทั่วหุบเขาราวกับฟ้าร้องในยามเช้า หิมะที่เกาะตามกิ่งสนสั่นร่วงลงมาเป็นสายขาวพราว ตกกระทบใบหน้าและหน้ากากเงินบางที่ข้าสวมอยู่ เย็นเฉียบจนแสบผิว แต่กลับไม่สามารถดับไฟที่คุกรุ่นอยู่ในใจได้ม่อเฉินโยนดาบยาวเล่มหนึ่งมาทางข้า ด้ามไม้เรียบไม่มีลวดลาย โลหะที่ยังไม่ขัดจนแวววาวสะท้อนเพียงแสงอาทิตย์บางเบา ดาบเล่มนั้นหนักจนข้าต้องถอยหลังหนึ่งก้าวเมื่อรับมันไว้เต็มสองมือ“จับให้มั่น” เขากล่าวเสียงเรียบเย็น “ดาบไม่ใช่ของเล่น ดาบคือเส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย หากเจ้ากำไม่แน่น วันหนึ่งมันจะย้อนตัดคอเจ้าเอง”ข้าก้มมองดาบในมือ ใบมีดยาวกว่าร่างข้าที่บอบบาง ข้ากัดฟันแน่น สูดหายใจลึกแล้วตั้งท่าตามที่เคยเห็นบิดาเคยสอนทหาร แต่ก็รู้ดี ท่านพ่อไม่มีโอกาสสอนข้าด้วยตนเองอีกแล้ว“ฟันลงมา” ม่อเฉินสั่งสั้น ๆข้ารวบรวมแรงทั้งหมดที่มี เหวี่ยงดาบลงใส่ท่อนซุงที่ตั้งอยู่ตรงหน้าฉับ!คมดาบฝังเพียงครึ่งเดียว ไม่สามารถผ่าซุงนั้นออกเป็นสองส่วนได้ มือของข้าสั่นจนแขนชา ม่อเฉินก้าวเข้ามาใกล้ ดึงดาบออกอย่างง่ายดายแล้ววางกลับในมือข้าใหม่“ไม่ใช่ใช้แรงอย่างบ้าคลั่ง แต่ต้องใช้ใจที่แน่วแน่และ
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 5 กลับสู่วังหลวง
เสียงระฆังยามเช้าจากกำแพงวังดังสะท้อนก้องไปทั่วนคร ราวกับจะปลุกให้ผู้คนทั้งเมืองตื่นขึ้นพร้อมกัน ประตูหลวงสูงตระหง่านถูกเปิดทีละบาน เสียงบานเหล็กเสียดสีกับหินดังครืดคราดประหนึ่งคำรามของปีศาจหญิงสาวในชุดนางกำนัลผ้าฝ้ายสีน้ำหมึกก้าวเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มคนรับใช้ใหม่ที่ถูกส่งเข้าสู่วังหลวง นางก้มหน้า เส้นผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ใต้เรือนผมที่ตกลงมาข้างแก้มคือดวงตาคมที่ผ่านความตายและไฟนรกมาแล้ว นางมีชื่อใหม่ว่า “อวี้เหยา” แต่ภายใต้เงาชื่อเดิมของนางคือหลานซูเหยา ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากการฆ่าล้างตระกูลหลานในคืนเดือนเพ็ญครานั้นม่อเฉินเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง เขาส่งนางเข้ามาในวังหลวงในฐานะนางกำนัลฝ่ายดนตรี เพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้ง่าย นักกำนัลกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ถูกคัดเลือกมาเพื่อปรนนิบัติด้านบรรเลงพิณ ขับร้อง หรือคอยรับใช้ในงานพิธีสำคัญ ทั้งที่จริงแล้วภารกิจที่แท้จริงก็คือ ลอบสังหารขุนนางคนหนึ่ง ชายผู้มีส่วนเกี่ยวพันกับการฆ่าล้างตระกูลหลานข้าก้าวตามฝูงนางกำนัลไปอย่างสงบ แต่หัวใจกลับเต้นแรงยิ่งกว่าตอนจับดาบครั้งแรก ทุกฝีเท้าบนลานศิลาเหมือนตอกย้ำว่า ข้ากำลังเหยียบย่างเข้าไปในรังมังกร
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 6 องค์ชายเหยียนเจิ้ง
เสียงฆ้องย่ำเช้าในวังดังสะท้อนก้องไปทั่วท้องพระราชวัง ข้าก้าวเท้าเข้าไปยังท้องพระโรงรองในฐานะนางกำนัลฝ่ายใน เงียบงันราวกับเงาไร้ตัวตน ทว่าสายตากลับกวาดมองรอบกายอย่างระมัดระวัง วันนี้เป็นวันที่เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จะมาถวายเครื่องบรรณาการแด่องค์จักรพรรดิ เป็นพิธีที่ทุกคนจับตามอง เพราะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอำนาจและชื่อเสียงแก่ตระกูลของตน ในหมู่ขุนนางมากหน้าหลายตา ข้ารู้ดีว่าคนเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างตระกูลหลานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง“ทุกใบหน้า ข้าจะจารึกไว้ในความทรงจำ”พลันเสียงขันทีก็ประกาศก้อง “องค์ชายเหยียนเจิ้ง เสด็จ!”หัวใจข้าสะดุ้งวาบโดยไม่รู้ตัว สายตาเบนไปตามเสียงประกาศ ประตูบานใหญ่เปิดออกช้า ๆ ภายใต้แสงทองอ่อนยามเช้า เงาร่างสูงสง่างามก้าวเข้ามาในท้องพระโรง ใบหน้าขององค์ชายเหยียนเจิ้งประดับด้วยความสงบเยือกเย็น ริมฝีปากบางไม่เผยยิ้ม แต่แววตาคมลึกนั้นกลับเหมือนกำลังมองทะลุสิ่งใดบางอย่าง ทุกสายตาของเหล่านางกำนัลและขันทีจับจ้องไปที่พระองค์ราวกับต้องมนต์สะกด ข้ากลับเป็นคนเดียวที่ยืนนิ่ง รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในหัวใจตนเองดวงตานั้น ข้าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน...องค์ชายเหย
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 7 เงาที่ไม่อาจหลบหนี
ยามเช้าของวังหลวงถูกโอบล้อมด้วยม่านหมอกจาง แสงอาทิตย์ลอดผ่านยอดหลังคามังกรทองระยับจับตา ข้าก้าวเดินไปตามระเบียงยาวของตำหนักรับใช้ พลางก้มหน้าถือพานชาอย่างระวัง แต่ใจกลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ทุกฝีก้าวยังคงสะท้อนถ้อยคำขององค์ชายเหยียนเจิ้งเมื่อคืนวาน“ข้าจะจับตาดูเจ้า”คำพูดเรียบง่าย หากกลับหนักหน่วงยิ่งกว่าดาบคม ข้าไม่รู้เลยว่าเป็นเพียงการข่มขู่ หรือเป็นการเตือนลึก ๆ ที่ซ่อนความหมายบางอย่างเอาไว้“อวี้เหยา เจ้าทำอะไรเหม่อ ๆ อีกแล้วหรือ”เสียงกระซิบของนางกำนัลรุ่นพี่ดังขึ้นด้านหลังข้าสะดุ้ง รีบยกยิ้มกลบเกลื่อน “เปล่าหรอก ก็เพียงแค่คิดเรื่องงานวันนี้เท่านั้น”นางหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “เจ้าจะได้ไปตำหนักเยว่หยู วันนี้มีการจัดดนตรีถวายพระสนม ข้าได้ยินว่าองค์ชายห้าก็จะเสด็จไปร่วมด้วย”หัวใจข้าสะดุ้งวาบแทบตกพานชา แต่ริมฝีปากกลับฝืนตอบรับสั้น ๆ“จริงหรือ”ยามบ่าย เสียงพิณขับกล่อมดังคลอไปทั่วตำหนักเยว่หยู พระสนมเอกกับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่พากันนั่งเรียงราย ข้าเป็นเพียงนางกำนัลเล็ก ๆ คอยเดินยกน้ำชาอยู่ข้างหลัง แต่ในทุกย่างก้าว ความรู้สึกแปลกประหลาดกลับกดทับอยู่กลางอก และแล้วเสียงทุ้มเย็นข
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 8 พันธนาการในหัวใจ
สายลมอ่อนพัดพาใบเหมยปลิดปลิวกลางลานกว้างของตำหนักบรรณาการ รุ่งอรุณวันใหม่ค่อย ๆ เคลื่อนมาถึง แต่ภายในใจของข้ากลับยังว้าวุ่นไม่คลาย หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ที่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาใกล้เกินกว่าที่ควรจะเป็นข้าในนามอวี้เหยากำลังก้มหน้ากวาดพื้นด้วยท่าทีเรียบง่ายเหมือนนางกำนัลทั่วไป แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับถูกพันธนาการด้วยความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในใจ“ทำไมเขาจึงจำทำนองเพลงนั้นได้? หรือว่าเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลหลานของข้ากันนะ?”คำถามนี้กัดกินหัวใจจนแทบไม่อาจหายใจเต็มปอด ข้าไม่ควรหวั่นไหว ไม่ควรตั้งคำถาม แต่แววตาที่เขามองมาเมื่อคืน มันไม่ใช่สายตาของศัตรูเลยเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ข้าหยุดกวาดกะทันหัน ก่อนจะเงยหน้าช้า ๆ องค์ชายเหยียนเจิ้งปรากฏกายอยู่ตรงนั้นในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกรเงิน ความสง่างามและอำนาจแผ่ซ่านจนแม้แต่ลมก็หยุดนิ่ง“นางกำนัลอวี้เหยา”เขาเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมจับจ้องข้าไม่คลาด หัวใจข้าสะท้าน ทำไมทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อ ข้าถึงรู้สึกเหมือนเสียงนั้นแทงทะลุถึงวิญญาณ?“เพคะ องค์ชายมีสิ่งใดให้รับใช้หรือไม่เพคะ”ข้าคุกเข่าลง แสร้งทำเป็นนางกำนัลต่ำต้อยไร้พิษสง องค์ช
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 9 สายใยที่มิอาจตัดขาด
ยามเช้าวันใหม่ ฟ้ายังหม่นด้วยหมอกขาวที่ปกคลุมทั่วเขตวัง ข้า “อวี้เหยา” หรือ “หลานซูเหยา” ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้นามปลอม ค่อย ๆ เดินเข้าสู่ตำหนักฝ่ายในพร้อมกับนางกำนัลคนอื่น ๆ เพื่อจัดเตรียมเครื่องหอมแต่หัวใจข้า ยังไม่อาจสงบลงได้เลย ภาพเมื่อคืนที่องค์ชายเหยียนเจิ้งเอื้อนเอ่ยถามข้าเรื่องบทเพลงยังตรึงแน่นอยู่ในใจ น้ำเสียงเขาแฝงทั้งความสงสัยและความอ่อนโยนที่ไม่ควรมีต่อข้า“เจ้ามิใช่คนธรรมดา บทเพลงนั้นมิใช่ผู้ใดก็เล่นได้”ถ้อยคำนั้นราวกับพันธนาการที่กักขังหัวใจของข้าให้ดิ้นรนไม่หลุดพ้น ขณะกำลังจะวางเครื่องหอมลงบนโต๊ะ ข้ากลับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง“อวี้เหยา เจ้ามากับข้า”เป็นเสียงของขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดองค์ชายเหยียนเจิ้ง!เหล่านางกำนัลหันมามองข้าด้วยแววตาประหลาด มีทั้งความอิจฉาและสงสัย แต่ข้าเพียงก้มหน้าน้อมรับ แล้วเดินตามขันทีไปโดยไม่กล้าปริปากถาม ทางเดินทอดยาวไปยังตำหนักจงซิ่วที่สงบเงียบ บรรยากาศราวกับถูกแช่แข็ง ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัว แต่ยิ่งใกล้ถึงหัวใจยิ่งเต้นแรงเมื่อก้าวเข้าสู่ตำหนัก ข้าเห็นเขา องค์ชายเหยียนเจิ้ง ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
ตอนที่ 10 แผนร้ายในเงามืด
ลมหนาวยามรุ่งสางพัดผ่านลานกว้าง เสียงกลองยามดังขึ้นสามครา ข้ารีบก้าวออกจากเรือนพักพร้อมถาดน้ำชาสำหรับถวายเช้าแก่เจ้านาย บรรยากาศในตำหนักวันนี้กลับผิดปกติอย่างยิ่ง นางกำนัลหลายคนเดินไปมาอย่างร้อนรน ทั้งยังกระซิบกระซาบถึงเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าเงี่ยหูฟังและจับความได้เพียงว่า มีคนพบร่างนางกำนัลคนหนึ่งล้มหมดสติอยู่หลังตำหนัก สภาพบาดเจ็บราวกับถูกทำร้ายหัวใจข้ากระตุกวาบทันที เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะในวังหลวง ทุกบาดแผลและทุกความผิดปกติอาจถูกโยงเข้ากับการแย่งชิงอำนาจได้ทั้งสิ้น เมื่อข้าวางถาดชาลงในห้องโถง องค์ชายเหยียนเจิ้งก็เดินออกมาพอดี ใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคมดุเต็มไปด้วยความคิดคำนวณ“เมื่อคืนเจ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่”เขาเอ่ยถามโดยไม่มองตรงมา แต่ข้ากลับรับรู้ได้ว่าคำถามนี้มุ่งตรงถึงข้าโดยเฉพาะ ข้าก้มศีรษะ“หม่อมฉันไม่ได้ยินสิ่งใดเลยเพคะ”เสียงตอบเรียบง่าย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หากมีใครพยายามโยนความผิดให้ผู้หนึ่งผู้ใด ข้าอาจถูกดึงเข้าไปพัวพันได้ทุกเมื่อ ไม่นาน ขันทีอาวุโสเดินเข้ามาคุกเข่ากราบ รายงานเสียงหนักแน่น“องค์ชาย มีผู้พบหลักฐานเป็นผ้าเ
last updateLast Updated : 2025-08-24
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status