“งั้นผมขออนุญาตทำให้คุณป้าลองใช้ดูนะครับ” เสียงทุ้มของสายเมฆดังเข้ามาถึงในห้องนอน ทำให้ข้าวหอมที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องงัวเงียเล็กน้อย เธอพลิกตัวบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงนอนไม้เก่า ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก
‘เจ้ามิจฉาชีพนั่นมาหลอกอะไรคุณแม่อีกแล้วเนี่ย ดีนะที่ฉันตื่นมาพอดี ไม่งั้นมีหวังแม่ต้องโดนหลอกจนหมดตัวแน่ ๆ !’ ข้าวหอมคิดอย่างขุ่นเคือง เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอก็รีบเปิดประตูห้องพรวดพราดออกไปแทบจะทันที ในห้องครัว แม่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเช้า ส่งกลิ่นหอมของข้าวต้มและกับข้าวอ่อนๆ คลุ้งไปทั่ว ส่วนสายเมฆก็กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ ๆ เตาไฟ “ทำอะไรกันอยู่เหรอคะแม่?” ข้าวหอมถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ดังพอที่จะให้ชายหนุ่มอีกคนได้ยิน ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องเขม็งไปยังสายเมฆอย่างไม่วางตา แววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจฉายชัดเจนจนใครก็ดูออก ‘ยัยเด็กบ้านี่… มองฉันแบบนี้อีกแล้วนะ! ฉันกำลังช่วยแม่เธออยู่นะเนี่ย!’ สายเมฆไม่ได้ตอบโต้คำถามของข้าวหอม เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำที่ตากเนื้อแห้งต่อ เพียงแต่ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างอดกลั้น ศจี จึงหันมาตอบลูกสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พอดีแม่ไปตลาดได้เนื้อมาเยอะเลยลูก ว่าจะทำเนื้อแห้งเก็บไว้กินนาน ๆ แต่วันนี้แม่ต้องรีบออกไปช่วยบ้านป้าแจ่มทำนาน่ะ ตากทิ้งไว้ก็กลัวหมาจะมากินเสียหมด” “คุณแม่ฝากหนูช่วยดูก็ได้นี่นา” ข้าวหอมเอ่ยปากเสนอตัวทันที สายตายังคงไม่ละไปจากสายเมฆ พลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างท้าทาย ศจีมองหน้าข้าวหอมอย่างไม่น่าเชื่อ สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย ‘ลูกฉันคงเพี้ยนไปแล้วจริง ๆ เมื่อก่อนไม่ใช่ไม่เคยขอร้องให้นั่งเฝ้าเนื้อตากแห้ง แต่ขอไปทีไรก็ตอบกลับมาว่าขี้เกียจทุกที พอกลับมา เนื้อก็โดนหมากินเกือบหมดทุกครั้งไป’ เหมือนข้าวหอมจะรับรู้ความคิดของศจีได้โดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงความทรงจำของเจ้าของร่างนี้ที่เธอเข้ามาสถิต เธอจึงตระหนักได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างนี้คงเป็นเด็กที่ไม่เอาไหนจริง ๆ อย่างที่แม่คิด “ถ้าแม่ไม่ไว้ใจให้หนูดูเนื้อ แม่ก็ให้เจ้านี่ดูให้ก็ได้นี่คะ อาศัยนอนบ้านเราฟรี ๆ ก็ต้องตอบแทนบุญคุณบ้างสิคะ” ข้าวหอมพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น สายตาเหลือบมองสายเมฆอย่างไม่เป็นมิตร “เอ๊ะ! หรือเขาจะรีบเดินทางต่อไปแล้ว? งั้นหนูเฝ้าได้ค่ะแม่! แม่ไว้ใจหนูได้นะครั้งนี้” แค่คิดว่าเจ้ามิจฉาชีพหน้าหล่อคนนี้จะไปจากบ้านเธอ อารมณ์ของเธอก็ดีขึ้นมาทันทีอย่างน่าประหลาด “ข้าวหอม!!!” ศจีเอ่ยเสียงดังด้วยความตกใจและไม่พอใจในกิริยาของลูกสาว “ลูกทำไมเรียกผู้มีพระคุณว่า ‘เจ้านี่’ ได้ยังไง เอาใหญ่แล้วนะเราน่ะ เขาแก่กว่าลูกนะ ลูกต้องเรียกเขาว่า พี่ หรือ น้า ก็ได้! แล้วก็สายเมฆเขายังไม่มีที่ไป แม่กับพ่อปรึกษากันแล้วว่าจะให้อยู่ที่บ้านเราไปก่อน” ศจีพูดรวดเดียวจบ ดวงตาคู่สวยจ้องมองลูกสาวอย่างตำหนิ ก่อนจะหันไปทางสายเมฆพร้อมรอยยิ้มขอโทษแทนลูก “เดี๋ยวหนูไปเก็บของในห้องเก็บของออกหน่อยนะลูก แม่จะให้เขานอนห้องนั้น” กล่าวจบ ศจีก็หันกลับไปทำอาหารเช้าต่อโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ จากข้าวหอม ข้าวหอมเดินฮึดฮัดออกไปเก็บของด้วยท่าทีไม่พอใจ และไม่ได้ลงมาทานอาหารเช้ากับพ่อแม่ของเธอ ความขุ่นเคืองเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นในใจเธอ เพราะรู้สึกว่าแม่เข้าข้างคนอื่น หลังจากที่พ่อกับแม่ของเธอออกไปที่นาของป้าแจ่มแล้ว ข้าวหอมก็ค่อย ๆ ย่องออกมาจากห้องของเธออย่างเงียบเชียบ เพื่อแอบดูว่าสายเมฆกำลังทำอะไรอยู่ เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้สายเมฆจากทางด้านหลัง และสิ่งที่เธอเห็นทำให้เธอประหลาดใจ สายเมฆกำลังนำมุ้งเก่า ๆ ที่ผ่านการซักและตากจนแห้งแล้ว มาประกอบเข้ากับโครงไม้ไผ่เป็นชั้น ๆ รูปร่างของมันคล้ายกับที่ตากเนื้อที่วางขายอยู่ในแอปพลิเคชันช้อปปิ้งออนไลน์ที่เธอเคยเห็นแม่บ้านซื้อมาใช้ 'ว่าแต่ทำไมเจ้าบ้านี่ถึงทำออกมาเหมือนเป๊ะเลยล่ะ' ข้าวหอมคิดในใจ 'หรือว่าเจ้านี่ก็ฉลาด? แต่ดูจากหน้าก็ไม่น่าใช่... หรือว่าเจ้านี่ก็ย้อนเวลามาเหมือนเรา? ถึงมันจะเหลือเชื่อ แต่เรายังย้อนเวลามาได้ เจ้านี่ก็อาจจะมาได้ เพราะจะว่าไปแล้วเจ้านี่ก็ดูไม่เหมือนคนในยุคนี้เท่าไหร่' ข้าวหอมคิดวนไปวนมา ตีกับความคิดของตัวเองอย่างสับสน หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก ข้าวหอม ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาสายเมฆที่กำลังง่วนอยู่กับการสร้างสิ่งประดิษฐ์จากมุ้งและไม้ไผ่ “นี่… นายอยากอยู่บ้านนี้เหรอ?” ข้าวหอมเอ่ยถามเสียงจริงจัง ดวงตาจับจ้องไปที่สายเมฆอย่างไม่วางตา “ฉันจะยอมให้นายอยู่ ถ้านายตอบความจริงฉันมา แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าโกหกแม้แต่นิดเดียว นายจะอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความสุขแน่! ฉันจะทำทุกทางให้พ่อกับแม่ไล่นายไป แต่ถ้านายตอบความจริง ฉันจะยอมสงบศึกกับนายเป็นการชั่วคราว” สายเมฆเงยหน้าขึ้นมอง แล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพตามที่ศจีเคยบอกไว้ “ครับ น้องอยากถามอะไร?” เขาเลือกใช้คำว่า 'น้อง' เพื่อกันท่าไม่ให้ข้าวหอมเรียกเขาว่า 'น้า' ซึ่งคงจะฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ข้าวหอมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยที่เขาเรียกเธอว่า 'น้อง' แต่ช่างเถอะ… ในเวลานี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ “ฉันเป็นคนจากอนาคตที่ย้อนเวลากลับมา” ข้าวหอมเอ่ยออกมาอย่างไม่รีรอ เธอคิดมาดีแล้ว เธอเป็นคนชัดเจน หากเขาไม่เชื่อและคิดว่าเธอเพี้ยนก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ที่บ้านเธอก็คิดว่าเธอเพี้ยนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเขามีชะตาเช่นเดียวกับเธอ อย่างน้อยเวลาเธอต้องการทำอะไรบางอย่าง ก็สามารถให้เขาเป็นคนลงมือแทนได้ โดยที่พ่อกับแม่ไม่รู้สึกว่าเธอแปลกประหลาด และที่สำคัญกว่านั้น อีกอย่างพวกเขาก็จะได้ช่วยเหลือกัน เพื่อพลิกฟื้นฐานะทางบ้านให้กลับมาดีได้เหมือนที่เธอเคยเป็น สายเมฆตกใจที่จู่ ๆ ข้าวหอมก็โพล่งเรื่องนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ‘ช่างไม่กลัวคนอื่นจะคิดว่าเพี้ยนเลยหรือไง?’ เขานึกในใจ มันเป็นครั้งแรกที่สายเมฆรู้สึกว่าข้าวหอมจริงจังและหากเขาโกหกว่าไม่ได้มาจากอนาคตเธอคงรังควานเขาจนได้ออกจากบ้านนี้แน่ ๆ เขาใช้ความคิดอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาจะไม่บอกเธอว่าเขาคือเทวดาที่ทำให้เธอกลับมาที่นี่ แต่จะยอมรับกับเธอว่ามาจากอนาคตเช่นกัน เพราะอย่างน้อยเธอก็จะได้สงบศึกกับเขาชั่วคราว เขาจะได้ช่วยเหลือให้เธอและครอบครัวกลับมามั่งคั่งดังเดิม แล้วเขาก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตสบายบนสวรรค์เสียที “ใช่… ฉันย้อนเวลามา” สายเมฆแสร้งทำเป็นดีใจจนออกนอกหน้า “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอก็เป็นเหมือนฉัน ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่มีคนย้อนเวลามาเหมือนกัน!” “อย่าเพิ่งดีใจไป!” ข้าวหอมรีบเบรกอารมณ์ของสายเมฆทันที “ถึงจะย้อนอดีตมาเหมือนกัน แต่นายอย่าลืมนะว่าตอนนี้ นายอาศัยอยู่ที่บ้านฉัน ดังนั้นเรามาทำข้อตกลงกัน” “ได้ๆ” สายเมฆรีบตอบรับ “น้องข้าวหอมจะกำหนดข้อตกลงอะไรมา พี่จะทำตามหมด” “อย่างแรก เลิกเรียกฉันว่าน้อง” ข้าวหอมรีบตัดบทเสียงแข็ง “ฉันเป็นลูกคนเดียวและไม่คิดจะมีพี่ชาย” “แต่แม่ข้าวหอมบอกให้ข้าวหอมเรียกผมว่าพี่หรือน้านี่นา… หรือน้องข้าวหอมจะให้ผมเรียกว่า หลานข้าวหอม ดีล่ะ?” สายเมฆแกล้งยียวนข้าวหอมกลับไป “อีตาบ้า! อย่ามาเรียกฉันว่าหลานนะ! ปู่ชั้นไม่มีลูกอย่างนายหรอก!” ข้าวหอมทำปากยู่ใส่ชายหนุ่มอย่างขัดใจ “เอางี้ นายก็เรียกฉันว่า ข้าวหอม ตามปกติ ส่วนฉันก็จะเรียกนายว่า พี่ ละกัน!” สายเมฆเห็นข้าวหอมทำท่าทางงอน ๆ พลันเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ ‘แปลกจังแฮะ… ทำไมถึงรู้สึกว่าเวลายัยนี่โมโหแล้ว น่ารักดี’ หลังจากนั้นข้าวหอมก็บอกกฎและหน้าที่ต่าง ๆ ของสายเมฆเวลาอยู่ในบ้านอย่างละเอียด ซึ่งสายเมฆก็ตกปากรับคำทุกประการ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งคู่ก็กลับไปช่วยกันทำที่ตากเนื้อแห้งกันต่อหลังจากเปิดร้านในกรุงเทพฯ ได้เพียงสามปี ร้านเสื้อผ้าของข้าวหอ ก็โด่งดังในหมู่ชนชั้นสูงอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง รวมถึงมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังอีกด้วยส่วนโรงงานที่รุจน์และศจี พ่อแม่ของเธอดูแลก็ขยายใหญ่โต จนต้องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ส่วนโรงงานเดิมถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่ผลิตเสื้อผ้าสำหรับร้านของ แก้ว ซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานกับธงแล้วข้าวหอมกลายเป็นสาวเนื้อหอมประจำเมืองหลวง ทั้งจากรูปร่างหน้าตา กิริยาวาจาที่งดงาม และรสนิยมการแต่งกายอันโดดเด่น ภาพของเธอปรากฏตามหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่าวซุบซิบเรื่องหนุ่มไฮโซ ดารา ที่พากันมาขายขนมจีบเธอไม่ขาดสายสายเมฆมองดูความสำเร็จของครอบครัวข้าวหอมและทุกคนที่เขาเคยอยู่ด้วย เขารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง ‘นี่คงถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วสินะ’ เขาพึมพำถามตัวเองในใจ“ใช่แล้ว! เจ้าบื้อ!” เสียงดังมาจากด้านหลังสายเมฆ ทำให้เขาต้องหันไปมอง ก็พบว่าพายุ เทวดาผู้คุมกฎของเขายืนอยู่ตรงนั้น“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมดเลย” สายเมฆบ่น “แล้วท่านมาทำไมตอนนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”“ก็มาหานายนั่นแหละ” พายุตอบพร้อมรอ
ที่ร้านตัดเสื้อของข้าวหอม หลังจากลูกค้าช่วงเช้าที่คึกคักทยอยกลับไปหมด ข้าวหอมกำลังเตรียมตัวจะตักอาหารเที่ยงใส่จาน จู่ ๆ องุ่นก็ก้าวเข้ามาในร้าน“ข้าวหอมหนูกินข้าวก่อนก็ได้จ้ะ เดี๋ยวชั้นนั่งรอ” องุ่นเอ่ยอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเตรียมจะวางช้อน“ไม่เป็นไรค่ะคุณองุ่น” ข้าวหอมยิ้มและเดินผละออกจากโต๊ะอาหารตรงไปหา “คุณองุ่นมาดูแบบเสื้อใหม่เหรอคะ”“ใช่จ้ะข้าวหอม” องุ่นพยักหน้า “ครั้งก่อนชั้นตามสามีเข้าไปกรุงเทพฯ ใส่ชุดของหนูไปงานเลี้ยง มีแต่คนชมชุดหนูนะ รอบนี้สามีมีงานที่กรุงเทพฯ อีก เลยจะมาดูแบบใหม่ ๆ ไว้เตรียมตัว” องุ่นพูดพลางเปิดดูแคตตาล็อกชุดที่วางบนโต๊ะ “จะว่าไปแล้วก็น่าเสียดายนะจ๊ะ ถ้าร้านหนูอยู่ในกรุงเทพฯ คงมีคนเข้าออกไม่ขาดสายเลยทีเดียว”“ไม่แน่นะคะ หนูอาจย้ายไปในกรุงเทพฯ ก็ได้ค่ะ” ข้าวหอมเอ่ยด้วยความมั่นใจ ความคิดนี้เคยแวบเข้ามาในหัวเธอหลายครั้งแล้ว เพียงแต่รอเวลาที่กิจการในอำเภอจะเข้าที่เข้าทางเสียก่อน“จริงเหรอ!” องุ่นอุทานด้วยความแปลกใจระคนยินดี ดวงตาเป็นประกาย“จริงค่ะ แต่อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย” ข้าวหอมอธิบายแผนคร่าว ๆ “เพราะต้องหาที่เปิดร้าน หาพนักงานเพิ่ม และรอจัดระเบียบร้า
“ข้าวหอม อยู่มั้ยจ๊ะ!” เสียงเรียกดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ ข้าวหอม ต้องรีบออกมาดู เจ๊จวง ซึ่งตอนนี้เป็นพันธมิตรคู่ค้าสำคัญของโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปของข้าวหอมยืนอยู่หน้าบ้าน สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล“อยู่ค่ะเจ๊จวง มีอะไรรึเปล่าคะ อย่าบอกนะว่าชุดล็อตล่าสุดหมดแล้ว” ข้าวหอมทักอย่างอารมณ์ดี เพราะหลังจากโรงงานเสร็จ กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็ไปได้ดีมาก ร้านค้าจากในตัวจังหวัดและต่างอำเภอต่างมาสั่งของเพื่อนำไปขาย ส่วนในอำเภอที่ข้าวหอมอยู่ เธอเลือกส่งให้ร้านเจ๊จวงเพียงที่เดียว เพื่อตอบแทนที่เคยช่วยเหลือกันมา“มีปัญหาแล้วล่ะข้าวหอม ดูนี่สิ!” เจ๊จวงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหยิบถุงกระดาษที่ถือมาออกมา แล้วดึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อยู่ในถุงให้ข้าวหอมดูข้าวหอมรับเสื้อมาพินิจ เสื้อที่อยู่ในมือมีตะเข็บที่แตกออก ด้ายที่เย็บบางตัวก็ไม่เรียบร้อย รังดุมบางตัวด้ายก็หลุดรุ่ย เธอขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่เจอเสื้อไม่ได้มาตรฐานจากโรงงานของตัวเอง แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เธอก็พบว่ากระดุมที่ใช้ รวมถึงซิปและตะขอ แม้จะมีรูปแบบคล้ายกับของโรงงานเธอ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว“เจ๊ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ข้าวหอมถามเจ๊จวงด้วยความแ
“ปัง ปัง ปัง ปัง!”เสียงจุดประทัดดังกึกก้องทั่วซอย บ่งบอกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล วันนี้เป็นวันเปิดร้านเสื้อผ้าของข้าวหอม หลังจากที่เธอได้ออกแบบร้านด้วยตัวเองแล้ว ลุงเพิ่มก็จัดหาช่างฝีมือดีมาลงมือก่อสร้างตามแบบที่ได้รับ ร้านของข้าวหอมออกแบบตามรสนิยมและความชอบของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ด้านการช้อปปิ้งของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ทำให้ร้านมีดีไซน์ที่ดูแปลกตา ล้ำสมัย และน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่งสบาย มีการจัดวางชุดเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาชม“ข้าวหอม ยินดีด้วยนะจ๊ะ” คุณองุ่น เดินถือแจกันดอกไม้สวยงามเข้ามาแสดงความยินดีเป็นคนแรก ตามมาด้วยบรรดาภรรยาข้าราชการระดับต่าง ๆ และผู้มีฐานะอีกหลายท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่งเพียงไม่นาน ร้านของข้าวหอมก็ขึ้นชื่อในหมู่คนมีฐานะว่าตัดเย็บเสื้อผ้าได้ประณีตและออกแบบได้ไม่ซ้ำใคร ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องและจำนวนมาก ช่างตัดเสื้อที่เดิมมีเพียง สาลี่ และแก้ว ซึ่งทำงานกันเองในบ้าน ก็เริ่มจะทำงานไม่ทันตามยอดสั่งซื้อที่เข้ามา ข้าวหอมจึงตัดสินใจขอร้องให้ลุงเพิ่มช่
วันนี้หลังจากเรียน กศน. เสร็จ ทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่บ้าน และเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงงานกลุ่มและการบ้านที่ได้รับมอบหมาย“มันยากจังเลยครับลุง! ยากกว่าตอนเรียนประถมอีก” ธง ที่นั่งก้มหน้าทำการบ้านไปได้สักพักก็บ่นออกมา พร้อมกับทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก แก้วซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูสมุดของธง แล้วเริ่มอธิบายตรงจุดที่ธงติดขัดอย่างใจเย็น“อดทนหน่อยนะเจ้าธง” รุจน์ เห็นท่าทางของธงแล้วก็อดปลอบไม่ได้ “อย่างน้อยขอให้ได้วุฒิ ม.3 ไปก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะเรียนต่อ ปวส. ปวช. หรือจะเรียนสายสามัญต่อ แต่ยังไงก็ต้องเรียนนะ มีความรู้ติดตัวไว้ก็ไม่เสียหายหรอก”“ครับลุง ผมจะพยายามครับ” ธงตอบรับรุจน์อย่างคนหมดแรง“ธงอยากทำอะไรในอนาคตเหรอ” ข้าวหอม เอ่ยถามธงขึ้นมาเบา ๆธงนั่งคิดอยู่นานก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันตัวเอง “ไม่รู้สิข้าวหอม ผมไม่เคยมีความคิดความฝันอยากเป็นอะไรเลย ก่อนมาเจอข้าวหอม ผมก็แค่อยากหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไปใช้จ่าย ไม่ต้องรบกวนทางบ้านน่ะ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองข้าวหอม “แล้วข้าวหอมล่ะ มีความฝันอยากเป็นอะไร?”“ข้าวหอมรักเงิน” ข้าวหอมตอบความฝันตัวเองไปด้วยสายตาเป็นประกายแห่งความสุข “ข้
วันถัดมาหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับนายตำรวจจบลง บรรยากาศภายในซอยบ้านของข้าวหอมก็เริ่มคึกคักผิดหูผิดตา มีรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวัน ข้าวหอมยังคงดำเนินแผนการโชว์สินค้าในรูปแบบเดิม เธอจัดวางเสื้อผ้าบนราวอย่างเป็นระเบียบ แล้วนำมาให้ลูกค้าผู้หญิงที่แต่งกายภูมิฐานซึ่งทยอยกันเข้ามาชมทีละราว เธออธิบายรายละเอียดของชุดแต่ละชุดอย่างคล่องแคล่ว เมื่อลูกค้าเลือกชุดที่ถูกใจก็จะเขียนหมายเลขชุดที่ต้องการ ก่อนจะไปวัดตัวกับสาลี่ เพื่อปรับขนาดให้พอดีและจ่ายเงินมัดจำเป็นการยืนยันการสั่งซื้อด้วยความที่การช้อปปิ้งและแฟชั่นคือความชอบส่วนตัวของเธอ ข้าวหอมจึงทำหน้าที่นำเสนอสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไหลลื่น เธออธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส พลางแนะนำจุดเด่นของชุดแต่ละชุดอย่างละเอียดลออ สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชุดสวยแล้ว ยังได้รับคำแนะนำที่เป็นกันเองจากเจ้าของร้านอีกด้วยศจีและรุจน์ มองดูลูกสาวคนเก่งอยู่ห่าง ๆ จากมุมหนึ่งของห้องโถง ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ส่วนสายเมฆนั้น เขายืนพิงกรอบประตู มองดูข้าวหอมที่กำลั