LOGIN“หนวกหูโว้ย! ไม่เกรงอกเกรงใจกันบ้าง คนจะนอน” เสียงตวาดแหวดังมาจากข้างบ้าน
วรรณารีที่กำลังกล่อมลูกสาวนอนอยู่ตรงแคร่หน้าบ้านได้มองไปยังทิศที่มาของเสียงตาขวาง “ทีกินเหล้าเสียงดังลั่นกลางดึกทุกคืนฉันยังไม่เคยบ่น ต่างคนต่างอยู่ดีกว่านะพี่ชื่น ฉันอโหสิให้ทุกอย่างแล้ว อย่างมาหาเรื่องกันรายวันแบบนี้”
“อโหสิอะไรกัน” บานชื่นตะโกนข้ามรั้ว “ต้องเป็นฉันต่างหากที่พูดคำนี้ หน็อย อุตส่าห์ช่วยให้มีงานมีการทำ ดันเนรคุณกินบนเรือนขี้บนหลังคา ทำมารยาคิดยั่วผัวฉัน”
วรรณารีมือสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือด เธอใช้มือกอดรอบตัวไว้แน่นเพื่อข่มตัวเองไม่ให้คายน้ำขม ๆ ออกมา “ผู้หญิงท้องอย่างฉันนี่นะจะไปยั่วใครไหว พี่เชื่อผัวจนหน้ามืดตามัวมองไม่เห็นความจริง ถ้าวันนั้นป้าสายไม่เอาไม้ไปแพ่นกบาลผัวพี่ ฉันคงต้องตกนรกโดนไอ้ผู้ชายเลว ๆ ข่มขืนจนตายทั้งเป็น!”
“นังวรรณ แกถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ แกว่าใครเลว” คนหลงสามีเท่าชีวิตไม่ยินยอมพร้อมใจ
“ไอ้โชติผัวเอ็งนั่นแหละเลว” เสียงแหบอันเป็นเอกลักษณ์ของสายดังขึ้น ไม่พูดเปล่า เธอยังเดินถือมีดอีโต้ทั้งสองมือออกจากประตูรั้วและตรงรี่ไปยังประตูบ้านของบานชื่นที่อยู่ติดกันอย่างไม่ลังเลใด ๆ
“อีแก่ แกจะทำอะไรฉัน คนบ้าก็อยู่ส่วนบ้า อย่ามายุ่งกับคนดี ๆ แบบฉัน”
“เขาว่าคนบ้าฆ่าคนไม่ผิด ฉันก็อยากลองพิสูจน์คำนี้ดู” หญิงสูงวัยเงื้อง่ามีดขึ้นสูง
บานชื่นหวีดร้องเสียงดัง “ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าข้าเอ๊ย คนบ้ามันจะเอามีดมาฆ่าฉัน”
เมื่อได้ยิน ชาวบ้านที่ไม่ได้ไปทำงานต่างออกมายืนมองหน้าสลอนที่หน้าบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าพูดหรือวิ่งมาห้ามแต่อย่างใดเพราะรู้กิตติศัพท์ดีว่าทั้งสายและบานชื่นมีนิสัยอย่างไร
“เร็วเข้า! ช่วยมาจับอีแก่บ้านี่แล้วไล่มันออกไปให้พ้นซอยที” บานชื่นตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงตระหนก
“ใครจะมาไล่ ยี่สุ่นให้ฉันอยู่ที่นี่อย่างเต็มใจ ไม่ใช่แอบไปขโมยที่ดินใครมาอยู่เหมือนเอ็ง ระวังเถอะถ้าฉันทนไม่ไหวจะไปบอกให้เจ้าของที่มาเอาผิดเสียให้เข็ด” สายพูดขู่
บานชื่นหุบปากเงียบเสียงลงทันทีเมื่อสายยกเรื่องนี้ขึ้นมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอหวาดวิตกมาโดยตลอด เมื่อสามปีก่อน เธอและโชติร่อนเร่มาจากจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกเพื่อหางานทำในเมืองหลวง ทั้งงานรับจ้างและงานก่อสร้าง จนมาจบที่งานหาของเก่า หาขยะเพื่อนำไปขายตามร้านรับซื้อของเก่าซึ่งสร้างรายได้ดีที่สุดและเหนื่อยน้อยที่สุดสำหรับทั้งคู่
ด้วยงานเก็บของเก่าต้องอาศัยพื้นที่พอสมควรในการจัดเก็บข้าวของที่หามาได้ เธอและสามีจึงมาสะดุดตาตรงที่ดินรกครึ้มขนาดสามงานที่ติดอยู่กับสวนผลไม้ใหญ่ของยี่สุ่น เศรษฐินีประจำละแวกนี้
หลังจากเวียนถามชาวบ้านที่อยู่แถวนี้ก็พบว่าเป็นที่ดินมีเจ้าของแต่ไม่เคยเห็นเจ้าของมาดูแล ปล่อยรกร้างอยู่แบบนี้มานับสิบปีโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปรุกล้ำหรือแสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากด้านหลังของที่ดินแห่งนี้เชื่อมต่อกับที่ดินรกครึ้มเนื้อที่กว่าสิบไร่อีกหนึ่งแปลง ซึ่งร่ำลือกันในเรื่องความอาถรรพณ์และความดุของผี
เมื่อเห็นโอกาสสองสามีภรรยาจึงรีบฉวย ทั้งคู่เข้าไปปลูกกระท่อมเพื่ออยู่อาศัยและเก็บข้าวของ พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองจังหวัดนนทบุรี ถึงจะถูกมองว่าเป็นสังคมเมืองเพราะอยู่ติดกับกรุงเทพฯ แต่พื้นที่แถวนี้กลับไม่แออัด ไม่มีผู้คนหนาแน่น ประกอบกับนิสัยที่ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกัน ทั้งคู่จึงสามารถอาศัยอยู่ตรงที่แห่งนี้มาถึงสามปีโดยไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายหรือมาสอดส่อง
แต่จะว่าไม่มีใครสอดส่องก็ไม่ถูกนัก ตั้งแต่คู่สามีภรรยามาอาศัยอยู่ตรงที่แห่งนี้ ทั้งคู่มักจะพบเจอสายตาจับผิดและเขม้นมองอย่างไม่ชอบใจจากสาย เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ตรงบ้านปูนหลังเล็กท้ายไร่ของยี่สุ่น ซึ่งไม่มีความเป็นมิตร ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และมีเสียงร่ำลือหนาหูว่าเป็นคนจิตไม่ปกติ
ตั้งแต่เธอและสามีเริ่มมาถางที่ก็มักจะมีหญิงบ้ามายืนมองอยู่ริมรั้วตลอดเวลา ยิ่งเริ่มลงเสาเพื่อสร้างกระท่อมก็ยิ่งรู้สึกถึงสายตาจับผิดของหญิงบ้าคนนั้นจนบานชื่นทนไม่ไหวออกปากทะเลาะกับสายในวันที่เข้ามาอยู่วันแรก
แต่ไม่นึกเลยว่าสายกลับใช้คำพูดที่เป็นแต้มต่อเรื่องไม่ให้ทำสิ่งเลวร้ายในที่ดินแห่งนี้เพราะรู้จักกับเจ้าของที่ดินตัวจริง หากทำเรื่องชั่วร้ายเพียงนิดก็จะไปบอกเจ้าของที่ดินและให้ตำรวจมาจัดการจนอยู่ไม่ได้ มันจะเป็นจริงหรือไม่ก็สุดรู้ แต่ก็สร้างความหวาดระแวงให้กับสองสามีภรรยาเป็นที่ยิ่ง ทั้งคู่จึงพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ต่อกรกับหญิงบ้าคนนี้มาโดยตลอด
“นังแก่บ้า แกยังจะเอาเรื่องเดิม ๆ มาขู่ฉันอีก ราคาคุยมากกว่าที่บอกว่ารู้จักเจ้าของ”
“จะลองดูไหมล่ะ” แววตาของสายนั้นดูไม่ล้อเล่นเลย
บานชื่นมีหรือจะกล้า เธอยืนหันรีหันขวาง พยายามมองหาคนช่วยแต่ก็ไร้ผล โชติออกไปดื่มเหล้าบ้านเพื่อนตั้งแต่หัววันแล้ว “ฝากไว้ก่อนเถอะอีแก่ ถ้าฉันไม่มีธุระ แกกับฉันได้แตกหักกันวันนี้แน่” พูดจบก็ตะลีตะลานเดินออกจากบ้านไป
“จำเอาไว้นะวรรณ ถ้าพวกมันผัวเมียมาระรานอีกก็ไม่ต้องเสียเวลาคุย เอาอีโต้จามหัวมันทีเดียวจะได้หมดเรื่อง ไม่รกหู หรือว่าฉันจะไปหาปืนมาให้หล่อนเก็บไว้สักกระบอกสองกระบอกดี มันอ้าปากข้ามรั้วมาเมื่อไหร่...” สายบ่นเสียงดังไล่หลังไปไม่หยุด ส่วนบานชื่นนั้นก็เร่งจังหวะการก้าวให้เร็วขึ้นไปอีก
วรรณารีหันมายิ้มขอบคุณสาย หลังจากนั้นก็ใช้สายตาโกรธแค้นมองไล่หลังบานชื่นไป
“เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่
สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร
“แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง
“แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห