ตอนที่วรรณารีตัดสินใจกระโดดน้ำตายเมื่อหกเดือนก่อนและสายช่วยเอาไว้ได้นั้น สายได้พาเธอกลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน
สองเดือนแรกที่เธอมาอยู่กับสาย เธออยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก อยากจะตายไปให้พ้น ๆ จากโลกอันเส็งเคร็งนี้ แล้วก็เป็นสายอีกนี่แหละที่ให้สติและคอยประคับประคองไม่ให้เธอคิดสั้น กระตุ้นให้เธอมีกำลังใจในการสู้ชีวิตเพื่อตัวเองและเพื่อชีวิตน้อย ๆ ที่อยู่ในท้อง เพราะแรงใจจากสายทำให้วรรณารีฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง
หลังจากพักฟื้นร่างกายและจิตใจจนแข็งแรงขึ้นมาระดับหนึ่ง วรรณารีก็ไม่คิดอยู่เฉยอีกเพราะรู้ว่ามีอีกชีวิตที่กำลังรอการเลี้ยงดูจากเธอ เธอจึงเริ่มขวนขวายมองหาตำแหน่งงานว่างตามสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ในละแวกนี้
แต่ความที่เป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ จึงไม่มีใครสนใจรับหญิงสาวเข้าทำงาน แล้ววรรณารีเองก็ไม่กล้าไปสมัครงานที่ไหนไกลด้วยห่วงสวัสดิภาพของลูกในท้องและกลัว...กลัวที่จะเจอผู้ชายคนนั้นอีก
ระหว่างนั้น วรรณารีได้สังเกตเห็นอาชีพหนึ่งซึ่งผู้คนแถวนี้นิยมทำกัน รวมถึงสายด้วย เรียกได้ว่าทำอาชีพนี้กันเกือบครึ่งซอย นั่นก็คืออาชีพเก็บของเก่าและเก็บขยะขาย แต่ละบ้านของพวกเขาเหล่านั้นจะมีข้าวของที่เก็บมากองสุมอยู่เต็มพื้นที่บ้าน มีทั้งแบบประกาศรับซื้อและไปเดินหาเก็บเอาตามถังขยะ ตามข้างทาง หรือไปที่ภูเขาขยะในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งสายเองก็ออกไปที่ภูเขาขยะสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
เมื่อวรรณารีพูดเรื่องจะประกอบอาชีพนี้กับสาย สายไม่เอ่ยปากอะไรสักคำ เพียงแค่เดินนำเธอไปยังมุมหนึ่งของบริเวณบ้านและอนุญาตให้เธอใช้พื้นที่นี้เก็บของที่ได้มาในแต่ละวัน ไม่เท่านั้น ยังเดินตามช่วยเธอเก็บขยะอยู่นับสัปดาห์จนวรรณารีเริ่มคุ้นชินและคัดแยกของเป็น เธอถึงยอมปล่อยให้ออกมาเพียงลำพัง
การเก็บของเก่านั้นรายได้ไม่แน่นอน อยู่ที่ความขยันส่วนหนึ่ง แล้วอีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่โชค หากวันไหนโชคดีเจอของดี ของราคาสูงอย่างทองแดง อะลูมิเนียม หรือแบตเตอรี่เก่า วันนั้นก็ขายได้เงินหลักพันบาท วันไหนโชคไม่ดี เก็บของได้น้อยก็ไม่มีเงินเข้ามือเลย ต้องรอสะสมไว้เยอะ ๆ ถึงจะนำออกขายทีหนึ่ง
โชคดีที่เหตุการณ์ที่ไม่มีเงินเข้ามือนั้นเกิดกับวรรณารีน้อยมาก เธอมีเงินเข้ามือแทบจะทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างแต่ก็ยังถือว่าเป็นรายได้ เมื่อเห็นเงินเก็บในมือจำนวนห้าพันบาทจากการประกอบอาชีพนี้เพียงแค่ครึ่งเดือน วรรณารีก็ยิ่งมีแรงฮึดสู้ เธอมักจะออกเก็บของเก่าแต่เช้าตรู่ กลับบ้านอีกทีก็บ่ายคล้อยเป็นประจำทุกวัน
เมื่อเห็นความขยันขันแข็งของวรรณารี บานชื่นที่อยู่ข้างบ้านก็ชวนเธอมารับงานพิเศษกับร้านรับซื้อของเก่าขนาดใหญ่ร้านหนึ่งซึ่งจะมีมาเป็นระยะ งานที่ว่าคือการไปตระเวนรับซื้อของตามหมู่บ้านจัดสรรหรือบริเวณชุมชนหนาแน่นตามที่เถ้าแก่ร้านแจ้งไว้ เมื่อฟังเงื่อนไขและรายได้ วรรณารีจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
หากวันไหนมีงานพิเศษ เถ้าแก่จะขับรถพาพวกเธอไปยังชุมชนที่กำหนดตั้งแต่เช้ามืดและมอบเงินทุนสำหรับรับซื้อของเก่าให้แต่ละคนด้วย
เมื่อได้รับเงินแล้ว พวกเธอต่างแยกย้ายไปป่าวประกาศรับซื้อโดยรอบชุมชนจนถึงเย็น เมื่อกลับมาถึงร้านก็คัดแยกของที่ได้มาชั่งน้ำหนัก หลังจากนั้นก็ขายของเหล่านี้กลับคืนให้ที่ร้าน โดยร้านจะคิดราคารับซื้อสูงกว่าที่พวกเธอรับซื้อจากชาวบ้านมาในช่วงเช้า หลังจากหักทุนที่ทางร้านออกให้ก่อนไปแล้ว ส่วนต่างที่เหลือคือรายได้ที่พวกเธอจะได้รับ
ครั้ง ๆ หนึ่งได้เงินเข้ากระเป๋าประมาณสี่ร้อยถึงห้าร้อยบาท แม้รายได้จะไม่ต่างจากการเดินเก็บเองแต่วรรณารีก็พอใจเพราะไม่ต้องเหนื่อยเดินไกลเหมือนทำเอง
หลังจากที่ได้ชวนวรรณารีไปทำงานที่ร้านเถ้าแก่ในครั้งนั้น บานชื่นมักจะถือโอกาสให้วรรณารีช่วยทำงานอยู่เสมอ ทั้งไปช่วยคัดแยกประเภทของที่เก็บมา หรือไปนั่งแยกกระดาษสีและขาวดำนานครึ่งค่อนวันในแต่ละครั้ง และเป็นงานใช้เปล่า ไม่มีค่าจ้างอะไรให้ แต่วรรณารีก็ไม่คิดทักท้วง ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่บานชื่นช่วยหางานให้
หลังจากเดินเข้าออกบ้านของบานชื่นบ่อยครั้ง เธอก็พบว่าสายตาของโชติ สามีบานชื่นนั้นมองเธอเปลี่ยนไป เป็นสายตาที่แสดงถึงความกระหายอยากซึ่งมันให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงมากสำหรับเธอ เมื่อรู้สึกได้เช่นนั้น วรรณารีจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับโชติเพียงลำพังมาโดยตลอด
วันเกิดเหตุ วรรณารีตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว วันนั้นบานชื่นออกไปขายของที่ร้านรับซื้อของเก่าและไหว้วานวรรณารีให้มาช่วยแกะแยกส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่บ้าน เพราะหากแกะแยกส่วนเครื่องในของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ออกเป็นหมวดหมู่จะขายได้ราคาสูงกว่ายกเครื่องขาย งานนี้ค่อนข้างยากมากพอสมควร แต่เพราะไม่อยากมีปัญหากับบานชื่น วรรณารีจึงได้แต่ตอบตกลง
ระหว่างที่กำลังตั้งใจแยกชิ้นส่วนอย่างขะมักเขม้น โชติซึ่งไปดื่มเหล้ากับเพื่อนนอกบ้านได้เดินโซซัดโซเซกลับเข้ามา เมื่อรู้ว่าบานชื่นไม่อยู่บ้าน โชติจึงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
เพราะความที่อายุครรภ์มากแล้วทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ประกอบกับแรงผู้หญิงอย่างไรก็ไม่สามารถสู้แรงผู้ชายได้ วรรณารีก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนสุดเสียง แต่แล้วก็ดูจะสิ้นหวัง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทำงาน ผู้คนรอบข้างต่างออกไปทำงานกันหมด
ในจังหวะที่กำลังเพลี่ยงพล้ำนั้นเอง ได้มีเสียงด่าทอของหญิงสูงอายุดังมาจากด้านข้างพร้อมกับเหวี่ยงอะไรสักอย่างไปที่ศีรษะของโชติจนหงายหลังและร้องโอดโอยออกมาพร้อมเลือดสด ๆ ที่ขมับ เมื่อกวาดสายตาดูถึงรู้ว่าสายได้ใช้ไม้หน้าสามฟาดไปที่ศีรษะของโชติจนได้เลือด
พร้อมกันนั้นก็เป็นจังหวะที่บานชื่นกลับมาพอดี เสียงหวีดร้อง เสียงประณามและก่นด่าของบานชื่นกับสายก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดตอน หลังเหตุการณ์วันนั้น วรรณารีกับบานชื่นได้กลายเป็นศัตรูกันจนถึงปัจจุบัน
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด