หรูเฉินและต้าโถวหันไปมองเด็กชายด้วยแววตาที่ไม่ค่อยพอใจ ขณะที่ฟางหนิงซึ่งนั่งอยู่ข้างอ้ายอ้ายกระซิบข้างหูเด็กหญิงเสียงเบา
“นั่นโจวหยาง เด็กคนนี้ได้อันดับหนึ่งมาตลอดในตัวมณฑล พอมาเจอคนที่ได้คะแนนเหนือกว่าเขาคงรู้สึกไม่พอใจล่ะมั้ง”
หรูฟู่ซิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ฉันเองค่ะ ฉันคือหรูฟู่ซิง” อ้ายอ้ายตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอส่งยิ้มกว้างจนตาหยีให้เด็กชายตรงหน้า
(ลองผูกมิตรดูก่อน ถ้าไม่รับไมตรีอย่าหาว่าพี่ใหญ่ไม่เตือน) วิญญาณผู้ใหญ่ในร่างเด็กคิด
โจวหยางชะงักเล็กน้อยกับท่าทีไม่เหมือนคนอื่นของอ้ายอ้าย เขาเบนสายตาไปมองฟางหนิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กก่อนจะกลับมามองที่อ้ายอ้ายอีกครั้งพร้อมคำถาม
“เธอดูเด็กเกินไป”
“ใช่ค่ะ เพราะปีนี้หนูอายุเก้าปี” คำตอบของอ้ายอ้ายทำให้เด็กนักเรียนรวมถึงโจวหยางที่ได้ยินเบิกตากว้างมองเธออย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทุกคนเริ่มส่งเสียงฮือฮา
“ไม่ใช่แค่หนูอายุน้อยคนเดียวนะคะ เพราะพี่ชายของหนูหรูเฉินคนนี้เพิ่งจะสิบขวบ” ใบหน้าของอ้ายอ้ายส่งยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
โจวหยางขมวดคิ้วมองเด็กทั้งสามอย่างจริงจัง เข
หลังจากสามพี่น้องผ่านเหตุการณ์ร้ายในครั้งนั้นมาได้ ผ่านมาอีกไม่กี่เดือนก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศแห่งความกดดันของนักเรียนทั่วทั้งประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเรียนจบใหม่รวมถึงผู้ปกครองเฝ้ารอคอยเพื่ออนาคตของลูกหลานของตนท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษของเดือนมิถุนายน แสงแดดที่เจิดจ้าส่องลงมาทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความร้อนของฤดูร้อนแต่กระนั้นก็ไม่อาจเปรียบได้กับความตื่นเต้นและความกดดันที่ล่องลอยในอากาศรอบ ๆ สนามสอบเกาเข่าในปีนี้ ผู้ปกครองจำนวนมากยืนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน รอส่งลูกหลานเข้าสอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและกำลังใจเมิ่งหลิงในชุดผ้าฝ้ายบางเบายืนอยู่กับหยูเทียนเจี๋ย ข้าง ๆ คือจ้าวเหยาและหรูจื่อที่ยิ้มให้กำลังใจลูก ๆ ของพวกเขา จ้าวเซิงและหลิวเหวยจินเองก็เดินทางมาร่วมส่งอ้ายอ้าย หรูเฉิน และต้าโถวเข้าสู่สนามสอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังเช่นกัน“อ้ายอ้าย เสี่ยวเฉิน ต้าโถว สู้ ๆ นะลูก ย่ารู้ว่าหลานทั้งสามต้องทำได้” เมิ่งหลิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น รอยยิ้มของเธอแม้จะซ่อนความกังวลไว้เล็กน้อยแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวหลาน
เช้าวันรายงานตัวที่ PUMC (Peking Union Medical College) มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ปักกิ่ง อากาศสดชื่นด้วยแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ในบริเวณวิทยาเขตอาคารสไตล์ยุโรปผสมจีนโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยดูสง่างามและน่าเกรงขาม ทำให้อ้ายอ้ายที่เดินทางมาพร้อมครอบครัวรู้สึกทั้งตื่นเต้นและภูมิใจบรรยากาศรอบ ๆ เต็มไปด้วยนักศึกษาหน้าใหม่และครอบครัวของพวกเขา บางคนถือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ บางคนมาพร้อมด้วยของฝากจากบ้านเกิด เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังระงมไปทั่วทุกพื้นที่เป๋าเอ๋อร์ นายรู้ไหมฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้มาเยือนยังที่แห่งนี้ น้ำเสียงของอ้ายอ้ายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเจ้านาย ผมเองก็ดีใจกับคุณด้วย ตลอดเวลาที่ผมเข้าสู่ระบบปรับปรุงข้อมูล คุณสามารถดูแลตัวเองได้ดีมาก เสียงของเป๋าเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างอดภาคภูมิใจในตัวของเด็กหญิงไม่ได้ขอบใจนายมากนะเป๋าเอ๋อร์ ถ้าไม่มีนายฉันก็คงจะไม่ได้มีโอกาสดี ๆ แบบนี้ ในโลกก่อนฉันเองก็ฝันที่จะเรียนแพทย์ให้ได้ ฉันอยากเป็นหมอที่ดี ซึ่งในตอนนี้ฉันมีโอกาสแล้วฉันจะทำให้เต็มที่เลย
ท่ามกลางการรอคอยอย่างมีความหวัง ครอบครัวหรู ในตอนนี้พวกเขาได้เข้ามาพักในเต็นท์ของทางการที่จัดตั้งขึ้นเป็นการชั่วคราว บรรยากาศที่พักสำหรับครอบครัวเต็มไปด้วยความเงียบงันทว่าความเงียบนี้กลับถูกทำลายด้วยเสียงพูดของเจียงหย่งเฉียงที่เอื้อมมือมาวางลงบนไหล่ของต้าโถวซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของน้องทั้งสองคน“ลูกชาย พ่อรู้ว่าลูกโทษตัวเอง แต่จำไว้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร” น้ำเสียงของเจียงหย่งเฉียงหนักแน่นแต่อบอุ่น สายตาของเขามองตรงไปยังต้าโถวที่นั่งก้มหน้า“แต่พ่อครับ…ผมควรปกป้องอ้ายอ้ายได้มากกว่านี้ ผมไม่ควรปล่อยให้เธอวิ่งเข้าไปคนเดียว” ต้าโถวพูดเสียงสั่นน้ำตาของเด็กหนุ่มที่พยายามกลั้นไว้เริ่มไหลออกมา“ต้าโถวเธอทำดีที่สุดแล้วหลานอย่าโทษตัวเองเลย เสี่ยวเฉินก็เหมือนกัน” เสียงของจ้าวเหยาดังขึ้น เธอก้าวเข้ามานั่งข้างลูกชายและจับมือเขาเอาไว้แน่นก่อนจะพูดต่อ “ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทุกคนทำเต็มที่แล้ว เราต้องเชื่อในตัวอ้ายอ้าย เธอเก่งและเข้มแข็งมากพวกลูกก็รู้”หรูเฉินยังคงน้ำตาไหล “แต่ผมก็ไม่ควรปล่อยน้องไปคนเดียว” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
จ้าวเซิงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและตั้งใจ“ถ้าอ้ายอ้ายอยากให้ครอบครัวเราอยู่ใกล้กัน พ่อก็ยินดีเต็มที่เลย พ่อมีบ้านหลังหนึ่งติดกับบ้านปู่ย่าของลูก ซึ่งหลังนั้นพ่อตั้งใจสร้างไว้เพื่อครอบครัวเราแต่หากลูกอยากให้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพ่อยินดีจะยกให้” น้ำเสียงของจ้าวเซิงเต็มไปด้วยความยินดี“พ่อคะ หนูไม่อยากให้พ่อกับแม่ลำบาก หนูรู้ว่าบ้านหลังนี้พ่อสร้างไว้เพื่ออนาคตของตัวเองและแม่...” อ้ายอ้ายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แววตาแสดงออกถึงความจริงจังจ้าวเซิงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวลูกสาว “อ้ายอ้าย บ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่เพื่อพ่อหรือแม่ แต่พ่อสร้างไว้เพื่อครอบครัวของเรา ต่อให้ลูกไม่ยอมรับเป็นของตัวเองพ่อก็ยินดีขายให้ครอบครัวหรู บ้านหลังนั้นจะกลายเป็นบ้านที่เราเดินเปิดประตูหากันได้เสมอเหมือนที่ลูกต้องการ”จ้าวเหยาฟังพี่ชายพูดพร้อมรอยยิ้มแห่งความซาบซึ้ง “พี่เซิง ขอบคุณนะคะ ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พี่จะทำแบบนี้”จ้าวเซิงหันมายิ้มให้ “เหยาเหยา เธอไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันแค่ทำสิ่งที่พ่อคนหนึ่งควรทำ อ้าย
เพล้ง! เสียงชามกระเบื้องตกแตกดังสนั่นในห้องครัว ดึงดูดสายตาของทุกคนในบ้านหรูให้หันไปมอง เมิ่งหลิงที่ทำจานหลุดจากมือยืนตัวแข็ง น้ำเสียงตื่นตระหนกของเธอเอ่ยขึ้นทันที“ไม่รู้ทำไมฉันใจไม่ดีเลย...”ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร เสียงจากวิทยุที่เปิดไว้ในห้องนั่งเล่นก็แทรกขึ้นมากลายเป็นข่าวด่วน เสียงผู้ประกาศข่าวดังออกมาอย่างเร่งรีบ“นี่คือข่าวด่วนจากเฉินตู! สถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อสี่วันที่ผ่านมายังคงมีผู้สูญหายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงพยายามค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง...”ทุกคนในบ้านหยุดนิ่งในทันทีเสียงหัวใจเต้นดังสะท้อนในอกของเมิ่งหลิง เธอหันไปมองวิทยุด้วยใบหน้าเคร่งเครียดดวงตาเบิกกว้างราวกับจับใจความทั้งหมดไม่ได้ในครั้งเดียว“พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดคือตึกโรงแรมใกล้สนามแข่งวิชาการ มีรายงานว่ามีนักเรียนและคณะครูจำนวนมากพักอยู่ในบริเวณนั้น...”“สนามแข่งวิชาการ!” เมิ่งหลิงอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอหันไปมองทุกคนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก“หลานของฉัน... อ้ายอ้าย ตาโถว หรูเฉินล่ะ พวกเขาจะเป
ค่ำคืนนั้นครอบครัวจ้าวทั้งหมดมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟปักกิ่ง บรรยากาศคึกคักของผู้โดยสารที่กำลังเดินทางไปยังจุดหมายต่าง ๆ เติมเต็มสถานีให้มีชีวิตชีวาจ้าวเซิงเดินนำหน้า เขาถือกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ขณะที่หลิวเหวยจินและจ้าวเหยาต่างช่วยกันดูแลของใช้ที่จำเป็นเมื่อถึงเวลา รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา เสียงล้อเหล็กบดกับรางดังก้อง ครอบครัวทั้งหมดนั่งรวมกันในโบกี้ชั้นสอง หลิวเหวยจินมองออกไปนอกหน้าต่างสายตาเต็มไปด้วยความหวังและความกังวล“ถ้าเธอเป็นลูกของเรา... ฉันจะไม่ยอมให้เธอต้องเผชิญความทุกข์ยากอีกต่อไป” หลิวเหวยจินพูดพึมพำกับตัวเอง“จิน เธอจะไม่ต้องทำสิ่งนี้คนเดียว พวกเราจะทำมันด้วยกัน” จ้าวเซิงพูดพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้แน่นจ้าวเหยามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ก็รู้สึกยินดีที่ครอบครัวของพี่ชายกำลังจะได้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้งยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่อง รถไฟมาถึงจุดหมายในที่สุด เสียงหวูดดังบอกให้ทุกคนเตรียมตัวลงจากขบวน หลิวเหวยจินสูดลมหายใจลึกเธอรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกันจ้าวเซิงยกกระเป๋าขึ้นบ่าก่อนจะหันมองภรรย