ในบ้านที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความลำบาก เด็กสาววัย 13 อย่าง “หานซูอวี้” รู้ดีว่าการเป็นแค่ “ลูกสาวของครอบครัวที่พ่อไม่เอาไหน” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่รอด แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยฝัน ฝันที่จะพาแม่ออกจากความทุกข์และสร้างชีวิตใหม่ด้วยมือของตัวเอง แม้ตอนนี้เธอยังเด็กแต่เธอเชื่อมั่นว่าการเรียนรู้และความพยายามจะเป็นกุญแจไขไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ในโลกที่ผู้หญิงต้องสู้กับโชคชะตาอย่างหนัก หานซูอวี้จะกลายเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตทั้งของตัวเองและแม่ไปตลอดกาลได้หรือไม่โปรดติดตามได้ใน “ชีวิตนี้…ฉันขอลิขิตเอง”
View Moreเมื่อหานซูอวี้เห็นท่าทางของแม่ เธอจึงคิดว่าควรจะพิสูจน์ความจริงเรื่องของพ่อเลวออกมา ไม่อย่างนั้นหายนะต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเห็นทีว่าคงจะวนกลับมาอีกครั้งเป็นแน่
หลิวซินยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเก่าซอมซ่อ ดวงตาบวมช้ำจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย แม้คำพูดของลูกสาวจะกรีดลึกลงไปในใจ แต่ความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงและความไม่เชื่อว่าสามีจะเลวร้ายถึงเพียงนั้นยังคงเกาะกินจิตใจของเธออยู่
หานซูอวี้มองท่าทางของมารดาแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าแค่คำพูดคงยากที่จะทลายกำแพงความหวัง ลม ๆ แล้ง ๆ ที่แม่สร้างขึ้นมาปกป้องตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ บางที...อาจจะต้องใช้ยาแรงกว่านี้
"แม่คะ" เด็กหญิงเดินเข้าไปกุมมือมารดาอีกครั้ง "ถ้าแม่ยังไม่เชื่อหนู...ถ้าแม่ยังคิดว่าพ่อเขาเป็นคนดี...แม่กล้าไปพิสูจน์ความจริงกับหนูไหมคะ?"
หลิวซินหันมามองลูกสาวด้วยแววตาสั่นไหว "พิสูจน์? พิสูจน์อะไรกันลูก?"
"ความจริง...เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นของพ่อค่ะ" หานซูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเกินวัย ดวงตาจับจ้องมารดาอย่างรอคอย
"หนูรู้ว่าเขาเช่าบ้านให้ผู้หญิงคนนั้นที่ไหน...และหนูอยากให้แม่ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ว่าพ่อเขาดูแลผู้หญิงคนนั้นดีกว่าดูแลแม่กับหนูมากแค่ไหน!"
คำพูดนั้นทำให้หลิวซินอึ้งไป เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกสาวตัวน้อยจะรับรู้เรื่องราวได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ หรือนี่จะเป็นเพียงจินตนาการของเด็กที่หวาดกลัว? แต่แววตาที่มุ่งมั่นและจริงจังของหานซูอวี้ทำให้เธอเริ่มลังเล
"ไปกับหนูนะคะแม่" หานซูอวี้บีบมือมารดาแน่นขึ้น ที่เธอมั่นใจมากเช่นนี้นั่นเป็นเพราะชาติก่อนเธอจำได้ดีว่าพอแม่รู้ว่าพอซุกเมียน้อยไว้ที่ไหนหล่อนก็ตามมาอาละวาด
"แค่ไปดูให้เห็นกับตา...แล้วแม่ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเชื่อใคร" ในที่สุดหลิวซินก็พยักหน้าลงอย่างหมดแรงจะขัดขืน บางทีการได้เห็นความจริงอันโหดร้ายอาจจะดีกว่าการจมอยู่กับความหลอกลวงไปวัน ๆ
สองแม่ลูกพากันเดินออกจากบ้านพักสวัสดิการของโรงงานผ้าที่ซอมซ่อและอับทึบ หานซูอวี้ในร่างเด็กหญิงอายุสิบสามปีเดินนำหน้าอย่างกระฉับกระเฉง
พาแม่ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่เธอคุ้นเคยจากความทรงจำ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านเช่าสองชั้นหลังหนึ่งในย่านที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองนัก
บ้านหลังนั้นดูใหม่และสะอาดสะอ้านกว่าบ้านพักคนงานที่พวกเธออยู่ลิบลับ ประตูหน้าต่างทาสีสันสดใส มีกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ประดับอยู่ริมหน้าต่าง แม้จะเป็นเพียงบ้านเช่าแต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
หัวใจของหลิวซินเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ขาของเธอหนักอึ้งจนแทบก้าวไม่ออก
"นะ...นั่นใช่ไหมลูก?" เธอถามเสียงสั่น
หานซูอวี้ไม่ตอบแต่จูงมือแม่ให้เดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้เตี้ย ๆ ของบ้านหลังนั้นอีกนิด และแล้ว...ภาพที่หลิวซินไม่ อยากจะเชื่อสายตาที่สุดก็ปรากฏขึ้น
หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงสีสดใสกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่ระเบียงชั้นบนของบ้านหลังนั้นอย่างมีความสุข
ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มดูผ่อนคลาย...และที่สำคัญบนราวตากผ้าใกล้ ๆ กันนั้น มีเสื้อเชิ้ตทำงานของผู้ชายแขวนอยู่เสื้อเชิ้ตที่หลิวซินจำได้แม่นว่าเป็นของหานจินสามีของเธอ! ภาพตรงหน้านั้นเหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางใจของ หลิวซินเข้าอย่างจัง
ความหวังสุดท้ายที่เคยมีว่าสามีอาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้นพังทลายลงในพริบตา น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและความรู้สึกเหมือนถูกทรยศไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย ร่างของเธอโงนเงนจนแทบจะล้มลงถ้าไม่ได้หานซูอวี้คอยประคองไว้
"แม่เห็นแล้วใช่ไหมคะ..." หานซูอวี้พูดเสียงเบาแต่แสดงเจตจำนงอย่างแน่วแน่ "นี่คือสิ่งที่พ่อทำกับเรา...นี่คือเหตุผลที่แม่ต้องเลือกทางเดินใหม่ให้ตัวเองกับหนู"
หลิวซินทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดทั้งหมดถาโถมเข้าใส่ ภาพความสุขของหญิงอื่นในบ้านที่ควรจะเป็นของเธอและลูกมันชัดเจนเกินกว่าจะหลอกตัวเองได้อีกต่อไป...
ทางด้านหานจินหลังเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจากบ้านพักคนงานซอมซ่อหลังนั้นในอกยังคุกรุ่นไปด้วยความโมโหไม่หาย นังหลิวซิน! ผู้หญิงที่เคยหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายมาตลอด วันนี้กลับกล้าแข็งข้อถึงกับเอาของมีคมมาขู่เขา! ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!
แต่ครู่เดียวความหงุดหงิดของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อความคิดของเขาล่องลอยไปถึงถงเหม่ยลี่ยอดรักคนใหม่ ใบหน้าอ่อนหวาน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น และคำพูดเอาอกเอาใจของหล่อน ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ผิดกับนังอ้วนที่บ้านลิบลับ
วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่กลับไปนอนที่บ้านนั่นอีกแล้ว หลังจากที่ทะเลาะกันรุนแรง หานจินมุ่งหน้าตรงไปยังสหกรณ์ร้านค้าของโรงงาน เลือกซื้อเนื้อหมูสามชั้นอย่างดีและของสดอีกสองสามอย่างตั้งใจว่าจะเอาไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ถงเหม่ยหลี่กิน
และจะค้างคืนที่บ้านเช่าแสนสุขของพวกเขาสักสองสามวันให้สมกับที่อารมณ์เสียมาทั้งวัน โดยหารู้ไม่ว่าในขณะที่เขากำลังวาดฝันถึงความสุขสบายอยู่เบื้องหน้านั้น ชีวิตครอบครัวที่เขาทอดทิ้งกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อหานซูอวี้พาแม่กลับมาถึงห้องพักอย่างเงียบเชียบ หลิวซินผู้ซึ่งดวงตาแดงก่ำแต่แฝงแววเด็ดเดี่ยวก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขาโยกเยกข้างโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีลูกสาวนั่งลงเคียงข้าง
"แม่..." หลิวซินเอ่ยขึ้นเสียงเครือ "แม่จะหย่า...แม่จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว"
หานซูอวี้ยิ้มบาง ในที่สุด...แม่ของเธอก็ตัดสินใจได้เสียที "ดีแล้วค่ะแม่ หนูจะช่วยแม่เอง"
เด็กหญิงลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษและดินสอจากกระเป๋านักเรียนใบเก่าออกมาวางตรงหน้าของมารดา
"แม่เขียนเลยค่ะ เขียนคำขอหย่า บอกเหตุผลไปตามความจริงแล้วยื่นเงื่อนไขให้พ่อเขา"
หลิวซินมองหน้าลูกสาวอย่างไม่แน่ใจ "เงื่อนไข? เงื่อนไขอะไรกันลูก?"
"เงื่อนไขที่ว่า...ถ้าเขาไม่ยอมหย่าดี ๆ และไม่ยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูหนูตามสมควร" หานซูอวี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเกินวัย ดวงตาฉายแววคมกล้า
"เรื่องที่พ่อมีชู้จะถูกรายงานไปยังหน่วยงานของโรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดค่ะ!" หานซูอวี้เว้นไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตของชายคนนั้นเอาไว้ก่อน ทั้งนี้หล่อนกลัวว่าหากยังหนีไปไม่ไกลพ่อเลวอาจจะมาทำร้ายเธอกับแม่ได้
หลิวซินเบิกตากว้าง "ซูอวี้! ลูกจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? มะ...มันร้ายแรงมากเลยนะลูก" ในยุคสมัยนี้เรื่องอื้อฉาวในที่ทำงาน โดยเฉพาะเรื่องชู้สาวถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก หากถูกเปิดโปงขึ้นมาไม่เพียงแต่จะถูกไล่ออกจากงาน แต่อาจจะถูกลงโทษทางวินัยอย่างหนัก ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั้งตระกูล
"แล้วที่พ่อทำกับแม่กับหนู มันไม่ร้ายแรงหรือคะ?" หานซูอวี้สวนกลับทันควัน "ถ้าเราไม่ทำให้เขาหวาดกลัวบ้าง เขาจะยอมปล่อยเราไปง่าย ๆ หรือคะ? แม่เชื่อหนูเถอะค่ะ นี่เป็นทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นจากเขาได้จริง ๆ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา"
แววตาที่มุ่งมั่นและเหตุผลที่เฉียบคมของลูกสาว ทำให้หลิวซินที่กำลังใจสลายค่อย ๆ มองเห็นแสงสว่างรำไร เธอสูดหายใจเข้าลึก หยิบดินสอขึ้นมาด้วยมือที่ยังสั่นเทา แต่ในใจกลับเริ่มมีความหวัง...ความหวังที่จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสียที โดยมีลูกสาวคนนี้คอยชี้นำอยู่เคียงข้าง
สองวันต่อมา เมื่อหลิวจินกลับมาถึงบ้านเขาก็พบบรรยากาศเงียบงันผิดปกติ อีกทั้งไม่มีเสียงถามไถ่จากภรรยาอย่างที่ควรเป็น
"มาแล้วก็ดี" หลิวซินพูดเสียงดัง ท่วงท่าของหล่อนตอนนี้ไม่มีความลังเลในการหย่าขาดจากผู้ชายเลวคนนี้อีกแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะตลอดสองวันที่ผ่านมาหล่อนเห็นมาแล้วว่าผู้ชายคนนี้ทำอย่างไรกับชู้รักของเขา
"พวกเรามาหย่ากันเถอะ" คำกล่าวของหลิวซินทำให้หานจินผงะไปอย่างไม่อยากเชื่อหู
"เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ" เขาตวาดแกมเยาะ เพราะรู้ดีว่าภรรยาของตนไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งอาศัยเพียงปะชุนเสื้อผ้าไปวัน ๆ
"ถ้าอยากหย่าก็ได้นะ" เขาพูดขึ้นอย่างเหนือกว่า
"ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหย่ากันวันนี้เลย แต่ฉันมีข้อแม้" ประโยคต่อมาของหลิวซินทำให้หานจินคิดอย่างเย้ยหยัน (นั่นไง! ว่าแล้วคงจะเรียกร้องความสนใจละสินังอ้วน)
"ว่ามา" เขาก้าวเท้าเข้ามานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ กระดิกเท้าไปมารอดูว่าหลิวซินจะพูดอะไร
"หานซูอวี้... อ๋อ! เธอคือลูกสาวของน้าหลิวซินที่แม่ฉันเล่าให้ฟังนี่เอง!" หวงจิงยิ้มกว้าง "ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชู้ตบาสเก่งขนาดนี้! มาเล่นด้วยกันสิ!" คำชวนอย่างเป็นมิตรของหวงจิงทำให้เด็กคนอื่นส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หานซูอวี้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ แววตาท้าทายอย่างเป็นมิตรของพวกเขา มุมปากของเธอพลันยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ "ก็ได้" เกมเริ่มต้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายทุกคนต่างจับจ้องมาที่สมาชิกใหม่ของทีมอย่างหานซูอวี้ และเธอก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง แม้จะอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ดูภายนอกผอมบาง แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอกลับคล่องแคล่ว
ยังไม่ทันที่พวกเธอจะก้าวลงจากรถดีประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างสูงในชุดลำลองแต่ยังคงท่วงท่าสง่างามแบบทหารเดินออกมายิ้มต้อนรับ "ซินซิน ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียทีนะ!" เฉินลี่ฮวารีบเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักของเธอด้วยความดีใจ "ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเธอ" จากนั้นเธอก็หันมาแนะนำครอบครัว "นี่คุณเจิ้งหรง สามีของฉัน ส่วนนี่ก็หวงเหม่ย ลูกสาวคนเล็กจ้ะ ฉันยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งตอนนี้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนอายุน่าจะพอ ๆ กับซูอวี้นี่แหละ หากแม่บุญธรรมจำไม่ผิดหนูน่าจะเกิดเดือนสี่ใช่ไหม จิงจิงของแม่เกิดเดือนหก ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นน้องของหนูสองเดือน" ความเป็นกันเองของแม่บุญธรรมที่หานซูอวี้จำได้เลือนรางเมื่อครั้งยังเด็กทำให้เธอผ่อนคลายลง "สวัสดีค่ะแม่บุญธรรม พ่อบุญธรรม" หานซูอวี้โค้งคำนับให้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อยอายุรา
ณ สำนักงานกิจการพลเรือน (หน่วยงานทะเบียนราษฎร) บรรยากาศภายในสำนักงานราชการในตอนบ่ายค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนดังเอื่อย ๆ กับเสียงเจ้าหน้าที่พลิกกระดาษเป็นครั้งคราว หลิวซินนั่งกุมมือลูกสาวอยู่บนม้านั่งไม้ยาว สายตาของเธอจ้องมองพื้นอย่างใช้ความคิด ในขณะที่หานซูอวี้คอยบีบมือให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ไม่นานนักร่างสูงโปร่งแต่ค่อนซูบของหานจินก็เดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาเหลือบมองสองแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ กระบวนการหย่าร้างในยุคนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงสอบถามยืนยันความสมัครใจของคนทั้งคู่สองสามประโยคก่อนจะยื่นเอกสารให้ลงนาม
เสียงปิดประตูดังปัง! สะท้อนถึงอารมณ์เดือดดาลของหานจินที่เพิ่งผลุนผลันออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและบรรยากาศอึดอัดที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านพักคนงานแสนซอมซ่อ หลิวซินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มันฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและความหวังที่เพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา หานซูอวี้เดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา "แม่คะ..." หลิวซินหันมามองหน้าลูกสาว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ "เรา...ไปกันเถอะลูก" ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก สองแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างเริ่มเก็บข้าวของที่เป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว&n
"ถ้าคุณยังปากแข็งไม่ยอมหย่ากับฉันดี ๆ และไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยหนึ่งพันหยวนให้เราสองแม่ลูกภายในวันนี้ล่ะก็..." หลิวซินเว้นจังหวะเล็กน้อยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหานจิน "หลักฐานทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปถึงหัวหน้าหน่วยงานของคุณ และกระจายออกไปให้ชาวบ้านรับรู้กันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน! ถึงตอนนั้นคุณก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตของคุณจะเป็นยังไง!" คำขู่สุดท้ายของหลิวซินเด็ดขาดและทรงพลังจนหานจินถึงกับชาวาบไปทั้งตัว เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นตามไรผม การถูกเปิดโปงเรื่องชู้สาวในยุคสมัยที่ศีลธรรมยังคงเข้มข้นเช่นนี้มันหมายถึงหายนะอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกประณามจากเพื่อนบ้านและคนรู้จัก แต่อาจจะถูกลงโทษจากหน่วยงานที่ทำงานจนถึงขั้นตกงานได้ แล้วถงเหม่ยลี่...ยอดรักของเขาจะยังต้องการผู้ชายที่มีมลทินติดตัวอย่างเขาอีกหรือ? ภาพอนาคตอันมืดมนถาโถมเข้ามาในหัวของหานจิน เขาเหลือบมองใบ
"คุณต้องตัดความสัมพันธ์กับลูกหลังเราหย่ากัน เรื่องของซูอวี้ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวกับคุณอีก" น้ำเสียงของหลิวซินเต็มไปด้วยความหนักแน่นจนหานจินรู้สึกได้ว่าหล่อนอาจจะเอาจริง กระนั้นเขาก็ยังคงนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตามเดิม "แล้วก็อีกเรื่อง คุณต้องจ่ายเงินชดเชยให้เราแม่ลูกหนึ่งพันหยวน!" หานจินอ้าปากค้างมองหน้าหลิวซินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากท่าทีที่พยายามทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด "หนึ่งพัน! แกจะบ้าเหรอ ฉันจะไปมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง" เขาตอบโต้คอเป็นเอ็น แม้ว่าเขาอยากจะได้ใบหย่าเพื่อไปจดทะเบียนกับยอดรักถงเหม่ยลี่ใจแทบขาดก็ตาม แต่ถ้าหากเขายอมควักเงินออกมาง่าย ๆ นี่ไม่เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดโปงตัวเองหรอกหรือที่คนงานขับรถ
Comments