“พวกลูกพร้อมกันแล้วหรือยังสำหรับวันนี้” หนิงเซียนเอ่ยถามบุตรหลานด้วยรอยยิ้ม
“พร้อมขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็กทั้งหกต่างขานรับเสียงดังอย่างขยันขันแข็ง
ภายในตลาดยามเช้าก็ยังคงคึกคักเหมือนทุกวัน แต่วันนี้คนที่มารอซื้อลี่จื่อนั้นเพิ่มมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา เพราะเขารับรู้กันโดยทั่วแล้วว่าวันนี้ร้านลี่จื่อคั่วจะขายเป็นวันสุดท้าย
“นั่นพวกเขามากันแล้ว ข้าล่ะเสียดายที่จะไม่มีผลลี่จื่อคั่วให้กินอีกแล้ว” เสียงหนึ่งในลูกค้าประจำเอ่ยกับผู้ที่ยืนรออยู่ด้วยกัน
“นางก็บอกว่าปีหน้าอย่างไรเล่าอดทนอีกไม่นานก็ได้กิน” หญิงวัยกลางคนแย้งอย่างติดตลก
“เจ้าพูดเหมือนกับว่าเวลาหนึ่งปีมันไม่นานอย่างนั้นแหละ” ชายคนเดิมประชด
“ปีหนึ่งมันผ่านไปเร็วนะเจ้าเชื่อข้าสิ พอพ้นปีใหม่ก็ถึงเวลาเพาะปลูกหลังจากเพาะปลูกอีกครึ่งปีก็ได้เวลาเก็บเกี่ยว เมื่อเราทำแต่งานวันหนึ่ง ๆ ผ่านไปเร็วชั่วพริบตา” หญิงวัยกลางคนกล่าวทำให้คนที่ยืนรอต่างก็เห็นจริงตามที่นางว่า
“พวกเราหลบกันก่อนเถอะ รถม้าของเขาใกล้เข้ามาแล้ว” เสียงชายผู้ที่มาก่อนคนอื่นส่งเสียงเตือน จากนั้นพวกเขาก็ต่างพากันเข้าแถวรอตามที่เจ้าของ
“เรื่องจริงหรือเจ้าคะ” ฉินเซียวเบิกตากว้างมองคู่สนทนาที่พยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น“ข้าลองให้อาต๋ากินมาแล้วเขาหลับไปตั้งสามชั่วยามเลยกว่าจะฟื้น ตอนเขาลืมตาตื่นข้ายังคิดว่าเขาน่าจะมีอาการข้างเคียงจากการเมาสุรา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตาลปัตรจากที่ข้าคิดไม่เพียงแต่เขาไม่มีอาการเมาค้างเขากลับบอกว่าร่างกายหายจากอาการเมื่อยล้าอีกทั้งยังสดชื่นอีกต่างหาก”“ถ้าอย่างนั้นเราให้สุราชนิดนี้เป็นของขึ้นชื่อของเราดีหรือไม่เจ้าคะ” ฉินเซียวเมื่อได้ฟังสิ่งที่ฟางหรูกล่าวจนจบความคิดของนางก็ผุดขึ้นมา“ข้าก็คิดว่าดีเช่นกัน เจ้าลองนำสุราทุกชนิดกลับไปแล้วเจ้าก็ตั้งชื่อให้กับสุราทั้งสี่ด้วยนะ”“สุราของท่านน้า ท่านไม่ตั้งชื่อเองหรือ”“ไม่ล่ะให้เจ้าตั้งนั่นแหละดีแล้ว” ฟางหรูตอบปฏิเสธ“ถ้าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”“เราขึ้นไปด้านบนกันเถอะ” ฟางหรูกล่าวขึ้นซึ่งในขณะนี้ทั้งนางและฉินเซียวต่างมีไหสุราขนาดย่อมอยู่ในอ้อมแขนคนละสองไหเมื่อหญิงต่างวัยทั้งสองเดินมายังห้องโถงของบ้าน จ้าวซิงและฉินอู๋ต่างเดินเข้าไปอุ้มไหที่อยู่ในอ้อมแขนของน้องสาวโดยไม่ต้องรอให้น้องเอ่ยปาก
เมื่อพี่ชายทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกันได้ยินคำพูดของมารดา ฉินอู๋จึงได้เอ่ยถามน้องออกมาบ้างด้วยความเป็นห่วง“น้องเล็กเจ้าไม่สบายตรงไหนให้พี่ไปบอกท่านพ่อไปตามท่านปู่ดีหรือไม่”“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าสบายดีพวกท่านอย่าได้กังวล” คนเป็นน้องรีบยกมือปฏิเสธ“หากเจ้ารู้สึกไม่ดีจะต้องรีบบอกเลยนะ” ครานี้ฉินฟู่เป็นคนพูดออกมาบ้าง“เจ้าค่ะ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่มีต่อข้านะเจ้าคะ”“เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน” หนิงเซียนส่งยิ้มให้บุตรสาวก่อนกล่าวออกมา“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่พูดแบบนี้อีก พวกเรามาช่วยกันทำผักดองต่อเถอะ”“ได้สิ” ทั้งแม่และพี่ชายต่างตอบรับพร้อมกันเหตุการณ์ของบ้านจ้าวก็วนเวียนผ่านไปจนกระทั่งก่อนถึงวันที่คนในหมู่บ้านจะมาลงแรงช่วยเหลือกันหนึ่งวัน ซึ่งเป็นวันที่ต้าจงได้นำจดหมายจากเฒ่าหลี่มาส่งให้ฉินเซียว“ท่านปู่ว่าอย่างไรบ้างหรือลูก” ฉินเต๋อเอ่ยถามบุตรีหลังจากที่นางพับจดหมายลงเรียบร้อย“ท่านปู่อยากทราบวิธีการปลูกผักของข้าเจ้าค่ะ โดยท่านต้องการจะนำไปเผยแพร่ให้คนโดยทั่วไปได้ทราบซึ่งเรื่องนี้ข้าเอ
หลังจากที่ฉินเซียวได้รับชุดของสำนักศึกษาเรียบร้อยนางจึงได้เดินออกมาจากสำนักโดยมีจินหลางเดินออกมาส่ง“พี่ชายหลางท่านอย่าได้บอกเรื่องของข้าให้ท่านพ่อรู้นะเจ้าคะ ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นห่วง” เด็กหญิงวัยแปดปีเอ่ยขอร้องศิษย์พี่“ข้าไม่บอกก็ได้ แต่ว่าเจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะ”“แน่เจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าแข็งแรงมาก” ฉินเซียวยกยิ้มให้ศิษย์ผู้พี่เพื่อเป็นการยืนยัน“ถ้าเจ้ายืนยันขนาดนี้พี่จะเชื่อ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะป่านนี้ท่านอาน่าจะร้อนใจแย่แล้ว”“น้องเล็ก” ในระหว่างที่กลุ่มของฉินเซียวกำลังเดินผ่านหน้าสำนักเซียนซานฉินฟู่ก็ตะโกนเรียกน้องสาวของตนเสียงดังพร้อมกับวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นน้องอย่างรวดเร็ว“คารวะพี่ชายจิน” “พี่อี้” เด็กชายกล่าวทักทายคนคุ้นเคยทั้งสองโดยที่พี่น้องที่ตามมาในภายหลังต่างกล่าวทักทายคนทั้งสองด้วยเช่นกันรวมถึงฝูหมิงด้วย“พวกเจ้าลงชื่อและรับชุดกันเรียบร้อยดีหรือยัง” จินหลางถามเด็กทุกคนด้วยความเป็นห่วงเพราะเด็กพวกนี้เรียนกันคนละที่กับตน“เรียบร้อยแล้วขอรับ พวกเราโชคดีที่อาหมิงเป็นคนพาไป” ฉินอู๋เอ่ยตอบคนอาวุโสกว่า“ลำบากเจ้
ในขณะที่คนภายในบ้านกำลังสนทนากันด้านหน้าบ้านของฉินเต๋อก็ได้มีชาวบ้านกลุ่มใหญ่พากันมายืนอออยู่เต็มไปหมดซึ่งนำมาโดยเฉินกัง“อาเต๋อ เจ้าอยู่บ้านหรือไม่” ชายวัยกลางคนส่งเสียงเรียกคนที่อยู่ด้านใน แต่ทว่ายังไม่ทันที่คนบ้านรองจ้าวจะมาเปิดประตู จ้าวเฉียงที่กำลังเดินมาทางนี้ก็ได้มาไถ่ถามชายวัยกลางคนขึ้นเสียก่อน“ท่านอาเฉินเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ เหตุใดมีคนมามากมาย” คนเป็นพี่ใหญ่ของสามพี่น้องสีหน้าหวั่นวิตก“พวกข้าและชาวบ้านจะมาขอบใจบุตรของอาเต๋อ ที่ช่วยให้เด็กในหมู่บ้านที่มาเรียนกับพวกเขาได้เข้าเรียนสำนักศึกษากันหมดทุกคน และก็จะบอกเรื่องข้าวสาลีที่อีกสามวันก็น่าจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว พวกเจ้าไม่ค่อยได้ไปดูนาสิท่าจึงไม่รู้” เฉินกังกล่าวด้วยรอยยิ้มยืดยาวทำให้จ้าวเฉียงถอนใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีเรื่องร้ายอย่างที่นึกกลัว“คารวะท่านอาเฉินขอรับ/เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ” ฉินเต๋อกับครอบครัวเอ่ยทักชายวัยกลางคนเมื่อเขาเปิดประตูบ้านออกมาแล้วเห็นผู้คนมากมายรวมทั้งพี่ชายก็ยืนอยู่ด้วย“ไม่มีอะไรหรอก อากับชาวบ้านเพียงแต่มาขอบใจบุตรของเจ้า และจะมาชวนพวกเจ้าไ
“หากนางบอกวิธีข้าสาบานกับท่านว่าจะไม่ดึงนางและครอบครัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักหากว่านางไม่ประสงค์” ชายหนุ่มเองก็รับปากอย่างจริงจังซึ่งถ้าหากชายสูงศักดิ์ผู้นี้รู้ว่านอกจากนางจะมีวิธีปลูกผักในฤดูหนาวแล้วนางยังมีพันธุ์ข้าวสาลีหน้าหนาวอีกไม่รู้ว่าเขาจะมีสีหน้าแบบไหน“เอาล่ะ หากเจ้ากล้ากล่าวออกมาแบบนี้ข้าจะเขียนจดหมายไปหานาง ตอนนี้ก็น่าจะหมดเรื่องของเจ้าแล้วเหตุใดยังไม่คิดจะกลับไปอีก” ชายชราเอ่ยปากไล่แขกสูงศักดิ์อีกครั้ง“ท่านอา ท่านอย่าใจร้ายกับข้านักเลย” ชายหนุ่มครวญ“ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไรให้เรียกข้าว่าอาจารย์เข้าใจไหม” เฒ่าหลี่ทำสีหน้าจริงจัง“อาจารย์ก็อาจารย์ เหตุใดท่านจึงไม่ยอมรับฐานะของท่านกันตอนนี้ข้าเองก็มั่นคงในตำแหน่งแล้ว อีกทั้งรัชทายาทของข้าก็มีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งตัดปัญหาการแย่งชิงบัลลังก์ไปได้เลย เหล่านางสนมรวมทั้งขุนนางที่กระด้างกระเดื่องก็ถูกปราบไปจนหมด” ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งกล่าวกับท่านอาที่ไม่ใฝ่ในอำนาจทำให้ตำแหน่งอันหนักอึ้งตกลงมาบนบ่าของตน“เจ้าแน่ใจว่าหมด ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งจะส่งให้เด็กคนนั้นออกไปสืบเรื่องของใครอยู่หรอกหรือ”
เมื่อเสี่ยวเป่าได้ยินคำถามมันจึงวิ่งนำหน้าเด็กทั้งสามไปยังหลังโรงครัวที่ผู้เป็นนายตัวน้อยกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่“น้องเล็กเจ้ากำลังทำสิ่งใด” ซานหนิวเดินไปหาเด็กหญิงพลางมองสิ่งที่น้องน้อยกำลังทำด้วยความใคร่รู้“ทำน้ำด่างเจ้าค่ะ ข้าจะเอามาใช้ทำสบู่อีกที” คนเป็นน้องละสายตาจากสิ่งที่ทำหันมาตอบคนเป็นพี่“น้ำด่างคืออะไร สบู่คืออะไรกินได้ไหม” คนชอบกินเอ่ยถามน้องอีกครั้ง“น้ำด่างคือน้ำแช่จากขี้เถ้าเจ้าค่ะ ส่วนสบู่นั้นเป็นสิ่งของที่เอาไว้ทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายซึ่งมันกินไม่ได้” เด็กหญิงยิ้มแย้มตอบเด็กชายแก่กว่าที่ทำหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำตอบของตน“ทำความสะอาดผิวอย่างไร” เอ้อเหมยเอ่ยถามน้องสาวออกมาบ้างหลังจากที่นางวางเสี่ยวเป้ยตัวน้อยลงบนพื้นแล้ว“เอาไว้ล้างหน้าและอาบน้ำเจ้าค่ะ” เด็กหญิงบ่ายหน้าไปตอบพี่สาวที่กำลังทำหน้างง“เอาไว้ทำเสร็จแล้วข้าจะสาธิตให้พวกท่านดู” ฉินเซียวเอ่ยบอกพี่ทุกคน“ตกลง” เด็กทั้งสามพยักหน้า ก่อนที่จ้าวซิงจะถามน้องน้อยอย่างหวังดี “ให้พวกพี่ช่วยไหม”“ดีมากเลยเจ้าค่ะ” ฉินเซียวยิ้มรับจากนั้นจึงได้ใช้งานพวก