ขึ้นรถม้าแล้ว ยังไม่ลืมชงนมแพะให้จ้านจ้าน“ช่วงนี้จ้านจ้านกินแต่นมแพะตามที่เจ้าบอก นมผงที่เจ้าทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ใกล้จะดื่มหมดแล้ว”ก่อนกู้หว่านเยว่ไป ได้ซื้อนมผงจากแพลตฟอร์มซื้อขายหนึ่งลัง“ถึงว่าทำไมดูแข็งแรงจัง ข้าอุ้มเขา รู้สึกว่าหนักกว่าเด็กอายุสิบเดือนทั่วไปเล็กน้อย”จ้านจ้าน ‘ท่านแม ฟังข้าพูดขอบคุณ โดนหาว่าอ้วนอีกแล้ว’แต่ว่ากู้หว่านเยว่ก็ไม่เคยอุ้มเด็กเยอะนัก“จ้านจ้านถือว่าปกติ ไม่ได้อ้วนนะ แค่แข็งแรงและโตเร็วกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อย”นางหยางเทียบคิ้วของเขา“เจ้าดู จมูกกับปากเหมือนจิ่งสิง ตากับคิ้วเหมือนเจ้า โตขึ้นต้องเป็นหนุ่มน้อยที่หล่อเหลาแน่นอน”พ่อกับแม่ล้วนเป็นชายหล่อหญิงงาม ลูกก็ย่อมไม่น้อยหน้าอืม หน้าตาขี้เหร่ก็อีกเรื่องขณะที่แม่ยายกับลูกสะใภ้คุยกัน รถม้าก็มาถึงหน้าประตูวางแล้วคนทั้งกลุ่มลงจากรถม้า อาการของซูจื่อชิงดูดีกว่าตอนอยู่หน้าประตูเมืองอย่างชัดเจน บนใบหน้าก็เผยให้เห็นรอยยิ้มแล้วสองพี่น้องคุยกันเสร็จแล้วกู้หว่านเยว่รู้สึกดีใจแทนพวกเขา “ใช่แล้ว จิ่นเอ๋อร์ล่ะ?”“นางกลับไปดูแลใต้เท้าฟู่แล้ว บอกว่าสุขภาพของใต้เท้าฟู่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ห่างจากนางไ
“ดี มีศักดิ์ศรีมา ดื่มหนึ่งจอก”สองพี่น้องยกจอกสุราขึ้นมาชนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของกู้หว่านเยว่ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจคุยกับซูจิ่งสิงหลังอาหารเย็นเจีดีย์หนิงกู่พระราชโองการของฝ่าบาท ถูกส่งมาถึงจวนหลี่อย่างเร่งด่วนหลี่เฉิงอันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในศาลาเมื่อได้ยินว่ามีพระราชโองการมา รีบออกไปคุกเข่ารับทันทีผู้มาเป็นกงกงท่านหนึ่ง สุภาพกับหลี่เฉิงอันมาก“คุณชายหลี่ รับราชโองการเถอะ”ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้สุนัขมอบเจดีย์กู่หนิงให้ซูจิ่งสิงเป็นที่ดินในปกครอง ขึ้นตำแหน่งเจิ้นเป่ยอ๋องให้ซูจิ่งสิง แต่กลับปลดบรรดาศักดิ์โหวของสกุลหลี่จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้สกุลหลี่กับซูจิ่งสิงเป็นศัตรูกัน ให้พวกเขาคอยขัดแข้งขัดขาซูจิ่งสิงดังนั้น ตอนนี้หลี่เฉิงอันไม่ใช่ท่านโหวน้อยหลี่แล้วเมื่อได้ยินว่ามีพระราชโองการ หลี่เฉิงอันรีบคุกเข่าทันที“ด้วยพระบัญชาฝ่าบาท เฉิงอันศิษย์ข้าประพฤติตนดี อุปนิสัยหนักแน่น วันนี้ คืนตำแหน่งบรรดาศักดิ์โหว กลับมาบริหารเจดีย์กู่หนิงอีกครั้ง”เมื่อคนสกุลหลี่ฟังจบ บนใบหน้าเผยให้เห็นความปลื้มปีติ รีบพากันโขกศีรษะ“ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุ
คนสกุลหลี่ตะลึง “ท่านโหวน้อย…”มีเกียรติยศและความมั่งคั่งเช่นนี้ กลับไม่ให้อวด ไม่ใช่การทรมานใจคนหรอกหรือ?“ฟังท่านโหวน้อยเถอะ” หลี่ชิวเตี๋ยพูด “ฝ่าบาทและพระมเหสีทรงห่วงใยพวกเรา พวกเรายิ่งต้องจงรักภักดีต่อพวกเขา จึงจะสามารถสืบสานความรุ่งโรจน์ต่อไป”“ชิวเตี๋ย เจ้ารู้ความแล้ว”ผู้อาวุโสสามมองลูกสาวอย่างปลื้มปีติแวบหนึ่ง ลูกสาวช่างน่าเวทนานัก ตอนแรกชอบใต้เท้าทัง แต่ปรากฏว่าเป็นผู้ชายกากเดนต่อมาก็ชอบอวิ๋นมู่ แต่น่าเสียดาย อวิ๋นมู่มองข้ามความรักของนางล้มเหลวในความรักสองครั้ง ขัดเกลาให้นางเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น“สกุลหลี่มีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะราชสำนัก ย่อมต้องจงรักภักดีต่อราชสำนัก”หลี่เฉิงอันถือหนังสือไปที่ห้องหนังสือ เขาต้องศึกษาหนังสือที่อาจารย์หญิงเขียนเองกับมืออย่างละเอียด จึงจะถือว่าไม่ทำให้อาจารย์หญิงผิดหวังขันทีออกจากจวนโหว ก็ไปที่สกุลฟู่ตรงปากทาง ชายสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่มีสีหน้าเย็นชา มองดูข้าหลวงเดินมา“ซูเซ่อ เจ้าไปไกลแล้ว” คนข้างๆ ตบไหล่ของเขา “ได้ยินมาว่าสกุลซูถูกแต่งตั้งเป็นกั๋วกงแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็คือเจิ้นเป่ยอ๋อง ก่อนหน้านี้เป็นญาติผู้พี่ของเจ้าจะไม่ใช้
ทุกคนพลางสนทนา พลางวิ่งไปที่ร้านอาหารในร้านอาหารมีอาหารป่าอาหารทะเลและสุราชั้นยอดจัดวางเต็มไปหมด กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศและสุรา ยั่วจนทำให้ทุกคนน้ำลายไหล“เยี่ยมไปเลย พระมเหสีแต่งงาน พวกเราก็มีลาภปาก”“อยากให้พระมเหสีจะแต่งงานบ่อยๆ จัง…โอ๊ย!” เขาโดนตีที่ศีรษะ มู่หรงฉางเล่อส่ายหน้า “เจ้านี่น่ะ พูดไม่เป็นก็หุบปาก ไปจะอยากได้คำอวยพรเช่นนี้ของเจ้า”แต่งงานบ่อยๆ ญาติผู้พี่ของนางจะไม่เป็นบ้าหรือ“ข้าน้อยพลั้งปาก ข้าน้อยพลั้งปาก แฮ่ๆ”เขายิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างขอโทษ พลางยื่นมือตบปากตัวเอง“ข้ามันพูดจาไม่เป็น ไม่ได้หมายความเช่นนี้ ขออวยพรให้ฝ่าบาทและพระมเหสีมีความสุขร่วมกันเป็นนิรันดร์”“เช่นนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”มู่หรงฉางเล่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นลากลั่วยางไปนั่งลงที่โต๊ะว่างที่แท้พวกนางสองคนว่าง จึงมาร่วมสนุกที่ร้านอาหาร“ข้าชอบกินขาหมู อย่ามาแย่งกับข้า!”มู่หรงฉางเล่อหยิบขาหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก็ยัดใส่ปากด้วยความตื่นเต้นทันที“ใจเย็นๆ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก พวกนี้ล้วนเป็นของเจ้า”ลั่วยางส่ายศีรษะ นางไม่เคยใส่ใจเรื่องอาหารมากนัก“ข้ารู้ พี่หญิงลั่ว ตอนนี้ท่านเป็นหัวหน้าหมอหญิ
ที่อวิ๋นมู่ทำก็ไม่ผิดแทนที่จะยอมรับว่ามีใครคนใดคนหนึ่งขาดสติ สุดท้ายก็ลงมือทำร้ายตัวเองและฝ่ายตรงข้าม มิสู้คุยกันให้ชัดเจนตั้งแต่แรกดีกว่า“ข้ารู้ ว่าการบีบบังคับผู้อื่นย่อมมีแต่ผลเสียมา มาดื่มสุรากันเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว”ในใจของมู่หรงฉางเล่อลำบากใจมาก ลั่วยางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับถ้วยสุรา และนั่งดื่มกับนางเป็นจำนวนสองถ้วยกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจัดพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ภูเขาไท่ซาน ปลอบประโลมดวงวิญญาณแห่งฟ้าดิน แล้วค่อยไปจุดธูปกราบไหว้ที่ตำหนักไท่เหอจากนั้นทั้งสองคนก็พาเหล่าขุนนางและพลทหารกลับพระราชวังเวลานี้ภายในพระราชวังถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดง หน้าประตูวังถูกปูด้วยพรมสีแดงสดไปจนถึงตำหนักใหญ่ โคมไฟสีแดงสัญลักษณ์แห่งความยินดีห้อยระโยงระยางลงมาจากเพดาน มีการเขียนพรรณนาถึงภาพของหงส์ล้อโบตั๋นหรือไม่ก็ภาพของคู่รักที่เคียงคู่กันไว้บนโคมไฟกู้หว่านเยว่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงทั้งตัว ชายกระโปรงยาวลากพื้น โดยมีสาวใช้สองคนคอยช่วยถืออยู่ด้านหลัง“หนักยิ่งนัก”นางบ่นพึมพำอยู่ข้างหูของซูจิ่งสิงชุดคลุมยาวตัวนี้ช่างงดงามวิจิตร บนตัวผ้าถูกปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปดอก
“ขอให้พระมเหสีและฝ่าบาทครองรักเหมือนวันแรก มีทายาทสืบสกุลเร็ว ๆ นะเจ้าคะ”เมื่อถึงคราวควงแขนแลกถ้วยดื่มสุรา ซูจิ่งได้ยกมือขึ้นโบกไล่ให้พวกเขาออกไปเขาลุกขึ้น หยิบถ้วยสุราสองใบเดินมาตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“ให้พวกเขาออกไปทำไมล่ะเจ้าคะ?”นัยน์ตาของก็กู้หว่านเยว่ฉายแววไม่เข้าใจ พลางถอดพู่ระย้าสีทองตรงหน้าออกกวานหงส์ชิ้นนี้หนักยิ่งนัก กดศีรษะของนางจนแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้น“ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ข้าอยากคุยกับเจ้าในบรรยากาศที่เงียบสงบบ้าง”ซูจิ่งสิงคว้ามือของกู้หว่านเยว่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขายื่นถ้วยสุราใบหนึ่งไปตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“ดื่มสุราเคียงคู่ยามพลบค่ำ”กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะเสียงต่ำ จากนั้นก็รับถ้วยสุราใบหนึ่งและตอบว่า“ห้วงคำคึงถึงแดนไกล”ทั้งสองคนสบตากันและกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“ช่างงดงามยิ่งนัก”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบา ๆ“เป็นวันที่งดงามยิ่งนัก บัดนี้เจ้าได้นั่งอยู่ตรงหน้าของข้าอย่างปลอดภัย ส่งยิ้มแห่งความสุขให้ข้า ข้าอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนี้จริง ๆ”“อื้อ “ข้าก็เหมือนกัน”กู้หว่านเยว่เขินอาย ก่อนจะก้มหน้าลงแม้จะบอกว่าจิตใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงไ
ใบหน้าของกู้หว่านเยว่แดงระเรื่อขึ้น นี่คือคืนแรกของการเข้าหอ“หว่านเยว่ ภรรยาของข้า ข้ารักเจ้า”ซูจิ่งสิงก้มลงมากระซิบข้างหูของนาง น้ำเสียงนุ่มลึกและน่าหลงไหลนั้นชวนดึงดูดยิ่งนัก ทำให้หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นตึกตักซูจิ่งสิงอย่าหล่อขนาดนี้ได้ไหม มองทีไรใบหน้าของนางเป็นต้องแดงระเรื่อหัวใจเป็นต้องเต้นรัวทุกที“ท่านพี่ ท่านช่างงดงามยิ่งนัก”นางขยับเข้าใกล้ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ความหอมสดชื่อของบุรุษ ทำให้นางแทบทนไม่ไหวเสียทุกครั้งไป“น้องหญิง”ซูจิ่งสิงโน้มตัวลงมาประทับจูบบนริมฝีปากของนาง น้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยนั้นทำให้กู้หว่านเยว่แทบจะลุกเป็นไฟ ทั้งสองคนหอบหายใจเสียงดังพลางสวมกอดกันแน่น จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนบนเตียงที่ถูกปูด้วยผ้าสีแดงสด บรรจงจูบอย่างดื่มด่ำ ในช่วงเวลาที่มิอาจลืมเลือน......เมืองตงโจวที่ห่างออกไปหมื่นลี้ภายในป้อมปราการที่ดูน่าเกรงขามและสง่างาม จงหลี่ในอาภรณ์สีขาวเปื้อนเลือดสีแดงฉานทั้งตัว ยืนตะหง่าน ใบหน้าของเซียนจุติเต็มไปด้วยบาดแผลและความเหนื่อยล้า“ฝ่าบาท ได้โปรดท่านจงไปเสียเถอะ”ชิงเยี่ยนคุกเข่าก้มกราบอยู่ตรงหน้าของเขาเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้ม บัด
จงหลี่ไม่ไป ตัดสินใจว่าจะตายไปพร้อมกับพวกเขาทุกคนต่างก็ซาบซึ้งใจและลำบากใจในเวลาเดียวกัน“ฝ่าบาท”ชิงเยี่ยนน้ำตาไหลพราก นัยน์ตาของจงหลี่เลื่อนมาหยุดอยู่ที่เขา ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและตบบ่าของเขาด้วยความเชื่อมั่น“ชิงเหยียน เจ้าไปเถอะเจ้าคือองครักษ์ของข้า คือคนที่ข้าเห็นการเติบโตและเป็นคนที่ข้าเชื่อใจที่สุดเจ้าจงนำอารยธรรมของเมืองตงโจวไปตามหาหว่านเยว่ที่ต้าฉี”ในใจของเขายังเป็นห่วงน้องสาว“หลังจากที่เจอหว่านเยว่แล้ว จำไว้ บอกนางจงใช้ชีวิตอยู่ในต้าฉีให้ดี ห้ามกลับมาเมืองตงโจวอีก”“ฝ่าบาท!”ชิงเยี่ยนแสดงสีหน้าตื่นตกใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องจากไปคือตัวเอง“ไม่ ฝ่าบาท ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่กับท่าน”ชิงเยี่ยนแทบจะคุกเข่าร้องไห้ กอดขาของจงหลี่ไว้“ฝ่าบาท ท่านอย่าไล่ข้าเลยเขอรับ ให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากจากไปจริง ๆ”ฝ่าบาทมีพระคุณกับเขามากมายดั่งภูผา เขาจะทิ้งฝ่าบาท แล้วหนีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียวได้อย่างไร?เขาทำไม่ได้ชิงเยี่ยนน้องไห้น้ำตานองหน้า ส่ายหัวปฏิเสธท่าเดียวจงหลี่ทอดถอนใจ แล้วประคองเขาขึ้นมา “ชิงเยี่ยน ทำไมข้าถึงต้องให้เจ้าไป? ประการแรกคื
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป