กู้หว่านเยว่กลับหยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งใบ “พวกเจ้าใช้เงินนี้ก่อน หากไม่พอก็มาขอรับจากข้าได้อีก”“นี่?” สองสามคนมองตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง เบิกตากว้างเหม่อลอย ฮูหยินร่ำรวยเหลือหลาย!“นี่เกรงใจแล้ว ฮูหยิน พวกเราไม่สามารถรับเงินนี้ได้”“ใช่แล้ว ท่านใช้ชีวิตในหมู่บ้านสือหานอย่างอย่างลำบาก จะต้องมีเรื่องให้ใช้เงินมากมาย พวกเราไม่สามารถรับเงิน...”เจียงเฟิ่งทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งอ้ากระเป๋าการกระทำนี้ทำเสียจนกู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะออกมา ยัดตั๋วเงินเข้ากระเป๋าของเขาแล้ว เอ่ยปากยิ้มๆ“เก็บไว้เถอะ พวกเจ้าอย่าดีใจเร็วเกินไปนัก เงินนี้มิได้ให้ไปโดยเสียเปล่า เห็นของในเรือนแล้วหรือไม่ ช่วยข้าดูแลสิ่งเหล่านี้ๆดี ภายภาคหน้ายังต้องให้พวกเจ้าช่วยขนของแทนข้า”พวกเขาสบตากันแวบหนึ่งหงเจาชะงักงันขณะเอ่ย “ฮูหยิน มิสู้ตบหน้าข้าสองทีเถอะ เงินนี้ได้มาง่ายดายเกินไปแล้ว ข้าเกรงใจ”“ใช่แล้วๆ มิสู้ท่านตีพวกเราสองคนเลยก็ย่อมได้ ละอายใจต่อเงินนี้ยิ่งนัก!”กู้หว่านเยว่ ‘ซูจิ่งสิงคนสำรวมตนคนนั้น เหตุใดมีผู้อยู่ใต้อาณัติไม่สำรวมตนเพียงนี้’“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านวางใจเถอะ พวกเราจะเฝ้าของเหล่านี้ดีๆ”เห็นว่าซูจ
“ได้ หัวหน้าหมู่บ้านเดินช้าๆ จิ่นเอ๋อร์ ไปหยิบไก่ย่างมาครึ่งตัว มอบให้หัวหน้าหมู่บ้านนำกลับไปด้วย”หัวหน้าหมู่บ้านโจวรีบโบกมือ “ไม่ต้องๆ มิได้ทำความดีความชอบจะรับรางวัลได้อย่างไร ไฉนเลยจะกินของบ้านท่านได้”“หัวหน้าหมู่บ้านรับไว้เถอะ ภายภาคหน้าเรื่องโรงเรือนปลูกผักยังต้องรบกวนท่านอีกไม่น้อย”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางเดินไปส่งหัวหน้าหมู่บ้านโจวที่หน้าประตู ส่งไก่ย่างให้อีกฝ่ายมองส่งหัวหน้าหมู่บ้านโจวจากไป กู้หว่านเยว่ยุ่งเท้าไม่ติดพื้นตลอดทั้งวัน นับว่ามีเวลานอนพักผ่อนแล้วหมุนตัวอย่างเหนื่อยล้า ใครรู้เพียงหมุนตัวกลับก็มองเห็นหวังปี้วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ“แม่นางกู้ เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว รีบมาช่วยข้าช่วยชีวิตคนเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกหวังปี้พาไปทางเรือนของซูหรานหร่านแล้ว“แม่ทัพหวัง ท่านต้องการช่วยใคร?”“เจ้าตามข้ามาดูเถอะ” หวังปี้เปิดประตู พากู้หว่านเยว่มาหยุดตรงหน้าผู้ได้รับบาดเจ็บหนักคนหนึ่งอีกฝ่ายเลือดออกทั้งตัว ลมหายใจรวยรินกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น นี่อาการหนักเกินไปแล้ว หากมาช้าอีกเพียงเสี้ยววินาที ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยไว้ไม่ได้“ท่านออกไปก่อน ห้ามเข้ามารบกวน
เมี่ยชิงหว่านมองทางเขาอย่างตกตะลึง ซูจื่อชิงหลบเลี่ยงสายตาอย่างว้าวุ่นใจ เอ่ยอธิบาย“อย่างไรเสียเจ้าก็เคยช่วยข้าไว้ ข้าไม่สามารถมองดูเจ้าไปส่งมอบความตายเพียงลำพังได้ ข้า ข้าสามารถปกป้องเจ้าได้”ซูจื่อชิงเองก็ไม่รู้ตนเองเป็นอะไรไปแล้ว ได้ยินว่าเมี่ยชิงหว่านต้องการไปตามหาหนานหยางอ๋อง เกิดว้าวุ่นใจขึ้นมาในทันใด ร้อนใจต้องการไปด้วยกันกับนาง“เจ้าไม่สามารถไปกับข้าได้ เจ้าไม่มีวิชายุทธ์”เมี่ยชิงหว่านเอ่ยปฏิเสธ ซูจื่อชิงไม่มีวิชายุทธ์ ตามไปด้วยก็อันตรายเกินไป“เหตุใดจะไม่ได้ เจ้ารังเกียจข้ารึ?” ซูจื่อชิงเสียใจอยู่บ้างทั้งสองคนทางฝั่งนี้กำลังเถียงกัน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับตกอยู่ในภวังค์ความคิดหากหวังปี้พูดเรื่องจริง นั่นหมายความว่าฮ่องเต้ชั่วเริ่มลงมือกับหนานหยางอ๋องอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ระหว่างหนานหยางอ๋องและฮ่องเต้ชั่ว ไม่มีทางให้หวนกลับมาคืนดีกันได้อีกศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของข้าหลักการนี้ หากสามารถดึงหนานหยางอ๋องแม่ทัพผู้เฒ่ามาเป็นพรรคพวกของพวกเขาได้ภายภาคหน้าล้มฮ่องเต้ชั่วก็เป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้นสองสามีภรรยาปรึกษากันอยู่นาน ลงท้ายตัดสินใจ ตามพวกเขาไปช่วยหนานหยางอ๋อง
เพื่อดูแลกู้หว่านเยว่ที่กำลังตั้งครรภ์ พวกเขาเตรียมรถม้าไว้หนึ่งคันก่อนจากมา กู้หว่านเยว่มอบคำแนะนำในการปลูกผักภายในโรงเรือนให้ซูหรานหร่านฟัง ให้นางและหลี่ฮูหยิน เหยียนฮูหยินรวมถึงคนอื่นพาชาวบ้านหมู่บ้านสือหานมาปลูกผักทุกคนเดินทางตามเส้นทางที่หวังปี้ชี้นำซูจิ่งสิงปูที่นอนหนาๆ ภายในรถม้าเพื่อป้องกันมิให้กู้หว่านเยว่ถูกกระแทกคนหนึ่งกลุ่มออกเดินทางช่วงกลางวัน กลางคืนพักผ่อนภายในโรงเตี๊ยม ใช้เวลาว่องไวที่สุดมายังลั่วอัน“ก่อนนี้เจ้าตามหาเบาะแสของจิ่นเอ๋อร์ได้ ครั้งนี้เจ้าสามารถตามหาหนานหยางอ๋องพบได้หรือไม่?” ซูจิ่งสิงเอ่ยถามอย่างกะทันหันหากกู้หว่านเยว่สามารถชี้ตำแหน่งของหนานหยางอ๋องได้ เช่นนั้นพวกเขาลงแรงเพียงครึ่งเดียวก็สามารถทำให้สำเร็จได้แล้วกู้หว่านเยว่ลองใช้ระบบตรวจค้น “ข้าเคยนำเส้นผมของหนานหยางอ๋องไปตรวจสอบที่หอแห่งโอสถ ดังนั้นระบบจึงมีบันทึกลมหายใจของเขา บัดนี้ทำได้เพียงชี้ตำแหน่งว่าเขาอยู่ที่ลั่วอัน แต่ไม่รู้ว่าที่ใด”“ดูท่าแล้วยังต้องไปค้นหาด้วยตนเอง”ซูจิ่งสิงกลับไม่ผิดหวัง ตรงข้ามกันพวกเขาล้วนมาแล้ว“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าบัดนี้หนานหยางอ๋องยังมีชีวิตอยู่หรือไม
“รอช้าไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันตอนนี้เลย”ทุกคนไปตามแผนที่ มาค้นหาที่หน้าผาก่อนหนึ่งรอบ มองลงไปที่ใต้หน้าผา สามารถรับรู้ได้ว่าหน้าผาสูงชันมากหากคนตกลงไป เดิมทีก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตซูจิ่งสิงตรวจสอบทั่วสารทิศ มองรอบกายปราดหนึ่ง วิเคราะห์ออกมา“บนหน้าผามีรอยเท้ามากมาย เชื่อว่าเกาซิ่นพาคนมาหาทุกหนแห่งก่อนแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องหาที่นี่อีก มิสู้พวกเราไปดูใต้หน้าผาเถอะ”“ไป!”พวกเขาอ้อมมาที่ใต้หน้าผา ที่ใต้หน้าผานี้มีแม่น้ำเชี่ยวกรากหนึ่งสาย กู้หว่านเยว่ช้อนตาประเมินเล็กน้อย หากคนตกลงจากหน้าผา ก็ต้องร่วงลงแม่น้ำสายนี้ก่อนหันมองความลึกของแม่น้ำสายนี้ ยึดตามระดับความเชี่ยวของแม่น้ำ เป็นไปได้ว่าคนจะถูกกระแสน้ำพัดไป“พวกเราไปหาที่ปลายน้ำเถอะ”สายน้ำไหลไปด้านล่าง ริมแม่น้ำมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มิหนำซ้ำมองหมู่บ้านนี้ดูแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนในหมู่บ้านมาซักเสื้อผ้าในแม่น้ำสายนี้บ่อยๆ“ตอนนี้เป็นเช่นไร?”หวังปี้โคลงศีรษะ พวกเขาไม่สามารถเข้าไปถามโดยตรงเลยได้ว่าเคยพบหนานหยางอ๋องหรือไม่ หากชาวบ้านเหล่านี้ถูกราชสำนักซื้อไว้ นั่นก็เท่ากับเปิดเผยตัวตนออกมา“พวกเราปลอมตัวเป็นคาราวานพ่อค้ามาเ
“ต้าชาน ไร้มารยาท!”ท่านป้าจ้องมองลูกชายตาเขม็ง จากนั้นก็จัดเตียงให้กู้หว่านเยว่และคนอื่นๆ อย่างตั้งใจ ก่อนจะนำบะหมี่มาให้อีกหลายชาม“เดินทางกันมาหลายวันคงหิวกันมากแล้ว ทว่าที่บ้านยากจน ไม่ค่อยมีอะไรนัก กินบะหมี่กันไปก่อนแล้วกันนะ”สีหน้าของต้าซานยิ่งแย่ลงไปอีก พึมพำคำไม่น่าฟังออกมา กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขาจากหางตา แล้วยิ้มให้ท่านป้าตรงหน้า“ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ พวกข้าจะจ่ายค่าที่พักให้นะเจ้าคะ”พวกนางไม่คิดจะมาอยู่เปล่ากินเปล่าอยู่แล้ว“ไม่เป็นไรหรอก จากบ้านมาด้านนอก ใครบ้างที่ไม่มีเรื่องไม่สบายใจ? ช่วยได้ก็ช่วยกันไปลูกชายของข้าไม่ใช่คนใจร้ายหรอก เพียงทว่าปากเปราะไปสักหน่อย”ท่านป้าเอาน้ำร้อนมาให้ อธิบายด้วยรอยยิ้มเสร็จแล้วก็ปิดประตูเดินออกไปซูจิ่งสิงจ้องมองไปที่ต้าซาน ลูบปลายนิ้วเล็กน้อย “ต้าซานคนนั้นผิดปกติ”“ท่านก็รู้สึกเหมือนกันหรือเจ้าคะ? ดูเหมือนเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่เลย”หลังจากที่กู้หว่านเยว่เข้ามาในหมู่บ้าน นางรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้มีบางอย่างผิดปกติ ดูเหมือนทุกครอบครัวจะซ่อนความลับบางอย่างไว้“คืนนี้ข้าจะรอดูหน่อย”ซูจิ่งสิงส่งซูจื่อชิงและเมี่ยชิงหว่านไป
ต้าซานกล่าวเสริมว่า “หากพวกเขาปล่อยข่าวเกี่ยวกับท่านอ๋องผู้เฒ่าไปเล่า? ท่านอ๋องผู้เฒ่าต้องเป็นอันตรายแน่”ท่านป้ามยังคงกังวลเล็กน้อย “แต่ถึงเช่นนั้นพวกเขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์ อย่าทำร้ายชีวิตพวกเขาเลยนะ!”“ท่านแม่ ท่านเห็นข้าเป็นคนเช่นไรไปแล้ว? ข้าเพียงวางยาสลบพวกเขาไป พรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”ต้าซานสีหน้าไร้เดียงสา แล้วพูดว่า “ท่านแม่ ท่านคอยดูพวกเขาอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอาอาหารไปให้ท่านอ๋องกับคนอื่นๆ”กู้หว่านเยว่เกือบจะขยับอยู่แล้ว แต่นางก็ต้องตกใจแน่นิ่งไปเสียก่อน หนานหยางอ๋องซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยไม่แปลกใจเลยที่คนทั้งหมู่บ้านจะระวังตัวแจเช่นนั้น ราวกับว่าพวกเขากำลังพยายามซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ทุกอย่างสมเหตุสมผลแล้ว เสียงฝีเท้าในหูของนางค่อยๆ หายไป ท่านป้ากระซิบขอโทษพวกเขา หันหลังกลับ แล้วปิดประตูออกไปทันทีเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาอีก กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว“ตามเขาไป!” ทั้งสองพูดพร้อมกัน!โชคดีที่ต้าซานไม่ได้เดินเร็วนัก ทั้งยังแบกอาหารไว้บนหลัง หลังจากที่ทั้งสองออกจากบ้าน พวกเขาก็เดินตามต้าซานอยู่ไกลๆ มองเห็นชาวบ้านที่อายุน้อยและแข็งแกร่งอีกหลายคนเ
มองคนไม่อาจมองจากภายนอก กู้หว่านเยว่ที่คิดว่าต้าซานอาจไม่ได้มีนิสัยดีนัก ยามนี้ไม่คิดว่าเขาจะใจดีขนาดนี้กู้หว่านเยว่อดคิดไม่ได้ว่า สาเหตุที่ชาวบ้านพวกนี้เต็มใจเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเขา เพราะหนานหยางอ๋องรักประชาดุจบุตรตนจริงๆ“สหายต้าซาน ไม่ได้เด็ดขาด!” แม่ทัพหลี่รีบห้ามเขา “ถ้าท่านอ๋องผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องไม่ใช้ยาพวกนั้นแน่”หนานหยางอ๋องเป็นคนเที่ยงธรรม ไหนเลยจะยอมให้คนอื่นเสียสละตัวเองเพื่อเขาได้อย่างไร?“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าให้ท่านอ๋องรู้สิ” ดวงตาของต้าซานฉายแววแน่วแน่ มองไปรอบๆ มองหาสถานที่ทำร้ายตัวเองกู้หว่านเยว่ที่อยู่นอกวัดพังๆ เมื่อเห็นเข้าก็รู้ว่าถึงเวลาที่พวกตนควรปรากฏตัวแล้ว นางรีบดึงซูจิ่งสิงออกมา แล้วเดินเข้าประตูไป“ช้าก่อน”เมื่อชาวบ้านเห็นทั้งสองคนก็สะดุ้งทันที มองดูพวกเขาอย่างระมัดระวัง หัวใจเต้นแรงดังสนั่น คล้ายขึ้นมาค้างเติ่งอยู่ในลำคอต้าซานกระโดดออกมาด้วยความตกใจ “พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ข้าไม่ได้วางยาสลบพวกเจ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”เมื่อดูการปรากฏตัวของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง พวกเขาก็ตกใจแทบตายเขาสอดธูปสลบเข้าไปแน่แล้
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้