ซูจิ่นเอ๋อร์ลนลานพยักหน้า “ข้ารับปาก ข้ารับปาก! ข้าจะเชื่อฟังแน่นอน”“ข้าจะไม่ติดตามพวกท่านแล้ว”ซูจื่อชิงมองคนหลายคน ด้วยแววตาขอคำปรึกษา“นายท่านฟู่และคนอื่น ๆ เพิ่งมาถึง มีสิ่งของมากมายที่ต้องจัดซื้อ ข้าจะอยู่ช่วย”“อืม”ซูจิงสิ่งรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ มองทะลุได้โดยไม่ต้องจิ้มให้แตกเลยเด็กคนนี้ต้องการตามเกี้ยวเมี่ยชิงหว่าน ก็ควรจะทำอะไรบางอย่างในทางปฏิบัติ หวังว่าเมื่อเขากลับมา ซูจื่อชิงจะมีความก้าวหน้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาขึ้นรถม้าและออกเดินทางก่อนจะไป ทั้งนางหยางและซูจิ้งมายืนส่งที่ประตู“หว่านเยว่ พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ออกไปข้างนอกอย่าอวดเก่ง ปกป้องตัวเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล”กู้หว่านเยว่โบกมือให้ทั้งสอง “พวกท่านกลับไปเถอะ ลำคอของท่านพ่อโดนลมไม่ได้”“ออกเดินทางได้แล้ว ระหว่างทางต้องระวังให้มากหน่อย”ฟู่หลานเหิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่เปิดม่านรถขึ้น เห็นฮั่นจิ่วและลู่จิงตามมาในเงามืด ยิ่งเข้าใกล้ชายแดนมากเท่าใด ก็ยิ่งพบศพตามข้างทางมากขึ้นเรื่อย ๆ“แนวป้องกันชายแดนมีเมืองอยู่ด้วยหรือ?”“มีอยู่จริง ชื่อว่าเมืองตะวันไม่ตกดิน”ฟู่หลาน
ซูจิงสิ่งรีบกระโดดลงจากรถม้า เข้าไปรวมตัวกับอีกหลายคน“พี่ใหญ่ ให้ข้าช่วยเถอะ”ซูจิ่นเอ๋อร์จำได้ว่าลูกศรซ่อนในแขนเสื้อที่พี่สะใภ้ใหญ่ให้มาสามารถฆ่าคนได้หลายคนลงมือพร้อมกัน ร่วมด้วยองครักษ์ลับ สังหารคนชุดดำไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็วคนชุดดำที่เหลือเห็นว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จึงรีบขี่ม้าหันหลังออกไป“ไม่ต้องไล่ตามข้าศึกเดนตาย”กู้หว่านเยว่ห้ามหลี่เฉินอันที่กำลังเข่นฆ่าอย่างโกรธเกรี้ยว ยังไม่รู้ว่าคนชุดดำกลุ่มนี้มีกี่คน หากบุ่มบ่ามไล่ตามไป คนที่เสียเปรียบจะเป็นฝ่ายตนหลี่เฉินอันเชื่อฟังนางมาก หยุดฝีเท้าในทันที เดินกลับไปอยู่ข้าง ๆ กู้หว่านเยว่“อ๊อก!”ชายที่วิ่งหนีกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ล้มลงกับพื้น“เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำไมพวกเราไม่ช่วยเขาล่ะ? ไม่เช่นนั้นหากทิ้งเขาอยู่ในพื้นหิมะนี้ เขาต้องหนาวตายเป็นแน่”ซูจิ่นเอ๋อร์เห็นแล้วทนไม่ได้ ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้จึงรีบบอก “ถ้ายุ่งยากเกินไปก็ช่างมันเถอะ ข้าแค่พูดเฉย ๆ”พวกเขากำลังไปจัดการธุระ ไม่ใช่ทำการกุศลรายทาง หัวใจของแม่พระไม่ควรถูกปลุกขึ้นมาง่าย ๆ“ข้าจะไปดูหน่อย”หลี่เฉินอันเดินเข้าไป ถอดผ้าโพกหัวของชายคนนั้นออก ทันใดนั้น ก
ซูจิงสิ่งเดินวนอยู่สองรอบด้วยความกังวล กลัวว่ากู้หว่านเยว่จะติดเชื้อ“ข้าไม่เป็นอะไร”แม้ว่าจะคาดเดาได้แปด เก้า ถึงสิบส่วน แต่เพื่อความรอบคอบ กู้หว่านเยว่ยังต้องอ่านรายงานการทดลองจากหอแห่งโอสถด้วยกู้หว่านเยว่หยิบยาห้ามเลือดและยาแก้อักเสบออกมาจากกล่องปฐมพยาบาล นอกจากผื่นแดงบนร่างกายของชายคนนี้แล้ว เขายังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดผลรายงานจากหอแห่งโอสถก็ออกมาแล้วกู้หว่านเยว่อ่านผ่านตา เป็นไปตามที่นางคาดเดาไว้“โชคดี มันไม่ใช่ไข้ทรพิษ เป็นเพียงการถูกพิษ”ทันทีที่ได้ยินว่าถูกพิษ หลายคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเป็นไข้ทรพิษ มันจะสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ไข้ทรพิษมีความสามารถในการแพร่เชื้อได้สูงมาก ถึงแม้ว่าคนสองคนจะพูดคุยกันในระยะห่างสองถึงสามเมตร ก็อาจติดเชื้อจากละอองน้ำลายได้แม้แต่คนที่เคยพบหน้าชายคนนี้เมื่อครู่ก็อาจติดเชื้อได้ตอนนี้ในเมื่อได้รับการยืนยันแล้วว่าชายคนนี้แค่ถูกพิษเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก“ในเมื่อไม่ใช่ไข้ทรพิษ เช่นนั้นก็ถือโอกาสพาเขาไปส่งที่โรงหมอในบริเวณใกล้เคียงแล้วกัน”พวกเขายังมีเรื่องสำค
“อาจารย์หญิง เป็นยังไงบ้าง?”หลี่เฉินอันเข้ามาสอบถามทันที“ไม่เป็นอะไรแล้ว พักผ่อนให้เต็มที่ก็พอแล้ว”สีหน้าของกู้หว่านเยว่ซีดเผือดเล็กน้อย หลี่เฉินอันเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิดการเดินทางไม่อาจหยุดรอได้ ทั้งคณะจึงกลับขึ้นรถม้าเร่งการเดินทางต่อไป“หว่านเยว่ เจ้าพักก่อนเถอะ”ซูจิงสิ่งมองกู้หว่านเยว่ที่มีท่าทางเหนื่อยล้า รู้สึกสงสารจับใจกู้หว่านเยว่กุมหน้าผาก นางมีมิติในการถ่ายทอดความสามารถพิเศษ ร่างกายยังพอทนไหวแต่ในใจก็เกิดความคิดอยากจะรับลูกศิษย์“ให้ข้ารับลูกศิษย์หนุ่มสักคนดีกว่า วันหลังจะลองมองหาดู”หากพบใครสักคนที่มีพรสวรรค์สูงและจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ สามารถเป็นผู้ช่วยอยู่ข้าง ๆ ได้แต่เดิมนางสนใจเด็กสาวอย่างซูจิ่นเอ๋อร์ แต่น่าเสียดายที่ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์มากนัก สามารถแยกแยะสมุนไพรง่าย ๆ ได้เพียงไม่กี่ชนิดแต่กลับสนใจเรื่องอาหารมากกว่า ศึกษาเรื่องอาหารการกินที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน“ข้าจะช่วยเจ้าค้นหาด้วยกัน”ซูจิงสิ่งมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ยื่นมือออกไปนวดหัวไหล่และแขนของนางอย่างอ่อนโยน“ความแรงระดับนี้ได้ไหม?”“อืม สบายจัง”รถม้าวิ่งไปส่งเสียงดังเอ
“ตอนนี้เขาเป็นอะไรไปแล้ว? ท่านอากงท่านพูดซิ” หลี่เฉินอันร้อนใจแย่แล้ว กงจ่างเฮ่อพรูลมหายใจยาวเหยียดออกมา “เพียงสามคำสองประโยคข้าไม่สามารถพูดให้เข้าใจได้ รอเจ้าพบเขาแล้วก็จะรู้เอง”“นี่ท่าน” หลี่เฉินอันถามแล้วแต่ไม่ได้อะไรกลับมา“พวกเราอยู่ห่างจากเมืองตะวันไม่ตกดินอีกไกลมากเพียงใด?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามเปิดประเด็นกงจ่างเฮ่อได้ยินก็รีบเก็บอารมณ์ แหวกผ้าม่านรถม้า เขาอาศัยในเมืองตะวันไม่ตกดินนานราวสิบกว่าวัน จดจำต้นไม้ใบหน้ารอบด้านไว้ในใจแล้วเพียงมองสภาพแวดล้อมโดยรอบหนึ่งปราด เขาก็รู้ว่ารถม้าอยู่ตำแหน่งใดแล้ว“อยู่ห่างจากเมืองตะวันไม่ตกดินอีกราวครึ่งชั่วยาม ทว่ารูปลักษณ์ของข้าในตอนนี้ น่ากลัวว่าไม่เหมาะเข้าเมืองพร้อมพวกเจ้า”กงจ่างเฮ่อมองผื่นแดงทั่วตัวอย่างกังวล แม้กู้หว่านเยว่พูดแล้วว่าผื่นแดงเหล่านี้มิใช่ไข้ทรพิษแต่คนปกติมองเห็นเป็นครั้งแรกก็ยังคิดว่าเป็นไข้ทรพิษ“เมืองตะวันไม่ตกดินมีการตรวจตรา หากทหารพบรูปลักษณ์ของข้านี้ จะต้องลากข้าลงจากรถม้า ไม่แน่ว่ายังจะทำให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อน”คนยุคสมัยโบราณไม่มีวิธีรับมือกับไข้ทรพิษหากพบว่าใครเป็นไข้ทรพิษ หนทางเดียวก็คือกันผู้ป่ว
คูเมืองที่อยู่ห่างไม่ไกลติดกับชายแดน คล้ายมังกรยาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งขดอยู่บนพื้นดิน“นี่คือเมืองตะวันไม่ตกดินหรือ? งดงามเหลือเกิน”ซูจิ่นเอ๋อร์อุทานออกมาอย่างจริงใจฟู่หลานเหิงเคยมาเมืองตะวันไม่ตกดินหนึ่งครั้ง สีหน้ากลับเรียบเฉย กระซิบบอกซูจิ่นเอ๋อร์เรื่องอุปนิสัยใจคอและวัฒนธรรมของคนภายในเมืองตะวันไม่ตกดิน“คนเข้าเมืองคล้ายมีมาก?”กู้หว่านเยว่แปลกใจอยู่บ้าง นางคิดว่าเมืองตะวันไม่ตกดินมีเพียงนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีราษฎร์เสียอีกกงจ่างเฮ่ออธิบาย “เจดีย์หนิงกู่พื้นที่กว้างใหญ่คนกลับน้อย มีคูเมืองเพียงสองแห่ง หนึ่งแห่งคือเมืองตู้เปียน อีกหนึ่งแห่งคือเมืองตะวันไม่ตกดิน เมืองตะวันไม่ตกดินแห่งนี้ไม่มีหมู่บ้าน แต่มิได้หมายความว่าทางฝั่งนี้ไม่มีราษฎร์อยู่ นอกเมืองมีหมู่บ้านอยู่อย่างกระจัดกระจาย ยังมีราษฎร์อีกจำนวนมากเข้าเมืองมาหาของกินในฤดูหนาว”กู้หว่านเยว่มองเห็นราษฎร์เหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดหวิ่น เท้าเองก็ไม่สวมรองเท้าดีๆ ใบหน้าและใบหูล้วนโดนความเย็นกัด ต้านลมหนาวอย่างน่าสงสาร ชนิดที่ว่าเส้นทางทั้งสองฝั่งมีเด็กและผู้ชราแข็งตายทั้งเป็นไม่น้อยศพถูกฝังไว้ใต้สายลมและหิมะ อีกทั้งยังถูกสุนั
“วางใจเถอะ ไม่มีวันเกิดเรื่อง”กู้หว่านเยว่วิเคราะห์จึงพูดออกมาในเมื่อคนอยู่เบื้องหลังใช้วิธีการวางยา ต้องการไล่พวกเขาออกจากเมืองตะวันไม่ตกดินนั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายยังมีหลักฐานไม่มากพอให้ฉีกหน้า เผชิญหน้ากับทหารกลุ่มนี้อย่างเปิดเผยได้ดังนั้นแม้ร้อนใจก็ยังต้องเสแสร้ง“ขอบคุณมาก” กงจ่างเฮ่อมองกู้หว่านเยว่หลายหน คิดว่านางคล้ายสหายเก่าก็มิปาน“ท่านลุงอยู่ที่ใดกัน?”หลี่เฉินอันร้อนใจจนน้ำลายแตกฟอง “ตอนนี้พวกเรากำลังไปหาเขากระนั้นหรือ?”กงจ่างเฮ่อพยักหน้า “สหายเกิ่งยังอยู่ที่จวน แต่บัดนี้จวนเกิ่งน่าจะถูกทหารล้อมไว้แล้ว ข้าพาพวกเจ้าไปดูๆ ก่อน”“ได้”รถม้าแล่นไปอย่างเชื่องช้ามาถึงด้านนอกจวนเกิ่ง ดังคาด พบว่าภายนอกถูกทหารสวมชุดฟ้ามากมายล้อมไว้ ประตูสี่ทิศแปดด้านล้วนมีคนเฝ้า ไม่ให้คนเข้าออก “ไป พวกเราไปดูๆ ที่ร้านชาฟังตรงข้ามก่อน”กู้หว่านเยว่เสนอให้สืบข่าวจากร้านชาสองสามคนต่างเห็นด้วย รีบลงจากรถม้า เดินเข้าร้านชา สั่งชามาสองกา“แม่ทัพเกิ่งท่านนี้ดวงซวยยิ่งนัก ถึงขั้นเป็นไข้ทรพิษ สิ่งนี้ถึงตายเชียวนะ”เพิ่งนั่งลงก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาแล้วกู้หว่านเยว่และคนอื่นสบตากันแว
“ขอบคุณเจ้าของร้านมาก ท่านออกไปก่อนเถอะ”หลี่เฉินอันเอ่ยอย่างกังวล“ท่านอาจารย์หญิง ด้านนอกมีทหารมากเพียงนี้ พวกเราแค่ไม่กี่คนคล้ายจะเข้าไปไม่ได้”กู้หว่านเยว่ขยับนิ้ว ต้องการเข้าไปกลับไม่ยากเมื่อครู่นางตรวจสอบบ้างแล้ว แม้ประตูจวนเกิ่งมีคนมาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ประตูหลัก ประตูรองและประตูหลังมีทหารลาดตระเวนเพียงไม่กี่คนกู้หว่านเยว่วางแผนช่วยเหลืออย่างหนึ่งกงจ่างเฮ่อกลับมีสีหน้าประหลาดใจ ไม่พูดจาแม้คำเดียว มองดูแล้วคล้ายมีเรื่องภายในใจ“ท่านเป็นอะไร?” กู้หว่านเยว่เห็นเขาคล้ายปิดบังอะไรอยู่“เปล่า” กงจ่างเฮ่อขมวดคิ้ว กระซิบต่ออีกหนึ่งประโยค “ข้าเพียงกังวล แม้พวกเราเข้าไปอย่างยากลำบากได้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าสหายเกิ่งจะยอมจากไปกับพวกเรา”อย่างไรเสียเกิ่งกวงก็มีวิชายุทธ์สูงมากกว่าเขา ครั้งก่อนเดิมทีสามารถหนีไปกับเขาได้ ปรากฏว่าเขาไม่ยอมไป“นี่หมายความว่ากระไร?” กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว ตกลงเกิดเรื่องใดที่นางยังไม่รู้กระนั้นรึ?“เฮ้อ ช่างแล้ว รอพวกเจ้าพบเขาก็รู้แล้ว” กงจ่างเฮ่อจิบชาหนึ่งอึก พูดอย่างอารมณ์ไม่ดีสองสามคนกลับยิ่งงุนงง ทำได้เพียงดื่มชาจนหมดรอจนกระทั่งสบโอกาสยามองครักษ์
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป