로그인หนึ่งหญิงสาวที่ถูกหักหลัง หนึ่งสตรีที่ถูกกำจัด เพื่อมิให้เป็นขวากหนามแห่งอำนาจ เมื่อหญิงสาวจากต่างโลก ต้องมาอยู่ในร่างที่อ่อนแอ นางจึงเปลี่ยนจากผู้ถูกล่า เป็นผู้ล่าในคราบของเหยื่อตัวน้อย
더 보기จวิ๋นมู่ สตั๊นท์เกิร์ลสาวสวย ที่รับเล่นแทบทุกบทบาท กำลังเดินตรงกลับไปที่รถ หญิงสาวโบกมือให้กับเพื่อนๆ ที่เป็นนักแสดงทั้งสมทบ ซึ่งร่วมงานกันมานาน วันนี้เธอได้กลับบ้านเร็ว คิดว่าจะชวนคนรักกับครอบครัวของเขา ไปกินข้าวข้างนอกกันสักมื้อ
“จะรีบกลับไปไหนจ๊ะเพื่อนรัก เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า”
เสี่ยวถิง เพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัว ก้าวมาเดินข้างๆ พร้อมเอ่ยปากชวนเพื่อนรักไปหาอะไรกิน ถึงจะทำงานด้วยกัน แต่น้อยมากที่จะได้ไปไหนด้วยกัน เพราะตั้งแต่คนรักของเพื่อนโด่งดับงในฐานะพระเอกหนัง จวิ๋นมู่แทบไม่มีเวลาได้ไปไหนเลย
“แต่วันนี้ฉันแพลนว่าจะพาครอบครัว ของซือเส่าไปกินข้าวนะ”หญิงสาวตอบเพื่อนไปตามตรง
“เขาไม่ไปหรอก เธอก็รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นพระเอก ที่กำลังดังเป็นพลุแตก ถ้ามีข่าวออกไป เขาคงเดินบนเส้นทางนี้ลำบากน่าดู”
เสี่ยวถงแกล้งประชดเพื่อนรัก เพราะเธอรู้ข่าวบางอย่างมา แต่มันยังไม่แน่ชัด เธอเลยยังไม่บอกจวิ๋นมู่ กลัวจะคิดมากจนทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงาน ยิ่งช่วงนี้เพื่อนของเธอต้องเข้าฉากเสี่ยงตายอยู่บ่อยครั้ง พลาดมามันจะได้ไม่คุ้มเสีย
“ฉันลืมไปเลย”
จวิ๋นมู่นึกขึ้นได้ ว่าเธอกับคนรัก ยังไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์ เพราะเธอเองก็ปกปิดเขาเรื่องตัวตน เพราะไม่อยากให้เขากดดัน ในเรื่องของฐานะที่แตกต่าง จึงทำตัวเป็นเพียงคนในเงาของเขามาหลายปี
“หรือฉันควรบอกถึงตัวตนของฉันได้แล้ว ทีนี้ไปไหนก็ไม่ต้องหลบซ่อนแล้ว”
หญิงสาวนึกฝันถึงใบหน้า ทั้งตกใจและยินดีของคนรัก ถ้ารู้ว่าครอบครัวของเธอคือใคร ถึงเขาอาจน้อยใจที่เธอไม่ได้บอกความจริง แต่อย่างน้อยเธอกับเขา ก็ไม่ต้องหลบนักข่าว เหมือนทุกๆ ครั้งที่ออกไปไหนด้วยกัน
“เธอคิดดีแล้วเหรอ เขาเพิ่งเป็นพระเอกได้ไม่นาน ถ้ารู้ว่าเธอคือใคร เขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะ”
“เธอมีอะไรที่อยากจะบอกฉันไหม”
“ฉันแค่กลัวว่าความดังของเขา จะทำให้เธอลำบากใจ เธอลองคิดดูนะว่าถ้าเธอยังเป็นแค่สตั๊น แล้วเขากล้าที่จะประกาศให้คนรู้ ว่าเธอคือคนรัก มันจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเขารีบประกาศหลังรู้ว่าเธอคือลูกสาวของใคร มันจะต่างกันมากเลยนะ”
เสี่ยวถงรีบแย้งทันที เธออยากให้แน่ใจกับข่าวที่ได้ยินมาก่อน ค่อยบอกกับเพื่อนรัก อีกอย่างคนกำลังคลั่งรักแบบนี้ พูดไปก็เปล่าประโยชน์
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราค่อยว่ากันอีกที รอฟังดูก่อนว่าเขาจะว่ายังไง”
“ได้”
สองเพื่อนสาวปล่อยเรื่องที่เพิ่งคุยกัน ให้มันยุติลงเพียงเท่านี้ ก่อนจะเดินคุยกันเรื่องอื่นไปที่ลานจอดรถ ก่อนที่สายตาของทั้งคู่ จะหยุดอยู่กับร่างกลมอ้วน ที่ยืนอยู่ข้างๆ รถของจวิ๋นมู่
“เจ้าลูกหลงนี่มากับใครนะ!”
หญิงสาวบ่นอุบเมื่อน้องชาย มายืนดักเธอแบบนี้ ดูท่าเธอคงไม่ได้ไปไหนกับครอบครัวคนรักแล้ว เพราะถ้าน้องชายของเธอมาอยู่ตรงนี้ นั่นหมายความว่าพ่อแม่ต้องส่งเขามาตามเธอกลับบ้าน
“เจ้าหมูน้อยนี่”
เสี่ยวถง รีบวิ่งเข้าไปหาเด็กชาย ที่ยืนอยู่ข้างรถของจวิ๋นมู่ ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าของเด็กน้อย แล้วยื่นมือไปบีบแก้มยุ้ยนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“พี่เสี่ยวถง แตะเนื้อต้องตัวผมแบบนี้ โตขึ้นผมต้องแต่งกับพี่แล้วนะ ผมไม่อยากมีเมียแก่” เด็กชายวัยเจ็ดขวบ พยายามเบนหน้าหลบการจู่โจมมือของเพื่อนพี่สาว
“อ๊าย!!! เจ้าเด็กปากเสีย ใครจะเป็นเมียนายกันห๊ะ! แล้วอะไรเมียแก่ เดี๋ยวเถอะช่างแก่แดดเกินไปแล้วนะ”
เสี่ยวถง อยากจะแกล้งเด็กคนนี้ให้มากอีกหน่อย แต่จากท่าทางแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เธอยังมีโอกาส ได้เจอกับคุณชายน้อยตระกูลหลีอีกยาวนาน
“มาได้ยังไง”
จวิ๋นมู่ถามน้องชาย ลูกหลงของบ้านปกติแล้วคุณชายน้อยหลี ไม่เคยจะห่างตาจากพี่เลี้ยงแม้แต่วินาทีเดียว วันนี้ใช้แผนการไหนกัน ถึงสามารถมายืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้คนเดียวได้
“ผมคิดถึงพี่ วันนี้เรากลับไปที่บ้านด้วยกันนะครับ”
หลีเสวียน เดินเข้าไปกอดพี่สาวเอาไว้ แล้วเริ่มที่จะออดอ้อน เพราะตั้งแต่พี่สาวมีแฟน ตลอดสามปีมานี้ เธอแทบไม่ได้กลับไปนอนบ้าน ไหนจะทำงานเหมือนคนขาดแคลนเงิน ทำจนไม่รุ้จักว่าวันไหนควรพักผ่อน
“ได้! แต่พี่ขอไปเอาของที่วิลล่าก่อนนะ”
เจอสายตาและลูกอ้อนของน้องชาย หญิงสาวมีหรือจะกล้าขัดใจ เพราะต่อให้เธอขัดใจหลีเสวียน เขาก็ไม่มีวันปล่อยให้เธอ ได้อยู่อย่างสงบแน่นอน สู้ยอมตามใจเขา เป็นการดีที่สุด
“ครับ...แต่ผมไปด้วยนะ เราจะได้กลับพร้อมกันเลย” หลีเสวียนรีบเสนอทันที เขาไม่อยากนั่งรถคนละคันกับพี่สาว แต่ต้องการนั่งรถไปด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน
“เสี่ยวถิง เธอจะได้ด้วยกันไหม”
จวิ๋นมู่ หันไปถามเพื่อนรัก ที่ยังยืนมองน้องชายเธอตาเป็นมัน เหมือนนักล่าพบเหยื่ออันโอชะ ถือเป็นคู่ปรับที่น่าเอ็นดูที่สุด เพราะเสี่ยวถง ชอบที่จะแกล้งหลีเสวียนมากกว่าใคร
“อืม! ดีเหมือนกันฉันจะได้กอดว่าที่สามี ให้นานๆ หน่อย”
เสี่ยวถง ทำท่าจะพุ่งเข้ากอดหลีเสวียน ทว่าเด็กชายรีบหลบหลังพี่สาว ก่อนจะมีเสียงหัวเราะชอบใจของเสี่ยวถง และเสียงโวยวายของเด็กชาย
คณะเดินทางของว่าที่พระชายาลู่จิ้งอ๋อง เสียงสัญญาณอันคุ้นเคยดังขึ้น อู๋เหล่ย เป่าปากตอบกลับด้วยสัญญาณ ซึ่งรู้กันดีในหมู่คณะ ก่อนจะยกมือให้ชะลอการเคลื่อนตัว ชายหนุ่มกระตุ้นม้าให้วิ่งเยาะ ๆ ไปเบื้องหน้าเพื่อรอรับการมาของสหาย “เจ้ามาช้าไปสักหน่อยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าสหาย เขามั่นใจว่าตลอดทั้งคืน สหายรักคงสำราญกับการกลั่นแกล้งผู้คน การสังหารมันง่ายดาย แต่อะไรที่ทรมานคนไปทั้งชีวิต พวกเขาถนัดยิ่งนัก “ไม่หรอก แต่ข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้อีกไม่กี่ชั่วยาม เมื่อคนพวกนั้นมีสติมากพอ จะลงมือต่อนายหญิงแบบจริงจัง” “ตัดกำลังใจไปแล้วกว่าครึ่ง ลงมือก็แค่เศษฝุ่น ไปเถอะนายหญิงรออยู่” อู๋เหล่ย เอ่ยกับสหายรัก ก่อนที่เขาจะเบนหัวม้า ให้กลับเข้าคระเดินทางอีกครั้ง โดยมีฉู่เฟยควบม้าเคียงข้างกันไป ฉู่เฟยกระตุ้นม้าให้ออกเดินเลยไปที่รถม้าของผู้เป็นนาย เพื่อรายงานสถานการณืข้างหน้าให้ได้รู้ “กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” หญิงสาวคลี่ม่านหน้าต่างออก เอ่ยถามฉู่เฟย ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ขอรับ ทางนี้เรียบร้อยดีใช่หรือไม่ขอรับ” “เจ้าค่ะ แล้วท่านพี่ฉู่เล่า
ห่างออกไปอีกฝากของป่าริมทาง ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในคราบของบ่าวชายจวนอ๋อง ก้าวตรงไปที่กลุ่มคนที่ยืนรออยู่ ชายหนุ่มปลดชุดที่สวมออกทีละชิ้น ก่อนจะรับเสื้อผ้าของตนเอง มาสวมผลัดเปลี่ยน เพื่อที่จะได้กลับไปหาผู้เป็นนาย “กระจายข่าวไปให้เร็ว เรื่องนี้ต้องถึงเมืองหลวง ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว” ชายหนุ่มสั่งการด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คนที่เคยได้ลิ้มรสกามไปแล้ว ย่อมต้องมีเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า แม้แต่ตอนนี้ท่านอ๋องน้อยกับหยางชีลั่ว ก็ยังคงไม่ได้ออกจากกระโจม เพราะตอนที่เขาเข้าไปข้างในนั้น แน่นอนว่าต้องมีของติดไม้ติดมือเข้าไปด้วย “ขอรับ” หนึ่งในผู้ติดตมรับคำ ก่อนที่จะรีบหายไปจากตรงนั้น ส่วนคนที่เหลือต่างแยกตัวกันออกไป คอยจับตาดูคนจากสองคณะ ซึ่งจากที่ดูแล้วคงยังอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักคืน “พวกเจ้าแค่จับตาดู และส่งข่าวไปให้ข้าเท่านั้น มิต้องลงมือใด ๆ ทั้งสิ้น” เอ่ยจบร่างสูงใหญ่ เหวี่ยงกายขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วควบตรงไปตามเส้นทาง ของคณะผู้เป็นนาย ที่ป่านนี้ก็กำลังรั้งรอที่จะฟังข่าวอยู่ เรื่องนี้ในสายตาหลายคน อาจมองว่าธรรมดานัก แต่การเสพสมของบุรุษ ที่เกิดในสกุลใหญ่ มัน
หลังจากม่านกระโจมปิดลง เหลือไว้เพียงแค่ชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งตอนนี้อ๋องหนุ่มได้เดินตไปหยิบเสื้อผ้า ที่กองอยู่บนพื้น ขึ้นมาสวมบนร่างหาย โดยที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองดูส่วนนั้นของตนเอง ซึ่งยังคงตั้งชันไม่ได้สงบลงอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งเห็นแผ่นหลังเหยียดตรงของอีกฝ่าย ความพลุ่งพล่านในใจ กลับทวีขึ้นมาอย่างยากจะห้ามอยู่ ความร้อนในกาย มันทำให้ความคิดบางอย่างแทรกเข้ามา ยิ่งภาพเลือนรางที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผุดขึ้นมาในหัว ความเจ็บร้าวตรงส่วนนั้น ยิ่งมากตามขึ้นไปอีกนับเท่าทวีคูณ ชายหนุ่มขบกรามแน่น เพื่อที่จะข่มอารมณ์แข็งขึงของตนเอง ให้มันสงบลงโดยไว หาไม่แล้วเขาคงยากที่จะหักห้ามใจ มิให้ทำในสิ่งที่อัปยศต่อตนเองและครอบครัว “เจ้าใส่เสื้อผ้าเถอะ เรื่องนี้ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น” เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่หันหลังให้ มันไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีอันใดเลย แต่มันกลายเป็นความขุ่นเคืองเข้ามาทดแทน เพราะมันเหมือนกับตัวเขา เป็นเพียงของเล่นสนองตัณหาของอีกฝ่ายเท่านั้น นี่มันกระโจมเขานะ มิใช่ตัวเขาที่ก้าวออกจากที่นี่ เพื่อที่จะไปมีสิ่งใดกับใคร หมับ! ทว่าเพียงพริบตา อ๋องหนุ่มก้า
ยามเช้าทุกอย่างดูเอื่อยเฉื่อยยิ่งนัก ทุกคนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ยากนักจะบอกได้ แต่สิ่งที่รับรู้คือ พวกเขาหลับลึกยิ่งนัก จนมารู้สึกตัวก็จนตะวันส่องหน้าแล้ว ราวกับค่ำคืนที่ผ่านมา พวกเขาหลับกันอย่างเต็มที่ ต่างจากทุกค่ำคืนตลอดการเดินทาง ที่พวกเขาแทบไม่เคยได้หลับเต็มตื่นกันเลย เหล่าผู้ติดตามรีบพากันลุกขึ้น ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเร่งรีบ ด้วยเกรงว่าถ้าผู้เป็นนายตื่น พวกเขาจะเดือดร้อน “เห็นคุณชายหรือไม่” คนสนิทของหยางชีลั่ว เอ่ยถามบ่าวชาย ที่กำลังยกถังน้ำ เดินไปที่กระโจมของท่านอ๋องน้อย บ่าวชายหันมองคนจากคระสกุลหยางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่กระโจมของท่านอ๋องน้อย แล้วเขาก็ก้าวเดินต่อไปยังทิศทางของนิ้วเมื่อครู่ “เป็นไปได้อย่างไร!”คนสนิทของหยางชีลั่ว พึมพำกับตนเอง ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคุณชาย จะไปที่กระโจมของท่านอ๋องน้อยเพียงลำพังส่วนคนที่อยู่ภายในกระโจมหลังใหญ่ เวลานี้สองร่างเริ่มขยับกายบดเบียดกันอีกครั้ง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาให้ได้ยิน มือที่เริ่มเคลื่อนไปตามร่าง ของคนที่บดเบียดอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับสัมผัสนั้นอย่างรวด
리뷰더 하기